ภาคที่ 3 บทที่ 53 เผยกล (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 53 เผยกล (1)

ในเมื่อเขารู้ล่วงหน้าแล้วว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะยกคนมาโจมตี ซูเฉินจะไม่เตรียมการมาล่วงหน้าได้อย่างไรกัน ?

ข้ารับใช้เงาทั้งห้าถูกเรียกตัวมายังป่าแม่น้ำตะวันตกเกือบ 7 วันก่อนหน้าเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ

พลังของข้ารับใช้เงาทั้งห้านั้นไม่มากไม่น้อย แต่เมื่อได้รับวิชาสว่านทะลวงเกราะและหมัดโลกันตร์คลั่งไปแล้ว พลังทำลายล้างของพวกเขาก็มีมากจนไม่อาจมองข้ามได้

การซุ่มโจมตีเช่นนี้จ้องใช้วิชารุนแรง หากโจมตีแล้วไร้ผล เป้าหมายก็จะหลบหนีไปได้

ซูเฉินนั้นคุ้นเคยกับการลอบโจมตีเช่นนี้นัก เขาใช้วิธีนี้มาตั้งแต่คู่สามีภรรยาแซ่ไป๋ในหุบเขามรกตมาจนกระทั่งรับมือกับหลิ่วอู๋หยา ทำให้ย่อมเข้าใจหลักสำคัญของมัน ดังนั้นจึงฝึกฝนข้ารับใช้เงาทั้งห้าในจุดนี้

ตู้ม ๆๆ!

หลังจากเสียงระเบิดก็มีเสียงร้องน่าสมเพชดังขึ้นทันที โลหิตพุ่งออกจากบาดแผลบนร่าง

ที่ท้ายทอยเขาเกิดรอยบุ๋มขนาดใหญ่ราวกับถูกทุบด้วยค้อนใหญ่ มันเป็นผลงานของกุยต้าซาน ข้ารับใช้เงาที่เก่งที่สุดในคนทั้งห้า

แผ่นหลัง ช่วงท้อง และอกถูกพลังซัดจกลายเป็นเนื้อเละโดยคนด่านก่อเกิดลมปราณ 3 คน พวกเขาอย่างไรก็อ่อนแอกว่า ขั้นพลังน้อยกว่าคนด่านทะลวงลมปราณถึง 2 ขั้น ทำให้สว่านทะลวงเกราะสร้างความเสียหายได้เท่านี้ อีกทั้งพลังของหมัดโลกันตร์คลั่งก็ยังถูกจำกัดลง

แต่ช่วงล่างของซือจงเหว่ยเสียหายไม่มีชิ้นดี รองหัวหน้าเฉิงที่รับหน้าที่โจมตีตรงส่วนนั้นเป็นคนที่ลงมือโหดเหี้ยมดุดันเป็นพิเศษ ตัวเขาเองก็อยู่ด่านกลั่นโลหิต และเมื่อโจมตีเข้าใส่จุดอ่อนของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง ม็มแรง มันนับเป็นบาดแผลสาหัสที่สุดของซือจงเหว่ยเลยทีเดียว

ซือจงเหว่ยรู้สึกราวกับว่าถูกซัดครั้งนี้ได้ทำลายทั้งชีวิตเขาไปแล้ว

“ไม่ !” เขาเงยหน้ากู่ร้อง จากนั้นส่งหมัดกลับไปที่ข้ารับใช้เงาคนหนึ่ง

การโต้กลับโดยสัญชาตญาณนี้ไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิด แต่มันรวมเอาความแค้นความเสียใจและความสิ้นหวังทั้งหมดไว้

หมัดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังไร้ขอบเขตนี้ซัดผัวะเข้าที่ข้ารับใช้เงาคนหนึ่ง ระเบิดร่างจนเหลือเพียงชิ้นเนื้อในพริบตา

ข้ารับใช้เงาทั้งหมดพลันตกใจ รีบถอยออกไปพร้อมกัน เงาร่างเลือนไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หายตัวไป

“หมัดห้วงอารมณ์ รำลึกการุญ……” ซือจงเหว่ยชะงักไป

เมื่อครู่เขาเพิ่งบรรลุกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหมัดห้วงอารมณ์ที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้มานานหลายปี

เช่นนั้นต้องเป็นยามได้ที่ลิ้มรสความสิ้นหวังที่แท้จริงเขาจึงจะสามารถออกท่าหมัดนี้ได้เต็มกำลังงั้นหรือ ?

