บทที่ 123 พี่น้องตระกูลจางแสนฉลาด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 123 พี่น้องตระกูลจางแสนฉลาด

อย่างแรกเพื่อให้บัณฑิตจ้าวมั่นใจในความเป็นอาจารย์ของตัวเอง จะได้ไม่ต้องใจดีกับพวกนางมาก

ตัวนางเองคุมตัวเองได้ แต่นางห่วงว่าน้องสาวสองคนของตนอาจจะคิดว่ารู้จักกันกับบัณฑิตจ้าว พอผ่านช่วงกระตือรือร้นในตอนแรกไปจะเริ่มเถลไถล

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะแน่วแน่ในการเรียนหนังสือ

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าการอ่านหนังสือให้ออกเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก จึงตั้งใจเป็นพิเศษ

อย่างที่สองเพื่อให้ความเคารพต่อบัณฑิตจ้าวเต็มที่ จางซิ่วเอ๋อรู้ว่านักปราชญ์ถือเรื่องมารยาทธรรมเนียมเป็นเรื่องใหญ่ การมาสอนเด็กผู้หญิงอย่างพวกนางเรียนหนังสือถือว่าไม่ง่าย ที่พวกนางเคารพเขาโดยเรียกว่าอาจารย์ก็ถือว่าสมควรแล้ว

ส่วนอย่างที่สาม……

ถึงแม้จางซิ่วเอ๋อมีรูปลักษณ์ภายนอกที่อ่อนเยาว์ แต่อายุทางในไม่น้อย ทุกครั้งที่เรียกบัณฑิตจ้าวว่าท่านอาจ้าวนางรู้สึกไม่สบายใจมาก

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นผลดีกับทุกฝ่าย

บัณฑิตจ้าวมองกล่องทรายของจางซิ่วเอ๋อ เห็น ‘จางซิ่วเอ๋อ’ สามคำที่นางเขียนแล้วตกใจนิดหน่อย

“ซิ่วเอ๋อ เมื่อก่อนเจ้าเคยเรียนมาก่อนหรือ?” บัณฑิตจ้าวถามอย่างสงสัย

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วตะลึง แอบนึกในใจว่าตัวเองเผลอเผยไต๋ไป ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย

จางซิ่วเอ๋อจึงรีบอธิบาย “ข้ามีโอกาสเรียนหนังสือที่ไหนกัน แต่แค่ชื่อนี้ลูกพี่ลูกน้องเคยสอนข้า”

บัณฑิตจ้าวคิดไปว่าบ้านตระกูลจางไม่ใช่คนไม่เคยเรียนหนังสือ ถึงจะเรียนได้ไม่ดีนักแต่แค่ชื่อคงไม่ใช่ปัญหา จางซิ่วเอ๋อเคยเห็นชื่อตัวเองก็เป็นเรื่องปกติ

“เจ้าเขียนสามตัวนี้ได้ดีมาก ถ้ารักษามาตรฐานต่อไปได้ในการเขียนตัวอักษรอื่นก็เยี่ยมเลย” บัณฑิตจ้าวไม่รั้งคำชื่นชมเลยสักนิด

สำหรับบัณฑิตจ้าวแล้ว จางซิ่วเอ๋อเขียนตัวอักษรสามตัวนี้ได้ไม่เลวจริง ๆ ถึงจะเขียนดีสู้นักเรียนปกติไม่ได้ แต่จางซิ่วเอ๋อเพิ่งเริ่มเรียนและยังเป็นเด็กผู้หญิง สุดท้ายบัณฑิตจ้าวไม่ได้เข้มงวดกับจางซิ่วเอ๋อเท่าที่ควรโดยไม่รู้ตัว

แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ได้คิดจะไปสอบเอาชื่อ อักษรจะสวยหรือไม่สวยไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับนาง

สิ่งที่นางต้องการเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ขอแค่รู้จักอักษรโบราณและเขียนได้ รวมถึงสิ่งที่เขียนแล้วคนอื่นต้องอ่านออกด้วย

