ตอนที่ 114 ข้าหลวงเหยาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เยี่ยนอวี่ถวายสูตรปรุงยา (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ขันทีเอกคนสนิทของฮ่องเต้รีบเอาเสื้อคลุมสีม่วงเข้าไปคลุมบนพระวรกายของฮ่องเต้ เหยาหย่วนจือโค้งคำนับพร้อมกับติดตามฮ่องเต้ออกจากตำหนักเหวินหวาและเดินไปยังสวนพฤกษา

ภายในสวนพฤกษา ต่อให้เป็นเหมันต์ฤดูกลางเดือนสิบสอง ทิวทัศน์ยังคงงดงามยิ่งนัก ภูเขาหินที่งดงามดุจดั่งหยก ศาลากลางสวนอันหรูหรา ไม้ไผ่เขียวชอุ่มกำลังร่ายรำไปตามทิศทางลมตะวันออก กลีบดอกเหมยถูกเคลือบด้วยเกล็ดหิมะ

ฮ่องเต้ไม่เอ่ยวาจาใดๆ และเดินเล่นอยู่กลางสวนเท่านั้น เหยาหย่วนจือก็ไม่กล้ามากความ แค่ติดตามฮ่องเต้อยู่ด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ว่ากันว่ายิ่งมากความก็ยิ่งพลั้งพลาด อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ตอนนี้ข้าหลวงเหยาผู้ชาญฉลาดก็ไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกมาและไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเพิ่มแม้แต่ก้าวเดียว

ฮ่องเต้เดินไปสักพัก ทันใดนั้นก็หันหลังเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจิ้นได้ยินมาว่าเจ้ามีบุตรีผู้หนึ่งที่รู้วิชาการแพทย์ใช่หรือไม่”

หางตาของเหยาหย่วนจือกระตุกขึ้น เขารีบก้มหน้าพลางทูลกลับ “บุตรีรองของกระหม่อมชื่นชอบในการอ่านตำราโบราณแปลกๆ แต่เล็ก ห้องอักษรในจวนของกระหม่อมเก็บสะสมตำราแพทย์อยู่ไม่กี่เล่ม ยัยหนูคนนี้มักจะอ่านตำราเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง ตอนแรกกระหม่อมก็ไม่ได้สนใจอะไร ทว่าใครจะไปรู้ว่านางจะฝึกทักษะการแพทย์ได้ด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ความชาญฉลาดเพียงน้อยนิดนั้นคงไม่อาจเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกขบขันเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกเสียง พลางตรัสขึ้น “บุตรีที่เจ้าเอ่ยว่าไม่อาจเชิดหน้าชูตาเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตแม่ทัพเอกของเจิ้นเชียวนะ!”

เหยาหย่วนจือได้ยินเฉากุนซือรายงานว่าเหยาเยี่ยนอวี่ผ่าตัดเชื่อมเส้นเอ็นให้กับเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ตอนนั้นเขาเองก็คาดคิดไม่ถึงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับทำให้ฮ่องเต้ทรงตกตะลึง ฉะนั้นเขาจึงรีบโค้งคำนับด้วยความถ่อมตน “เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อสามารถพ้นจากวิกฤติ เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาททรงคุ้มครองไว้ บุตรีของกระหม่อมแค่บังเอิญจับพลัดจับผลูเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ความบังเอิญจับพลัดจับผลู เจิ้นได้ส่งคนไปถามพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงแล้ว บุตรีของเจ้ารู้วิชาการรมยาแบบไท่อี่ด้วย ถึงแม้นางจะไม่มีอาจารย์เลื่องชื่อคอยให้ความรู้ และยังไม่สามารถล่วงรู้ความอัศจรรย์ของการรมยาแบบไท่อี่ ทว่านางสามารถผ่าตัดต่อเส้นเอ็นได้ และยังปรุงยารักษาแผลภายนอกได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว นี่นางจะเก่งกาจกว่าหมอทหารที่กินเบี้ยเลี้ยงไปวันๆ ในค่ายทหารเสียอีก”

วาจาดังกล่าวของฮ่องเต้นั้นดูมั่นใจในความสามารถของเหยาเยี่ยนอวี่ยิ่งนัก ทว่าเหยาหย่วนจือกลับไม่กล้ากล่าววาจามากเกิน แค่เพียงโค้งคำนับ แล้วทูลด้วยเสียงสั่นเทา “กระหม่อมรู้สึกตื่นตระหนกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อีกประการหนึ่ง ผงยาวิเศษที่บุตรีของเจ้าปรุงเอง ได้ยินมาว่ามีสรรพคุณอันอัศจรรย์ที่สามารถห้ามเลือดได้ดี ไม่รู้ว่าสูตรยาชนิดนั้นซับซ้อนหรือไม่ สมุนไพรที่ใช้ปรุงราคาแพงหรือไม่” ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน แล้วมองเหยาหย่วนจือด้วยรอยยิ้ม

