ตอนที่ 113 ข้าหลวงเหยาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เยี่ยนอวี่ถวายสูตรปรุงยา (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

หลังจากที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน คุณชายทั้งสองคนที่เป็นบุตรชายฮูหยินเอกของตระกูลและผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลเหยาก็แทบจะมองข้ามนางไป แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยังไม่ค่อยเป็นห่วงเป็นใยนาง

และวันนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ได้กลายเป็นหมอที่สามารถรักษาโรคร้ายของพี่สาวบุตรีฮูหยินเอก ต่อมาก็รักษาบาดแผลของเด็กที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เช่น อวิ๋นยั่ง ยอดบุรุษที่เกรียงไกรอย่างหันซังเกอ และยังช่วยชีวิตฮูหยินติ้งโหวซื่อจื่ออีกด้วย เมื่อความสามารถทางการแพทย์ของนางค่อยๆ ถูกแสดงออกมา เหมือนดั่งไข่มุกที่ถูกฝังไว้ใต้พื้นดิน แล้วเพิ่งจะถูกคนอื่นสังเกตเห็นและถูกชื่นชอบ ด้วยเหตุนี้ ความสดใสและความเจิดจรัสที่มีอยู่ในตัวของนางจึงถูกเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ฉายแววแห่งความโดดเด่นชวนผู้คนหลงใหล

ยิ่งไปกว่านั้น นางใช้เวลาในการคบหากับซูอวี้เหิงและหันหมิงชั่นที่เป็นสตรีสูงศักดิ์ ได้รับความรักใคร่และโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่หนิงหวา ความมั่นใจในตัวเองที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจค่อยๆ แผ่ออกมา ท่วงท่ากิริยาของนางค่อยๆ เผยจากภายในสู่ภายนอก ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับนางทุกวันก็คงไม่รู้สึก แต่ผู้ที่ไม่ได้เจอนางมาสามสี่เดือนเฉกเช่นเหยาเหยียนอี้กลับคาดคิดไม่ถึงเลยสักนิด

พี่ชายและน้องสาวตระกูลเหยาเดินเข้าไปในเรือนโดยต่างคนต่างมีความคิดในใจ ข้างกายพวกเขายังมีผัวจื่อและสาวใช้คอยเดินประกบซ้ายขวาด้วยความเคารพ

หลังจากที่เข้าไปในเรือน เหยาเหยียนอี้นั่งลง เหยาเยี่ยนอวี่รินน้ำชาร้อนๆ ให้เขาด้วยตัวเอง “พี่ชายเชิญดื่มน้ำชาร้อนๆ เพื่ออบอุ่นร่างกายเสียก่อน ด้านหลังเรือนได้เตรียมน้ำร้อนให้ท่านไว้แล้ว หากพี่ชายจะอาบน้ำ น้องจะเรียกเหล่าสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้เจ้าค่ะ”

เหยาเหยียนอี้รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก จึงพยักหน้าพลางอมยิ้ม “ลำบากน้องสาวแล้ว”

เหยาเยียนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรน่าลำบาก เป็นสิ่งที่เยี่ยนอวี่ควรทำเจ้าค่ะ”

ตลอดการเดินทางต้องเจอแต่ฝุ่น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาบน้ำอาบท่า เหยาเหยียนอี้จิบชาไปครึ่งถ้วย จากนั้นก็ไปอาบน้ำ เหยาเยี่ยนอวี่มองสาวใช้รูปงามที่เพิ่งซื้อมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้เหยาเหยียนอี้โดยเฉพาะ กำลังถือเสื้อผ้าเดินตามไป นางจึงแอบถอนหายใจ

ชุ่ยเวยเห็นเช่นนี้ จึงรีบเดินเข้ามาพยุงแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ พร้อมกับบอกเตือนขึ้น “คุณหนูเหนื่อยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว รีบไปนั่งพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่หันไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็รับน้ำชาร้อนๆ ที่ชุ่ยเวยยื่นมาให้ดื่มหนึ่งคำ