จางซิ่วเอ๋อเรียนหนังสือเร็วกว่าคนอื่นจึงเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เพื่อไม่ให้บัณฑิตจ้าวสงสัย ตอนที่เขียนตัวอื่น จางซิ่วเอ๋อก็ตั้งใจเรียนรู้ช้าลง และจงใจเขียนผิดไปสองขั้น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ บัณฑิตจ้าวก็ยังคิดว่าจางซิ่วเอ๋อฉลาดมาก ฉลาดจนน่าทึ่ง

แน่นอนว่าที่บัณฑิตจ้าวอึ้งจริง ๆ ไม่ใช่จางซิ่วเอ๋อ แต่คือจางชุนเถา

แม่นางน้อยนี่ก็จำทุกอย่างที่เรียนได้เหมือนกัน ความจำไม่ด้อยไปกว่าจางซิ่วเอ๋อที่มีพื้นฐานมาอยู่แล้ว

ถ้าจางซิ่วเอ๋อไม่ได้รู้จักชุนเถาเป็นอย่างดี คงต้องสงสัยว่าชุนเถาก็ทะลุมิติมาเกิดใหม่เหมือนกัน

ด้วยพื้นฐานของจางชุนเถาแล้ว ถึงบัณฑิตจ้าวจะรู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋อฉลาดมาก แต่บัณฑิตจ้าวก็ไม่ได้อึ้งมาก

บัณฑิตจ้าวนึกในใจว่าบางทีสามพี่น้องตระกูลจางคงเป็นพวกคนฉลาด

แต่เสียดายที่เป็นสตรี หากเป็นบุรุษและตั้งใจเรียนต่อไป ไปสอบเอาชื่อมาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เพียงวันเดียวบัณฑิตจ้าวก็สอนทุกคนไปทั้งหมด 10 ตัวอักษร นอกจากจางซานหยาที่อายุน้อยจำได้ไม่หมด จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาต่างจำได้อย่างแม่นยำ

จางซานหยาอายุน้อย จำได้ครึ่งเดียวก็นับว่ายากแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้เข้มงวดกับจางซานหยามาก

พอฟ้ามืดลง บัณฑิตจ้าวก็กลับไป

จางซิ่วเอ๋อคิดก่อนจะมองบัณฑิตจ้าวและเอ่ยขึ้น “ท่านอาจ้าว ข้ามีคำขอที่มากเกินไปหน่อย อาช่วยตอบตกลงได้ไหมเจ้าคะ?”

บัณฑิตจ้าวตอบโดยไม่ต้องคิด “เจ้านี่ มีอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะ”

จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ “คืออย่างนี้ งานซานหยาในแต่ละวันเยอะเกินไป ข้ากับชุนเถาคงไปช่วยทำงานกับซานหยาทุกวันไม่ได้ ข้าอยากให้เอ้อร์หลางช่วยซานหยาหน่อย……”

พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อไม่รอให้บัณฑิตจ้าวตอบตกลงก็พูดต่อ “แน่นอนว่าข้าไม่ให้เอ้อร์หลางต้องเหนื่อยเปล่า ถือว่าทำงานให้ข้า ส่วนค่าแรงข้าขอไม่จ่าย แต่เลี้ยงอาหารกลางวันอากับเอ้อร์หลางแทน”

จางซิ่วเอ๋อคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าคุ้ม จะทำกับข้าวสำหรับกี่คนก็ต้องทำอยู่ดี ทำเยอะขึ้นไม่ได้เสียเวลามากกว่าเดิม

จะไปหาคนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ มาช่วยซานหยานั้นใช่ว่าจะไม่ได้ แต่คน ๆ นั้นจะปิดปากได้สนิทเท่าคนตระกูลจ้าวหรือไม่ก็พูดยาก ถ้าเรื่องนี้เข้าหูแม่เฒ่าจาง ก็ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางจะก่อเรื่องอะไรอีกบ้าง

