ภาคที่ 3 บทที่ 52 ชั่วช้า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 52 ชั่วช้า

ว่าอะไรนะ ?

คำของซูเฉินทำเอาฉาเล่อพูดอะไรไม่ออก

ความลับสุดยอดของเขาถูกชายหนุ่มเปิดเผยออกมาจนสิ้นภายในไม่กี่ประโยค ฉาเล่อสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดเมื่อความลับตนถูกเปิดเผย

ท่ามกลางเปลวโลกันต์ เขาเหลือบมองซูเฉิน สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ซูเฉินเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายสายตาเย็นชา “ท่านไม่มีสิ่งใดมาแลกกับข้าได้ จำเอาไว้แล้วกันว่าทุกคนในป่าแห่งนี้ติดหนี้ชีวิตข้า”

พูดจบก็หันไปหากังเหยียน “รีบไปตอนที่อสูรร้าย 2 ตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่เถอะ”

“รับทราบขอรับ !” กังเหยียนเหยียดยิ้ม เปิดหีบที่เขาแบกมาออก

อึดใจต่อมาเกราะหลอมทองก็ประกอบเข้าร่างเขาสำเร็จ

จากนั้นคว้าดาบเขี้ยวเลื่อย แล้วกระโจนออกไปพร้อมเสียงคำรามดั่งพยัคฆ์

“ผู้นี้คือ ?” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหนุ่มคนหนึ่งมองภาพคนที่สวมเกราะครบเครื่องกำลังพุ่งเข้ามา จึงทำท่าเชื้อเชิญอย่างดูถูก จากนั้นก็กระแทกฝ่ามือหนึ่งออกไปเกิดเป็นคลื่นลม

คลื่นลมฝ่ามือนี้คมดั่งดาบ กระแทกเข้ากับเกราะหลอมทองจนเกิดเป็นแสงพุ่งออกมา

“เครื่องมือต้นกำเนิดหรือ ?” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าทันที

ถึงตอนนั้นกังเหยียนก็พุ่งเข้ามาใกล้แล้ว

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจึงสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ เริ่มตั้งใจต่อสู้มากขึ้น ในมือค่อย ๆ ปรากฏดาบสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นเขาก็ตวัดดาบออกไปทันที

คลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่พุ่งออกไป

กังเหยียนพุ่งเข้าใส่มันทันที ตอนที่กำลังจะปะทะ โล่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นที่มือซ้าย สกัดพลังจันทร์เสี้ยวไว้ได้ พริบตาต่อมา ร่างมหึมาของเขาก็กระโจนสูงขึ้นแล้วกระโดดลงมาใส่เป้าหมาย

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหนุ่มพลันเผยสีหน้าดุดัน “รนหาที่ตายนัก !”

พริบตาเดียวก็ซัดท่าฝ่ามือออกมาติดต่อกันถึง 18 ครั้ง

กังเหยียนยังไม่ถอย ท่าฝ่ามือปะทะเข้ากับเกราะหลอมทอง แต่เกิดเพียงเสียง ‘เคร้ง’ ขึ้นเท่านั้น ไม่อาจสกัดการเคลื่อนไหวเขาได้เลย

ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหนุ่มก็เปลี่ยนสีหน้า เมื่อเห็นว่ากังเหยียนพุ่งเข้ามาด้านข้างก็ร้องตะโกนลั่น เกราะป้องกันก่อตัวขึ้นล้อมกายเขาไว้ทันที

แต่ความผิดพลาดครั้งนี้กลับหมายถึงชีวิต

กังเหยียนเข้ามาใกล้ศัตรูแล้ว ส่งหมัดเข้าใส่หน้าอีกฝ่ายทันที

หมักนี้ได้รวมพลังจากเกราะทองหนักเอาไว้ด้วย มันพุ่งเข้าไปปะทะศีรษะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้นั้นจนแตกราวกับไข่ไก่ ของเหลวชิ้นเนื้อสีขาวสีแดงกระเด็นไปทั่ว

หมัดเดียวคร่าชีวิต !

กังเหยียนยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น พุ่งตัวออกไปหาเป้าหมายอื่นอีก

ยามเมื่อผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดถูกสังหารแล้ว คนอื่น ๆ จึงเริ่มหันมาสนใจ

ทุกคนล้วนหันมามองทางกังเหยียน ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีพร้อม ๆ กัน

ทั่วทุกที่มีไอเย็นกระจายตัว พลังต้นกำเนิดเกี่ยวพันหมุนเวียน เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังกึกก้องทั่วท้องฟ้า

กังเหยียนคำราม ก่อนพุ่งเข้าปะทะกับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตทั้งสาม เมื่อเข้าประชิดเป้าหมายแรกก็ตวัดดาบเขี้ยวเลื่อย เชือดคออีกฝ่ายจนแยกออก ต่อมาก็ใช้ร่างปะทะเข้ากับเป้าหมายที่สอง ร่างบึกบึนและความแกร่งของเขาส่งผลให้แรงกระแทกมีมากกว่าปกติจนป่นกระดูกอีกฝ่ายได้ สุดท้ายคือการปล่อยหมัดหนึ่งออกมา สว่านทะลวงเกราะปะทะเข้ากับร่างอีกฝ่าย แม้จะสามารถหลบเลี่ยงไปได้บางส่วน แต่แขนก็ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว

โจมตีเพียงครั้งเดียว คร่าชีวิตผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตไปถึง 2 คน อีกหนึ่งบาดเจ็บ ทุกคนที่เห็นภาพต่างตื่นตะลึงไปในพลัน

“ระวังด้วย ! มีผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอยู่ !” คนผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้น

วิถีการต่อสู้อันดุดันกังเหยียนทำให้อีกฝ่ายประเมินเขาไว้สูง เป็นเพราะเขาสวมชุดเกราะหนัก ทั้งยังปิดบังใบหน้า อีกฝ่ายจึงไม่อาจคาดการณ์พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขาได้ ดังนั้นจึงคิดไปว่าเขาคงอยู่ด่านทะลวงลมปราณ

แต่หากนับเรื่องความแกร่งและพลังป้องกันของร่างกายเขาแล้ว ก็ไม่นับว่าผิดไปมากนัก

ต่อมา ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 6 คนก็ร้องตะโกนแล้วพุ่งเข้ามาล้อมเขาไว้ หนึ่งในนั้นอยู่ด่านทะลวงลมปราณ

เมื่อคนทั้งหกลงมือพร้อมกัน กังเหยียนก็เริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น ลมหายใจหนักหน่วง ราวกับกำลังถูกวิชาสุเมรุสูญของฉือไคฮวงอยู่

เป็นผลจากการเผยพลังต้นกำเนิดของคนทั้งหกนั่นเอง แสดงให้เห็นว่าคนทั้งหมดล้วนใช้วิชาร่วมกันสักอย่าง ส่งผลให้ยิ่งมีคนมากยิ่งแกร่งทบเท่าทวีคูณไปเรื่อย

กระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณยังรับมือกับแรงกดดันเช่นนี้ได้ยาก นับประสาอะไรกับกังเหยียนที่อยู่ด่านกลั่นโลหิต

“เช่นนั้นก็ไม่ใช่ด่านทะลวงลมปราณ เป็นแค่คนด่านกลั่นโลหิตที่แกร่งมากหน่อยก็เท่านั้น” ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณที่นำเข้ามาเริ่มจับจุดได้ เอ่ยเสียงเหี้ยมออกมา “ถือว่าเจ้าโชคร้ายก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้ากล้าเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้ของพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งเมืองธารน้ำใส สังหารคนเราไปหลายคน เจ้าก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น !”

แรงกดดดันที่แผ่ออกมายิ่งเข้มข้นขึ้น ราวกับมีภูผาไร้ร่างกำลังกดร่างกังเหยียนไว้

กังเหยียนจ้องผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เปิดปากพูดเขม็ง นัยน์ตาเกือบจะถลนออกจากเบ้า การเคลื่อนกายของเขาค่อย ๆ เพิ่มความดุดันขึ้นเรื่อย ๆ

“แค่เพราะมีคนมากกว่าน่ะหรือ ? ยังไม่พอหรอก !” กังเหยียนกู่ร้อง ร่างกำยำเริ่มปล่อยคลื่นพลังออกมาทั่วทุกซอกมุมของเกราะหลอมทอง พลังมากมายที่เผยออกมายามนี้ แม้จะมีเกราะหนาสวมทับอยู่ก็ยังสัมผัสได้

“ย่าห์ !”

หลังจากคำรามลั่น คลื่นพลังปราณก็เคลื่อนตัวหมุนออกมาจากรอยแยกชุดเกราะ มันเผยออกมาคล้ายควัน จากนั้นพุ่งออกไปทั่วทุกทิศ

เมื่อคลื่นพลังเริ่มกระจายออกไป แรงกดดันจากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหกก็สลายไปด้วย

“เป็นไปได้อย่างไร ?” คนด่านทะลวงลมปราณเอ่ย เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

เขามีขั้นพลังสูงกว่าอีกฝ่ายถึงหนึ่งขั้น อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีก 5 คนช่วยเหลือ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจรับมือกับคนสวมเกราะประหลาดผู้นี้ได้ อีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ?