จากที่มองปฏิกิริยาของเหยาเหยียนอี้ เขาดูพึงพอใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง พอนึกถึงตนเองที่มาถึงที่นี่เมื่อตอนเช้าตรู่ของเมื่อวาน ถือว่าไม่เสียแรงที่อุตส่าห์จัดการทุกอย่างด้วยความยากลำบาก

หากพูดความในใจออกมา นางก็ไม่อยากจะเคร่งเครียดกับเรื่องพวกนี้เลยแม้เพียงน้อย แค่วันนั้นเหยาเฟิ่งเกอออกจากบ้านสวนวัวจวู เฝิงหมัวมัวก็ถือโอกาสตอนที่หันหมิงชั่นนอนหลับ มาเตือนสติตน

เฝิงหมัวมัวบอกว่า ต่อให้คุณหนูจะโดดเด่นในฝีมือการแพทย์มากเพียงใด และต่อให้องค์หญิงใหญ่และคุณหนูหันจะโปรดปรานตนมากเพียงใด ทว่าเรื่องงานสมรสในอนาคตยังคงเป็นบิดาและพี่ชายเป็นผู้ตัดสินใจ องค์หญิงใหญ่ก็ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานสมรสของคุณหนูโดยที่ไม่สนใจบิดามารดาของคุณหนู ดั่งสุภาษิตที่ว่า บุรุษเกรงกลัวการสู่ขอผิดภรรยา และสตรีก็กลัวจะออกเรือนผิดสามี อนาคตคุณหนูจะได้สามีที่ดีหรือไม่ มันเกี่ยวข้องกับความสุขครึ่งชีวิตที่เหลือ ดังนั้นอย่างไรก็ตาม คุณหนูจำต้องสนใจนายท่านและคุณชายทั้งสองบ้าง ไม่ต้องถึงกับจงใจประจบประแจง ทว่าสิ่งที่คนเป็นบุตรีและน้องสาวควรทำก็ควรที่จะกระทำให้ดี

เหยาเยี่ยนอวี่เองก็ครุ่นคิดถึงคำพูดพวกนั้นของเฝิงหมัวมัวอย่างละเอียด

ถึงแม้ตนเองไม่ได้คิดว่าจะต้องหาบุรุษที่สามารถพึ่งพาได้ ทว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้ การที่ทำดีกับบิดาและพี่ชายก็ถือว่าเป็นหนทางที่ต้องเดิน เหนือสิ่งอื่นใดหลังผ่านตรุษจีนนี้ไปตนก็มีอายุครบสิบเจ็ดปีแล้ว!

อายุสิบเจ็ดสำหรับสตรีในเมืองต้าอวิ๋นนั้น ถึงแม้จะไม่ถือว่าเป็นสาวแก่ที่แต่งไม่ออก ทว่าก็ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว ตนเองไม่อาจไปเปรียบเทียบกับหันหมิงชั่นได้ นางเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคนในครอบครัว ต่อให้อายุยี่สิบสามสิบปีแล้วยังไม่ได้ออกเรือนก็คงไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ตนกลัวที่สุดคือบิดาจะให้ตนออกเรือนไปเป็นภรรยาของบุรุษตระกูลใด หรืออาจจะให้ตนไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษที่มีอิทธิพลและอำนาจก็อาจเป็นได้

เพื่อที่จะทำให้บิดาและพี่ชายให้ความสำคัญและพิจารณาถึงงานสมรสของนางอย่างรอบคอบ อย่างน้อยก็อย่าให้นางไปออกเรือนกับบุรุษอย่างลวกๆ เหยาเยี่ยนอวี่จึงออกจากบ้านนาอันอบอุ่นแล้วกลับเข้าเมืองหลวงแต่เช้าตรู่วันนี้ แล้วยังรับปากเหยาเฟิ่งเกอว่าจะสะสางงานทุกอย่างของจวนให้สุดความสามารถ และไม่ทำให้เหยาเฟิ่งเกอที่เป็นพี่สาวคนโตต้องคอยกังวลใจ