ซือจงเหว่ยเข้าใจมันในที่สุด

น่าเสียดายที่ไม่ว่ามันจะแกร่งถึงเพียงไหน มีมันไปก็ไม่ได้ใช้อีกต่อไปแล้ว

เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะทรุดลงเข่ากระแทกพื้น

เขายังไม่ตาย แต่บาดแผลสาหัสทั้งที่ศีรษะและส่วนล่างได้ทำลายสติเขาไปจนสิ้น ความเชื่อทั้งหลายถูกทำลายไม่มีเหลือ หลังจากรวมเอาความสิ้นหวังอัดเข้าไปในหมัดนั้นแล้วปลดปล่อยมันออกมา ความหวังทั้งหมดก็สลายหายไปเช่นเดียวกัน

คนผู้นี้ไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป

“ไอ้บัดซบ !!” เฮ่อเหลียนเวยเห็นแล้วก็ร้องโหยหวนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

เฮ่อเหลียนเวยเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณที่ถูกส่งมาที่นี่ เดิมทีเขาคิดว่าจัดหาคนฝีมือดีมามากเช่นนี้เพื่อรับมือกับพวกคนป่าแม่น้ำตะวันตกจะเป็นการไว้หน้าอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงคน 2 คน โดยคนหนึ่งสามารถต้านทานคนด่านทะลวงลมปราณได้ทั้งที่อยู่เพียงด่านกลั่นโลหิต ส่วนอีกคนหนึ่งก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณโดยใช้การลอบโจมตีได้ กระทั่งมีข้ารับใช้ปรากฏตัวมาช่วยโจมตีด้วย

เฮ่อเหลียนเวยทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น ร้องตะโกนขึ้น “เหล่าจิน พวกเราร่วมมือกัน สังหารไอ้คนบัดซบนี่เถอะ !”

“เหล่าจิน” เองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ เมื่อได้ยินเสียงก็พยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว !”

จากนั้นพุ่งเข้าใส่ซูเฉินนนำไปก่อน

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้งสองตัดสินใจจะรับมือซูเฉินไปพร้อม ๆ กัน

ซูเฉินเห็นแล้วก็ตะโกนขึ้น “ข้ารับมือสองคนนี้ได้ พวกเจ้ารับมือคนที่เหลืออยู่ที่นี่ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร ?”

“ไม่มีปัญหา !” ข้ารับใช้เงาทั้งสี่ตอบกลับ ค่อย ๆ ปรากฏร่างขึ้นที่เบื้องหน้าซูเฉิน

เมื่อซุ่มโจมตีคราหนึ่งแล้ว ศัตรูย่อมรู้ทันและเตรียมพร้อมรับมือ ไม่อาจใช้ข้ารับใช้เงาประมือกับคนผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้งหลายได้อีก ดังนั้นซูเฉินปล่อยให้พวกเขารับมือพวกด่านกลั่นโลหิตไปเสีย อย่างน้อยก็ยังพอต่อกรได้บ้าง

ซูเฉินจึงหมุนตัวแล้วพุ่งเข้าป่าไป

“อย่าได้คิดหนีเชียว !” เฮ่อเหลียนเวยตะโกนลั่นแล้วพุ่งตามไป ภาพมายาของพยัคฆ์ปีกทองขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหลัง

พยัคฆ์ปีกทองเขี้ยวเหล็ก !

พยัคฆ์นับเป็นราชันในหมู่สัตว์อสูร พวกมันชอบวางอำนาจ กระทำการใดด้วยความโอหัง พยัคฆ์ปีกทองยิ่งมีนิสัยหยิ่งยโสมากกว่านั้นเป็นเท่าตัว

ปีกบนหลังของมันคลี่ออก ซัดคมลมออกมา แล้วโอบล้อมเฮ่อเหลียนเวยเอาไว้ พร้อม ๆ กับที่เขากระโจนพุ่งเข้ามาพร้อมกับคลื่นพลัง

คนด่านทะลวงลมปราณอีกคนหนึ่งมีนามว่าเหล่าจิน มีสายเลือดอสูรแยกเมฆามืด เป็นอสูรประหลาดที่หาพบได้ยาก และหากลองนำภาพมายาของอสูรกายมาเทียบกันแล้ว อสูรกายของเหล่าจินจะดูทรงพลังกว่าอยู่เล็กน้อย

สายเลือดทั้งสองค่อนข้างปราดเปรียวว่องไว ดังนั้นซูเฉินแม้จะใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษขั้นสุดแล้ว สุดท้ายไม่อาจหนีพ้น

เคราะห์ดีที่เขาไม่เคยคิดหนีมาตั้งแต่ต้น หลังจากวิ่งออกมาได้ระยะหนึ่งก็หยุดฝีเท้า

“อะไร ? ไม่หนีแล้วหรือ ?” เฮ่อเหลียนเวยหัวเราะเสียงเหี้ยมเมื่อเห็นดังนั้น หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน

มนุษย์นี้แปลกนัก ในเมื่อสองคนต่อสู้กันอยู่ก็ควรจะสู้กันไป เหตุใดต้องทำอะไรไร้สาระ ? ต้องเอ่ยวาจาอะไรไม่รู้ความก่อนค่อยสู้กัน

แต่มองอีกมุมหนึ่ง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การใช้คำพูดเพื่อแก้ปัญหาย่อมดีกว่าการใช้กำลัง