เหยาหย่วนจือจึงทูลกลับ “กลับไปแล้วกระหม่อมจะให้บุตรีจดสูตรยา แล้วจะนำมาถวายให้กับฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”

“หึ!” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลพลางส่ายหน้า “เหยาหย่วนจือ เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก! นี่เจ้ากำลังหมายความว่าอะไรอยู่ หรือว่าเจ้าเห็นว่าเจิ้นเป็นคนที่ยื่นมือขอสูตรยาจากบุตรีของเจ้าหรือ”

“เปล่า เปล่า เปล่าพ่ะย่ะค่ะ!” เหยาหย่วนจือสะดุ้งตกใจทันที แล้วรีบคุกเข่าลง “กระหม่อมไม่บังอาจ กระหม่อมรู้สึกว่าตนเองและทั้งตระกูลได้รับความเมตตากรุณาจากฝ่าบาทมามาก บุตรีของกระหม่อมมีเวลาว่างจึงได้คิดค้นสูตรปรุงยาอะไรเช่นนั้นออกมา ถ้าสามารถทำคุณประโยชน์แก่ฝ่าบาทได้ กระหม่อมก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“พอเถอะ เจ้าอย่าคุกเข่าต่อไปเลย หิมะเพิ่งจะละลาย บนพื้นทั้งเปียกและเย็น เจิ้นได้ข่าวว่าเจ้ามักจะรู้สึกปวดหัวเข่าเพราะสะท้านหนาวไม่ใช่หรือ รีบลุกขึ้นมาเถอะ” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างร่าเริงกว่าเดิม

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” พอได้รับความรักใคร่และโปรดปรานจากฮ่องเต้ เหยาหย่วนจือจึงรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก น้ำเสียงจึงอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นมาทันที

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลพลางโบกพระหัตถ์ “เอาล่ะ เวลานี้ก็สายมากแล้ว เจ้ายังต้องเดินทางกลับจวนอีก รออีกไม่กี่วัน หากเจิ้นมีเวลาว่างจะตามเจ้ามาเข้าพบอีกครั้ง”

“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เหยาหย่วนจือคุกเข่าพลางน้อมกราบอีกครั้ง หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงเสด็จออกจากที่นั่น เขาจึงจะค่อยๆ ลุกขึ้น

ตรงหน้าประตูวังหลวง เฉากุนซือและบ่าวอีกสองคนกำลังรอคอยด้วยความตื่นเต้น พอเห็นเหยาหย่วนจือเดินออกมาอย่างเร่งรีบ เฉากุนซือรีบเดินเข้าไปต้อนรับ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้าลำบากแล้ว รถม้ารออยู่ตรงนั้นแล้วขอรับ”

เหยาหย่วนจือคลี่ยิ้มบางๆ “ไป กลับจวนกันเถอะ”

เฉากุนซือเห็นเหยาหย่วนจือคลี่ยิ้ม จึงรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “มองจากสีหน้าของใต้เท้า ต้องได้รับคำสรรเสริญจากฝ่าบาทมาอย่างแน่นอน!”

“คำสรรเสริญนั้นไม่เท่าไร แต่ว่ายัยหนูรองของข้า…เหอะๆ ! ว่าไปข้าก็ถือว่าโชคดี ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว รีบกลับจวนก่อนเถอะ” เหยาหย่วนจือกล่าวขึ้น จากนั้นก็จับแขนของเฉากุนซือแล้วสาวเท้าเดินขึ้นรถม้า

คนขับรถม้าเพิ่งจะเร่งรถม้าออกจากกำแพงวังหลวง ก็เห็นหลี่จงขี่ม้าเข้ามา พอเห็นรถม้าของตระกูลเหยาจากที่ไกลๆ เขาจึงลงจากม้าแล้วเดินเข้ามาคารวะ คนขับรถม้าจึงทำได้เพียงกระชับบังเหียนม้า แล้วหันไปมองเหยาหย่วนจือที่อยู่ในรถม้า “นายท่านขอรับ หลี่จงมาต้อนรับนายท่านขอรับ”

หลี่จงเป็นบุตรชายของหลี่หมัวมัว ที่เป็นแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอ ทั้งตระกูลหลี่ได้ติดตามเหยาเฟิ่งเกอมาที่จวนติ้งโหว

เหยาหย่วนจือได้ยินชื่อของหลี่จงจึงรู้ว่าต้องเป็นบุตรีคนโตส่งให้มารับตนเองแน่นอน ฉะนั้นเขาเลิกม่านพลางยื่นศีรษะออกไป “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้ามีธุระต้องกลับจวนเก่า ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านโหวที่จวนติ้งโหวในภายหลัง”