เหยาเฟิ่งเกอก็รู้ว่าพอบิดาของตนมาถึงก็ต้องเข้าพักในเรือนพักของทางการ จวนตระกูลเหยาจึงมีเพียงพี่ชายคนรองเข้าพักเท่านั้น และพี่รองก็มักจะไปเยือนที่จวนติ้งโหวอยู่บ่อยครั้ง ถึงเวลาหากทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น นางก็จะให้พี่รองเข้าพักที่จวนติ้งโหวเอง

ตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอตั้งครรภ์อยู่ จึงไม่สะดวกในการสะสางเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง อีกอย่าง นางก็อยากจะถือโอกาสนี้ลองเชิงเหยาเยี่ยนอวี่ ดูว่าน้องสาวคนนี้ของตนจะมีความสามารถมากเพียงใด ฉะนั้นนางจึงปล่อยให้เหยาเยี่ยนอวี่และบ่าวไพร่คนเก่าคนแก่มาจัดการเรื่องที่พักในจวนเดิมของตระกูล เพราะเหตุนี้ สองพี่สองตระกูลเหยาต่างก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง คนหนึ่งอยากจะลองเชิงความสามารถของน้องสาว อีกคนก็ทุ่มเททุกอย่างสุดความสามารถ จึงทำให้เหยาเหยียนอี้เดินเข้าประตูมาก็เห็นสถานการณ์ที่น่าประทับใจเช่นนี้

เหยาเหยียนอี้แช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นอย่างผ่อนคลาย จากนั้นสาวใช้หน้าตางดงามจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสะอาดให้กับเขา ทำให้คุณชายรองตระกูลเหยาที่ชอบสิ่งที่สวยงามอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ตอนนี้ฟ้าก็มืดมัวลงแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้เฝิงหมัวมัวคอยจับตามองแม่ครัวที่ตนพามาจากบ้านนาน้อยวัวจวูไว้ เพื่อให้พวกนางเตรียมอาหารมื้อค่ำอย่างราบรื่นแล้วส่งไปที่เรือนที่พักของเหยาเหยียนอี้ เหยาเหยียนอี้เห็นว่าบนโต๊ะวางอาหารหลากหลายชนิดเต็มไปหมด อาหารพวกนั้นมีหน้าตาน่ากิน ภายในใจจึงรู้สึกพึงพอใจมาก เพราะเหตุนี้จึงเอ่ยถามขึ้น “น้องรองล่ะ”

เฝิงหมัวมัวรีบตอบกลับ “คุณหนูรองบอกว่าคุณชายรองเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เลยไม่อยากมารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชายรองเจ้าค่ะ นอกจากนี้ คุณหนูรองยังสั่งให้คนตุ๋นน้ำแกงโสมไก่และยังมีขนมรสชาติของทางใต้เอาไว้หลายอย่าง ประเดี๋ยวจะส่งไปให้นายท่านที่เรือนพักของทางการเจ้าค่ะ”

เหยาเหยียนอี้พยักหน้าอย่างพอใจ “น้องรองครุ่นคิดได้อย่างรอบคอบจริงๆ ช่างดีเยี่ยมจริงๆ”

เฝิงหมัวมัวโค้งตัวทำความเคารพ “หากคุณชายรองไม่มีเรื่องอะไรให้บ่าวรับใช้แล้ว เช่นนั้นบ่าวก็จะไม่รบกวนเวลากินอาหารของคุณชายรองแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม เจ้าออกไปเถอะ” เหยาเหยียนอี้ผายมือ แล้วสั่งให้เฝิงหมัวมัวออกไป พร้อมกับสั่งให้สาวใช้สองคนมาปรนนิบัติรับใช้เขากินอาหาร

