ภาคที่ 3 บทที่ 51 สงคราม (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 51 สงคราม (2)

เมื่อเหล่าอสูรร้ายปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมือง ตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างก็ไม่กริ่งเกรง แต่กลับเผยสีหน้าตื่นเต้น

“นี่น่ะหรือไพ่ตาย ? อสูรร้ายระดับสูง 2 ตัวหรือ ?” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งหัวเราะเสียงเย็น “คงจะสังหารมันสนุกมือเป็นแน่ !”

อสูรร้ายระดับสูงนั้นไม่อ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนมาก กับผู้ฝึกยุทธ์อีกนับร้อย ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจต้านทานไหว

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็สังหารพวกมันให้สิ้น ให้คนพวกนี้ได้ลิ้มรสความสิ้นหวังเสียหน่อย !” ซือจงเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น

เสียงตะโกนลั่นดังขึ้น ไอสังหารหนาแน่นพุ่งออกไปเป็นระลอก

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนแล้วคนเล่ากระโจนเข้าใส่อสูรร้ายระดับสูงทั้งสอง พวกเขาล้วนปล่อยลำแสงสีรุ้งสว่างจ้าเข้าใส่อสูรร้าย

“โบร๋วววว !” เสียงร้องโหยหวนดังสะเทือนแก้วหูดังขึ้น

เกล็ดแข็งหนาของมันแตกออกเมื่อถูกทักษะต้นกำเนิดซัดใส่ จากนั้นโลหิตก็กระเซ็นไปทั่ว

แม้มันจะเป็นอสูรร้ายระดับสูง มีพลังชีวิตมากกว่ามนุษย์ แต่ก็ยังถูกผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายโจมตีเข้าใส่ในคราเดียว จนเจ็บปวดแสนสาหัส ด้วยวิชาที่ปล่อยลำแสงสีรุ้งออกมานั่นราวกับจะแยกชั้นฟ้าได้

แต่ถึงกระนั้น อสูรร้ายก็ยังไม่ยอมแพ้

คางคกดำตัวใหญ่ยักษ์ หลังจากถูกโจมตีก็นั่งนิ่งอยู่ที่พื้น มันร้องเสียงร้อง “โอ๊บ” คราหนึ่งก่อนจะพ่นพิษออกมา บนหลังมันยังมีถุงพิษ บ้างถูกทำลายเสียหายเมื่อครั้งถูกพลังซัดเข้าใส่ พิษมากมายพุ่งออกมา กระเซ็นจนรอบข้างเต็มไปด้วยพิษ

แต่พิษของมันไร้ตา เมื่อปล่อยออกมาก็ทำร้ายทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านสราญรมย์และเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลสายเลือดชั้นสูง ในระยะ 10 หมี่ (1) ไม่มีใครยังยืนหยัดอยู่ได้

กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดยังถูกอากาศพิษบีบให้ล่าถอย มีสองคนตอบสนองช้า เผลอหายใจเอาอากาศพิษเข้าไป ใบหน้าย่ำแย่ลงในพลัน รีบถอยไปยังจุดปลอดภัยเพื่อรับมือพิษทันที

อีกตัวหนึ่งคือหมาป่าเหมันต์ อ้าปากพ่นไอเย็นออกมา บรรยากาศเยือกแข็งล้อมพลังซัดสีรุ้งเอาไว้ มันพลันระเบิดพลังออกไปทั่วทุกทิศ พลังเยือกแข็งที่ระเบิดออกเกิดเป็นพายุหิมะ หนาวเย็นจนอาจเสียดแทงใจคนได้

ตู้ม ตู้ม ตู้ม !

ท่ามกลางเสียงระเบิดติดต่อกัน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างน้อย 7 ถึง 8 คนก็ถูกส่งกระเด็นไป

อสูรร้ายระดับสูงทั้งทองแสดงอำนาจให้เห็นว่าพวกตนเป็นราชันในหมู่อสูรร้าย

ถึงกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็ยิ่งโต้กลับรุนแรงกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งกู่ร้องแล้วพุ่งเข้าไป ด้านหลังก่อเกิดเงาดำขนาดใหญ่ มันดูคล้ายอินทรีในคราแรก แต่มันกลับมีคอยาวคล้ายงู ที่ท้องมีกรงเล็บยื่นออกมาสามกรงเล็บ นัยน์ตาแดงก่ำ ยามมันปรากฏกายก็ขู่ฟ่อ เป็นเสียงไม่น่าฟังอย่างยิ่ง คล้ายกับนำโลหะสองชิ้นมาถูกัน