หลี่จงรีบตอบกลับ “ขอรับ บ่าวน้อมรับคำสั่งของนายท่านขอรับ”

เหยาหย่วนจือปล่อยม่านรถม้าลงแล้วเอ่ยถามเพียงคำๆ หนึ่งอย่างลังเล “คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

หลี่จงตอบกลับ “เรียนนายท่าน คุณหนูใหญ่สบายดีขอรับ ได้ข่าวว่าวันนี้นายท่านถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง คุณหนูจึงได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนายท่านขอรับ”

“อา!” เหยาหย่วนจือถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย บุตรีของตนได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับแล้ว แค่ว่าตนเองได้เอ่ยถึงเรื่องสูตรยาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้…อย่างไรก็ตาม ธุระสำคัญก็คงต้องจัดการเสียก่อน หลังจากที่ลังเลใจไปสักพัก เหยาหย่วนจือจึงพูดกับหลี่จง “เจ้ากลับไปเรียนคุณหนูของพวกเจ้า ข้ายังมีธุระทางราชการต้องจัดการ เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับก็เอาไว้ก่อน”

“ขอรับ” หลี่จงไม่กล้าถามให้มากความ ทำได้เพียงขานรับ กลับไปก็จะรายงานทุกอย่างกับเหยาเฟิ่งเกอตามความเป็นจริง

บนถนนหลวง เหยาหย่วนจือก็ไม่อยากเอ่ยวาจาใดกับบ่าวไพร่ให้มากความอีกต่อไป เขาโบกมือให้หลี่จงกลับไป แล้วจึงสั่งการคนขับรถม้า “ไป พวกเรากลับกันเถอะ”

คนขับรถม้าขานรับ แล้ววาดแส้เร่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนเดิมตระกูลเหยา

ตอนที่เหยาหย่วนจือกลับถึงจวนตระกูลเหยาก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี ทว่าเหยาเหยียนอี้ได้ข่าวว่าฮ่องเต้ทรงเรียกตัวบิดาให้เข้าเฝ้า หลังจากจบการประชุมราชสำนักในช่วงเช้า คาดว่าบิดาของตนคงจะกลับมาก่อนมื้อเที่ยง ฉะนั้นจึงได้แจ้งเหยาเยี่ยนอวี่ให้รอบิดากลับมาแล้วค่อยกินมื้อเที่ยงด้วยกัน กลับนึกไม่ถึงว่าต้องรอคอยนานเพียงนี้

อาหารหายร้อนไปนานแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่สั่งคนไปเฝ้าหน้าประตู พอได้ยินบิดากลับมาจึงสั่งคนไปอุ่นอาหาร

เหยาเหยียนอี้ต้อนรับบิดาเข้าไปในจวน แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฮ่องเต้กลับดึงรั้งท่านพ่อไว้นานเพียงนี้เลยหรือ มีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ”

“ไม่มี ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดียิ่งนัก จึงได้ตรัสถามไถ่งานทางราชการกับพ่อไปค่อนข้างมาก” เหยาหย่วนจือกล่าวคำพูดนี้ไปด้วยและเดินเข้าประตูในขณะเดียวกัน จากนั้นยืนอยู่ตรงห้องโถงหลัก ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเห็นจึงเดินเข้าไปปลดสายรัดเอวที่ทำจากหยกของใต้เท้าเหยาออก จากนั้นก็แกะไข่มุกสีนิล พร้อมกับถอดชุดขุนนางขั้นที่สองออก

เหยาเยี่ยนอวี่รีบเอาชุดคลุมผ้าต่วนสีเขียวตัวใหม่คลุมบนร่างของบิดา จากนั้นก็รอให้เหยาหย่วนจือรัดเข็มขัดแล้วนั่งลง นางจึงจะเดินหน้าไปคุกเข่าทำความเคารพ “ลูกขอน้อมทำความเคารพท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเจ้าค่ะ”

เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เหยาหย่วนจือสังเกตมองบุตรีคนนี้อย่างละเอียดจริงจัง จึงเห็นถึงมวยผมที่เกล้าต่ำ ใบหน้าพริ้มเพราเหมือนดอกซิ่ง แก้มนวลเนียนดุจดั่งดอกท้อ ริมฝีปากจิ้มลิ้มประดุจผลอิงเถา และคิ้วโค้งงามดุจใบหลิ่ว นางคุกเข่าด้วยท่าทางที่ดูเรียบร้อยและสง่าผ่าเผย

“อืม ลุกขึ้นเถอะ” ใต้เท้าเหยาลูบเคราอันสั้นแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้าทำให้บิดามองเจ้าอย่างแปลกหูแปลกตาจริงๆ”