จางซิ่วเอ๋อทำอะไรแบบนี้ยังคิดว่าไม่ให้แม่เฒ่าจางรู้ดีกว่า

บัณฑิตจ้าวรีบบอก “ข้าวเขิ้วอะไรกัน เอ้อร์หลางต้องขึ้นเขาไปผ่าฟืนทุกวันอยู่แล้ว ช่วยซานหยาบ้างก็เป็นเรื่องที่สมควร”

จางซิ่วเอ๋อกลับกล่าวขึ้น “ถ้าแบบนี้ข้าไม่กล้าให้เอ้อร์หลางช่วยหรอกเจ้าค่ะ เอ้อร์หลางต้องผ่าฟืนไปขายแลกเงินอีก ข้ารบกวนธุระของเอ้อร์หลางไม่ได้ เอ้อร์หลางช่วยซานหยาทำงานต้องเสียเวลาครึ่งค่อนวัน ข้าเลี้ยงข้าวแค่มื้อเดียวจริง ๆ แล้วถือว่าน้อยมาก”

บัณฑิตจ้าวกลายเป็นฝ่ายเกรงใจมากกว่า ถ้าเป็นอาหารทั่วไปคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่แค่ที่กินกับจางซิ่วเอ๋อมาสองวันนี้ใช่อาหารทั่วไปที่ไหนกัน

“เอาล่ะ เรื่องนี้เอาตามนี้ แต่ห้ามบอกคนอื่นนะเจ้าคะ” จางซิ่วเอ๋อไม่ลืมกำชับ

บัณฑิตจ้าวไม่มีโอกาสแย้งอะไร เขาอ้าปากจะพูดบางอย่าง ก็เห็นจางซานหยาจ้องตาแป๋วมองเขาอย่างน่าสงสาร

บัณฑิตจ้าวนึกในใจ ถึงตอนนั้นกินให้น้อย ๆ หน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียความเป็นอยู่ของซิ่วเอ๋อไม่ได้ดีนัก

เมื่อตกลงเรื่องนี้เสร็จ จางซิ่วเอ๋อลูบหัวจางซานหยาพลางเอ่ย “ต่อไปนี้มีพี่เอ้อร์หลางช่วยเจ้าทำงาน พวกพี่มีเวลาก็จะไปช่วยด้วย เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”

จางซานหยาน้ำตารื้น “พี่ พี่ดีกับข้าจริง ๆ”

“เด็กโง่ ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ ไม่ดีกับเจ้าจะให้ไปดีกับใคร” จางซิ่วเอ๋อยิ่งเห็นจางซานหยาก็ยิ่งเอ็นดูนาง

เห็นแบบนั้นบัณฑิตจ้าวยิ่งปฏิเสธไม่ได้ ระหว่างทางกลับเขาให้จ้าวเอ้อร์หลางช่วยแบกหญ้าออกจากป่าให้จางซานหยา ส่วนนอกป่าบัณฑิตจ้าวให้จ้าวเอ้อร์หลางช่วยต่อไม่ได้

หลังจากกลับถึงบ้าน จ้าวเอ้อร์หลางไปต้มน้ำร้อนและต้มยาของบัณฑิตจ้าว

ทำทุกอย่างเสร็จแล้วยังไม่ดึกมาก ถ้าเป็นปกติเวลานี้พวกเขายังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ

วันนี้กินซะอิ่ม จ้าวเอ้อร์หลางรู้สึกว่าตัวเองมีแรงทำงาน

บัณฑิตจ้าวแช่ขาไปพลางดื่มยาไปพลาง รู้สึกว่าชีวิตตัวเองสบายขึ้นไม่น้อย เขามองจ้าวเอ้อร์หลางที่วุ่น ๆ อยู่และเอ่ยขึ้น “เอ้อร์หลาง เจ้ามานี่หน่อย พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย”

จ้าวเอ้อร์หลางยกท่อนไม้เล็ก ๆ มานั่งข้างบัณฑิตจ้าวพลางกล่าว “ท่านพ่อ บอกมาเถอะขอรับ”

…………………………………………