สำหรับคนอ่อนแอ คำพูดสามารถใช้ถ่วงเวลาสร้างโอกาสได้ สำหรับคนแข็งแกร่ง คำพูดสามารถสะเทือนอารมณ์ เอาชนะคนได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง สุดท้ายยังสามารถใช้เพื่อหลบเลี่ยงการถูกซุ่มโจมตีได้ด้วย

เฮ่อเหลียนเวยเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของซือจงเหว่ย ในขณะที่ดูเหมือนเขากำลังพูดขู่ซูเฉิน สายตาก็กวาดมองไปรอบกายเพื่อตรวจดูว่ามีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่หรือไม่

ซูเฉินยิ้มบาง “ที่ข้าหยุดเท้า เพราะข้าคิดว่าจบเรื่องลงตรงนี้ท่าจะเหมาะ”

พูดจบเขาก็ถอดหน้ากากปีศาจออก

และเมื่อเห็นใบหน้าของซูเฉิน เฮ่อเหลียนเวยก็สะดุ้งเฮือก “ซูเฉิน ! เป็นเจ้า !”

หากแต่พริบตาต่อมากลับดูตื่นเต้นนัก “ฮ่า ๆ เจ้านี่เมินหนทางสู่สวรรค์ ยืนกรานจะเดินลงนรกด้วยตนเอง ! หากเจ้ารั้งอยู่ในเมืองธารน้ำใส เจ้ามีกองทหารเกราะโลหิตและเหรียญผู้กล้าระดับ 2 คอบคุ้มกาย ไม่ต้องเกรงว่าจะมีใครกล้าทำร้ายเจ้าได้ง่าย ๆ แต่เจ้ากลับเลือกมายังป่าแม่น้ำตะวันตกเพื่อหาที่ตาย ! ที่นี่เจ้ามีของเหล่านั้นไปก็ไร้ประโยชน์ !”

“ใช่แล้ว !” เหล่าจินเองก็เดินเข้ามา “อสูรแยกเมฆามืดของข้าตรวจดูแล้ว ไม่มีใครซุ่มรออยู่ที่นี่…… กองทหารเกราะโลหิตเองก็ไม่อยู่เช่นกัน”

“แม้จะอยู่ก็ไร้ประโยชน์ สังหารให้หมดก็สิ้นเรื่อง” เฮ่อเหลียนเวยเอ่ยเสียงร้ายกาจ “หากไร้หลักฐาน เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”

ซูเฉินหัวเราะ “ปัญหาของท่านคือข้าไม่เคยคิดพึ่งกองทหารเกราะโลหิตอยู่แล้ว”

เฮ่อเหลียนเวยหรี่ตาลง “เจ้าจะพูดว่าเจ้าคิดประมือกับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสองคนด้วยตัวเจ้าลำพังหรือ ?”

ซูเฉินยักไหล่เอ่ยเสียงเอื่อย “ความต่างระหว่างขั้นพลังหนึ่งด่านไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจเอื้อม บนทวีปต้นกำเนิดก็ไม่ได้หาคนที่สู้ข้ามด่านพลังยากขนาดนั้น แต่คนที่สามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางสายเลือดเล่า ? นับว่าหายากนัก อีกทั้งพวกท่านมีสายเลือดผสม แม้จะอยู่ด่านทะลวงลมปราณก็นับว่าขั้นธรรมดาเท่านั้น ขยะอย่างไรก็คือขยะ เป็นของที่ไร้ค่าที่สุด ข้าที่มาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะเอาชนะพวกท่านได้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก หากข้าทำไม่ได้สิถึงจะเรียกว่าแปลก”

“โอหัง !” เฮ่อเหลียนเวยโกรธนัก “ไอ้หนู ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้ามีแผนอะไรถึงได้พูดจาอวดดีได้ถึงเพียงนั้น”

ซูเฉินสามารถรับมือกับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณได้จริง เฮ่อเหลียนเวยรู้ดี

แต่เขาไม่เชื่อว่าซูเฉินจะสามารถประมือสองต่อหนึ่งได้ !

หากพลังต่างกันไม่มาก เช่นนั้นจำนวนจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะเสียส่วนใหญ่

การ่อสู้ของซูเฉินต่อสู้กับหลี่เยว่แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราที่อ่อนแอหน่อยได้ แต่หากมีมากกว่าหนึ่งคนย่อมทำไม่ได้แน่

ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่อาจสังหารพวกเขาได้ อย่างไรประมือกับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 2 คนก็เอาชนะไปไม่ได้หรอก !

“แผนอะไรกัน ?” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าก็ใช้ไปแล้วไม่ใช่หรือ ?”

พูดจบเขาก็หันมองเหล่าจินที่ยืนข้างเฮ่อเหลียนเวย

เฮ่อเหลียนเวยชะงักไป หันไปเห็นว่าเหล่าจินยืนนิ่งไม่ไหวติง นัยน์ตาไร้ชีวิต