มันคืออินทรีคองู อสูรกายชนิดหนึ่งที่กินพิษได้ ยามมันปรากฏร่างก็พุ่งเข้าใส่คางคกพิษตัวยักษ์ บรรยากาศพิษเข้าล้อมกายอินทรีคองูแต่ไร้ผล แต่อินทรีคองูกลับเอียงคอยาวแล้วอ้าปากกว้าง ทำให้อากาศพิษทั้งหลายถูกมันดูดไปจนหมด

แม้มันจะเป็นเพียงภาพมายาที่เกิดขึ้นจากการใช้สายเลือด แต่ก็กลืนพิษซึ่งเป็นสสารที่มีอยู่จริงลงไปได้ อีกทั้งมันยังทำกับว่ากลืนอาหาร ยิ่งกินมากยิ่งดุร้ายแข็งแกร่ง อึดใจต่อมา ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็ซัดพลังเข้าใส่ท่วงท่าคล้ายงู ปะทะบนร่างคางคกพิษ ทำให้น้ำพิษมันกระเซ็นไปทั่ว

พริบตาต่อมา ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกคนก็เข้าโจมตี เปิดใช้สายเลือดจิ้งจอกสายเลือดจิ้งจอกเพลิงแล้วร่ายเพลิงออกมา ท่ามกลางเปลวเพลิงร้อนระอุ ไม่นานความหนาวเย็นที่ปกคลุมโดยรอบก็พลันละลายหายไป

อีกคนหนึ่งเปิดใช้สายเลือดนกฮูกลม ปล่อยลมคลั่งออกมาสู้กับบรรยากาศเยือกแข็ง

เมื่อใช้ทักษะต้นกำเนิดผสานกันแล้ว มีทุกสายเลือดมารวมตัวกัน แสงสีต่าง ๆ งดงามตาก็สาดส่องออกมา

หากแต่แสงสีงดงามเหล่านี้กลับมีเสียงร้องโหยหวนของอสูรร้าย 2 ตัวร้องประกอบ

อสูรร้ายระดับสูงทั้งสองนับเป็นความหวังสุดท้ายของหมู่บ้านสราญรมย์ เมื่อเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดล้อมโจมตีอสูรร้าย พวกชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันโศกเศร้าและขุ่นเคืองใจ

สถานการณ์พลิกผัน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเหล่านี้กลายเป็นคล้ายปีศาจร้าย ส่วนอสูรร้ายระดับสูงทั้งสองได้กลายเป็นผู้ผดุงความสงบสุขที่เหลืออยู่สองตัวสุดท้าย

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าเข้ากับการบุกโจมตีของ ‘พลังของเหล่าปีศาจร้าย’ อสูรร้ายก็ไม่อาจมีโอกาสได้โต้ตอบ มันทำได้เพียงป้องกันสุดกำลังและรอความตาย ระหว่างนั้นชาวบ้านก็ได้รับผลกระทบมากขึ้น ล้มตายลงไปทีละคน สุดท้ายเกราะป้องกันที่กำแพงหมู่บ้านก็ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์

“ไม่ !”

ฉาเล่อร้องขึ้นเสียงหมดหวัง

หยาดเลือดที่เจิ่งนองทำให้ให้เขาสั่นสะท้าน แต่เขากลับไม่อาจทำอะไรได้

ตามที่เคาคาดการณ์ไว้ หลังจากปล่อยอสูรร้ายแล้ว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็ปรากฏตัวขึ้น เร่งให้การต่อสู้ยุติได้รวดเร็วขึ้น

ผิดพลาด !

เขารู้ว่าตนทำผิดพลาด แต่เขาก็ยังลงมือทำมันลงไป !

นี่คงจะเป็นชะตากรรมอันน่าสงสารของตัวประกอบตัวเล็ก ๆ ไม่มีสายตากว้างไกล มักไม่อาจทำตามสิ่งที่ใจหวังได้

บนพื้นโชกเลือด คนแล้วคนเล่าทรุดตัวล้มลงสิ้นลม ฉาเล่อมองไปรอบกาย ทุกอย่างถูกเปลวเพลิงคลั่งโหมลุกท่วม

หมู่บ้านสราญรมย์จะถูกทำลายล้างจนสิ้นไปในวันนี้เลยหรือ ?