สาวใช้ทั้งสองคนนี้ ถึงแม้จะเป็นบ่าวที่เพิ่งซื้อตัวมา ทว่าได้ถูกเฝิงหมัวมัวสั่งสอนอย่างเข้มงวด อีกอย่างสัญญาการซื้อขายทาสของพวกนางยังอยู่ในมือของเหยาเยี่ยนอวี่ ขณะที่พวกนางตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ จึงไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงความดีของคุณหนูรอง

เหยาเหยียนอี้เป็นบุรุษที่ฉลาดหลักแหลม พอเขาได้รับการปรนนิบัติอย่างรอบด้าน ภายในใจจึงแอบชื่นชมความเฉลียวฉลาดของน้องสาวอนุภรรยา

คนของตระกูลเหยาไม่เคยหวาดกลัวผู้ที่ฉลาดหลักแหลม แต่จะหวาดกลัวบางคนที่โง่เขลาและยังเพิกเฉย ไม่ว่าจะป้อนวิชาความรู้อย่างไรก็ไม่ยอมเรียนรู้

ก่อนหน้านี้เหยาเหยียนอี้ไม่ชื่นชอบน้องสาวสองคนที่เป็นบุตรีอนุภรรยาก็มีเหตุผลของเขาอยู่แล้ว เหตุผลประการแรก เพราะว่าสตรีที่เป็นบุตรีอนุภรรยามีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าบุตรีภรรยาเอกไปหนึ่งขั้น และอีกเหตุผลคือเหยาเยี่ยนอวี่นั้นสุภาพอ่อนโยนเกินไป ส่วนเหยาเชวี่ยหวาก็ฉลาดเจ้าเล่ห์เกินไป

ผู้ที่สุภาพอ่อนโยนเกินไปจะซื่อจนถูกผู้อื่นรังแก ส่วนผู้ที่ฉลาดเจ้าเล่ห์เกินไปก็จะถูกความฉลาดทำให้เสียรู้ ซึ่งพวกนางล้วนเป็นบุตรีที่เหยาหย่วนจือและบุตรชายทั้งสองต่างก็ไม่โปรดปราน

เขากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย และดื่มสุราเลิศรสอย่างดื่มด่ำ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดภายในใจ อย่างไรกระแสนิยมทางสังคมของเมืองหลวงอวิ๋นนั้นปลูกฝังและสั่งสอนคนได้ดียิ่งนัก เหยาเยี่ยนอวี่มาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่ากลายเป็นคนฉลาดหลักแหลมขึ้นมาทันที

เหยาหย่วนจือเข้าพักในเรือนพักของทางการเพียงคืนเดียวเท่านั้น ช่วงบ่ายวันถัดไป ฮ่องเต้รับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า ทำให้ข้าหลวงจากชวนซ่านที่เดินทางเข้าเมืองมารายงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายพร้อมกันรู้สึกอิจฉาริษยายิ่งนัก

ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เหยาหย่วนจือเข้าพบที่ตำหนักเหวินหวา สภาพอากาศทั้งสองเมืองที่เหยาหย่วนจือประจำตำแหน่งมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ส่วยภาษีประจำปีจึงเก็บมาได้ไม่น้อย พอรายรับของแคว้นดี ประชาชนก็สามารถดำเนินชีวิตและทำงานอย่างสงบสุข กิจการงานของราชสำนัก กิจการทางการค้า และหน่วยงานกองกำลังทหารด้านการป้องกันของทั้งสองเมือง ล้วนเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้อย่างยิ่ง แน่นอนว่าการสรรเสริญเหยาหย่วนจือจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ภายในใจของเหยาหย่วนจือรู้สึกปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก เขาคุกเข่าน้อมก้มกราบแสดงความจงรักภักดี

ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเหยาหย่วนจือมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มบางๆ “ลุกขึ้นเถอะ เจิ้นรู้สึกอ่อนล้า เจ้าไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกกับเจิ้นที”