“ฮ่าห์ !”

ท่ามกลางเสียงร้องลั่นบ้าคลั่ง คนทั้งเจ็ดก็เหินขึ้นสู่ฟ้าพร้อม ๆ กัน

แรงปะทะของกังเหยียนกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหกนั้นมีพลานุภาพมากจนเกือบเกิดเป็นระเบิดขนาดใหญ่

กังเหยียนพุ่งเข้าฝ่ากลุ่มคนทั้งหก ตัวเขาถูกพลังปะทะ ดีดร่างกระเด็นไป หงายหน้ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหกเองก็กระเด็นออกไป แม้จะไม่บาดเจ็บ แต่กำลังในร่างก็ใกล้ถึงขีดสุด

แต่พวกเขาใช้เวลาพักเพียงชั่วครู่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว

เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินลงมือ

ระเบิดเหยี่ยวเพลิงขนาดใหญ่หกลูกพุ่งเข้าใส่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหกในพลัน โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนนั้นถูกระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงของซูเฉินเข้าไปอย่างจัง

บนท้องฟ้าเกิดระเบิดดังสนั่นขึ้นหกครา ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นและเสียงโหยหวน

ต่อมา แสงเส้นหนึ่งก็โฉบผ่านศีรษะคนด่านทะลวงลมปราณคนหนึ่ง

ฟ้าว !

หลังจากเลือดสาดกระเซ็น ศีรษะคนก็หลุดกระเด็นไป

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสิ้นใจลงในที่สุด

“ไม่ !” ซือจงเหว่ยร้องขึ้นเสียงเกรี้ยว

หากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตตายเพียง 2-3 คนยังนับว่ารับได้ แต่คนด่านทะลวงลมปราณนั้นสำคัญต่อพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาก หากตายไปสักคนก็ทำให้เจ็บช้ำใจได้แล้ว

เพื่อทำให้แผนรับมือ ‘กบฏแม่น้ำตะวันตก’ ดำเนินไปอย่างไร้ข้อผิดพลาด พันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณมาทั้งหมด 4 คนด้วยกัน และไม่คาดคิดว่าจะต้องเสียคนพลังสูงส่งไปเช่นนี้

เมื่อมีคนด่านทะลวงลมปราณตายไปเช่นนี้ แม้ซือจงเหว่ยจะปราบกบฏแม่น้ำตะวันตกลงได้ แต่เมื่อกลับไปเมืองธารน้ำใสก็คงไม่ได้รับรางวัลอะไรมากนัก

เมื่อคิดได้ดังนี้ ความโกรธแค้นก็พวยพุ่งขึ้นในใจซือจงเหว่ยรุนแรงขึ้นกว่าเก่า

แน่นอนว่าซูเฉินคือคนที่ทำการลอบโจมตีคนไปเมื่อครู่ ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากปีศาจ เป็นหน้ากากเดียวกันกับเมื่อครั้งที่เขาใช้ในเทือกเขาสีเลือด อีกเกือบสิบปีต่อมาจึงได้นำมาใช้อีกครา

“ชั่วช้า ! ไร้ยางอาย !” ซือจงเหว่ยสบถด่าซูเฉิน

“น่าขันจริง ได้ยินพวกท่านที่ฆ่าคนไม่ยั้งมือมากล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก” ซูเฉินเอ่ยพลางยิ้มส่งให้ โชคร้ายที่ใบหน้าถูกหน้ากากปกปิด ดังนั้นจึงไม่มีใครได้เห็นมัน

“แต่ในเมื่อท่านคิดว่าข้าหน้าไม่อาย เช่นนั้นข้าก็ขอทำตัวหน้าไม่อายมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้วกัน…… ท่านยังไม่คิดลงมืออีกหรือ ?” ชายหนุ่มเอ่ยออกมา

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ซือจงเหว่ยชะงักไป ภายในใจพลันรู้สึกถึงอันตราย

เขารีบก้าวถอยไป แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว

ผัวะ ๆ ๆ!

จู่ ๆ หมัดห้าหมัดที่โผล่ออกมาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ก็ซัดเข้ามาที่กระหม่อม ท้องน้อย หลัง และช่วงล่าง

ข้ารับใช้เงาห้าคนพลันเข้าโจมตีพร้อมกัน !