“หยุด ! หยุดได้แล้ว ! พวกเรายอมแพ้แล้ว !” ฉาเล่อร้องโหยหวน

แต่ไร้คนฟังคำเขา

ผู้บุกรุกกำลังอยู่ในอารมณ์บ้าเลือด ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตคนเป็นเชลย ต้องการเพียงล่าสังหารคร่าชีวิตคนจนหนำใจเท่านั้น

“ไม่ ! ขอล่ะ หยุดเถอะ !” ฉาเล่อร้อง “หากพวกเจ้ายอมหยุดมือ ข้าจะตอบตกลงกับเงื่อนไขเมื่อก่อนหน้าของพวกเจ้าทั้งหมด ข้ายอมทุกอย่าง !”

“ไม่เห็นฮวงโหไม่ตายใจ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตางั้นหรือ ? โชคร้ายที่พวกข้ามาจนถึงจุดนี้ ข้าไม่สนใจเรื่องว่าท่านจะยอมแพ้หรือไม่อีกต่อไปแล้ว” ซือจงเหว่ยหัวเราะเย็นชา “เลือกสังหารเสียให้สิ้นสมเหตุสมผลมากกว่า หมู่บ้านต่อ ๆ ไปจะได้มีไหวพริบ เลือกยอมแพ้เสียตั้งแต่แรก”

พูดไปแล้วรอยยิ้มก็พลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหี้ยม “โจมตีให้หนักเป็น 2 เท่า ! อย่าให้มีสักคนเหลือรอด !”

“ย่าห์ !” ทุกคนร้องตอบขึ้นพร้อมกัน

จังหวะนี้ ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหรือผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็บ้าคลั่งกันจนสิ้น หมายจะฆ่าล้างชาวบ้านให้หมด

ฉัวะ !

ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าทรุดตัวลงพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น ส่วนอสูรร้ายทั้งสองก็ถูกพลังซัดจนบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า

คางคกยักษ์พ่นพิษออกจนหมดร่าง ตอนนี้ได้แต่ใช้กำลังกายต่อสู้ ส่วนหมาป่าเหมันต์ก็เริ่มหมดพลังหลังจากพ่นไอเย็นออกไปจนแทบสิ้น อีกทั้งยังถูกพลังซัดพลังระเบิดนับครั้งไม่ถ้วน ทั่วร่างมีแต่บาดแผลฉกรรจ์

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายโจมตีอีกฝ่ายราวกับคนเสียสติ ล่าสังหารชาวบ้านราวกับเล่นสนุก ดูท่าไม่นานทั่วทั้งหมู่บ้านจะได้กลายเป็นซากไหม้เกรียม

ฉาเล่อสิ้นหวัง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเงยหน้ากรีดเสียงออกมา “เพราะเหตุใดกัน ? สวรรค์ เหตุใดท่านจึงทำกับเราเช่นนี้ ?”

“ท่านโยนโอกาสทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตัดสินใจผิดซ้ำหลายหน แต่เมื่อประสบภัยกลัยโทษสวรรค์ ผลักให้ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตาหรือ ? จริงอย่างเขาว่า คนน่าสมเพชย่อมมีเหตุให้ถูกดูหมิ่น หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อ ตัวท่านในตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือดูถูกท่านดี” เสียงถากถางดังขึ้นจากด้านหลัง ส่งผลให้ฉาเล่อร่างสั่นเทิ้มรุนแรง

เขาหันศีรษะมอง เห็นว่าซูเฉินยืนอยู่ไม่ห่างออกไปไกลนัก โดยชายหนุ่มนั้นก็กำลังใช้สายตาว่างเปล่าจ้องกลับมา สายตาราวกับจ้องคนตาย

เมื่อเห็นซูเฉิน ฉาเล่อก็มีแรงขึ้นมา ร้องเสียงดังขึ้น “ช่วยพวกข้า แล้วข้าจะบอกความลับทั้งหมดให้เจ้า !”

ซูเฉินพ่นลมทางจมูกแล้วเอ่ยเยาะ “ความลับท่านหรือ ? หมายถึงยาที่ทำมาจากหญ้าเหยี่ยวดำกับเถาวัลย์บินที่ท่านใช้ต้านคำสาป ? หรือจะเป็นแก้วเคลือบม่วงที่ท่านได้มาจากปราการหมู่บ้านสายน้ำที่ใช้คุมอสูรร้าย ? ท่านลืมไปได้เลยตาเฒ่า ท่านไม่เหลือสิ่งใดจะมอบให้ข้าอีกแล้ว ในสายตาข้า ความลับของท่านมันไม่มีค่าอีกต่อไป”

เชิงอรรถ

หมี่ (米) คือ เมตร