บทที่ 123 ข่าวคราว

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เงินของอวี้หย่วนไม่ได้จ่ายไปอย่างสูญเปล่าจริงๆ รอจนฉาป๋อซื่อนำรายการเพลงที่เลือกมาให้นั้น ก็เอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นมากกว่าปกติ “จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ เพลงนี้จบก็ต่อด้วยเพลงที่ท่านเลือกเลย” พูดจบ ก็ประคองจานผลไม้สดเข้ามาจากนอกห้อง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยแสดงความเคารพต่อท่าน ท่านค่อยๆ ดื่มกิน ข้าจะยืนอยู่ด้านนอกห้อง หากต้องการสิ่งใด ก็เรียกข้าได้โดยตรงเลยขอรับ”

คงเพราะฉาป๋อซื่อได้รางวัลมาเป็นแน่

อวี้ถังคาดเดาในใจ ซ้ำรู้สึกมั่นใจกับสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำมากขึ้นไปอีก

นางเลือกลูกลี่จื่อผลใหญ่สุดให้ซวงเถาส่งต่อไปยังฉาป๋อซื่อ ทั้งเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “เจ้าอย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องอยากถามหน่อย”

ฉาป๋อซื่อผู้นั้นสาวเท้าเดินเข้ามาทันที แต่ก็หยุดลงที่ระยะเจ็ดแปดเก้าอย่างมีมารยาท เอ่ยคำพลางก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอยากถามสิ่งใดขอรับ? ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้ารู้ ท่านถามอะไรมาข้าก็ตอบอะไรไป หากว่าเป็นเรื่องที่ข้าไม่รู้ เช่นนั้นจะรีบให้คนไปสืบมาทันทีขอรับ” มีไหวพริบไม่เลวทีเดียว

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้โรงน้ำชาแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ก็เป็นได้

อวี้ถังขบคิดอยู่ในใจ แล้วเผยยิ้มถามเขาว่า “ตอนที่ข้ามาถึงเห็นว่าบนแม่น้ำของซูโจวมีแต่เรือใหญ่ๆ เต็มไปหมด ได้ยินคนพูดกันว่า เรือเหล่านี้มาจากหนิงปัว ด้านบนล้วนเป็นสินค้าที่นำเข้าทางเรือ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ใดมีขายสินค้าที่นำเข้าทางเรือบ้าง?”

ฉาป๋อซื่อฟังแล้วก็ฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง รีบร้อนเอ่ยว่า “คุณหนูถามเรื่องนี้นับว่าถามถูกคนแล้ว เมืองซูโจวแห่งนี้ ไม่มีร้านค้าใดที่ข้าไม่รู้จัก ตอนที่ท่านมาคงได้เห็นถนนเส้นที่อยู่หน้าโรงน้ำชาของพวกเราแล้วกระมัง? มันมีชื่อว่าถนนซูเหอ ถนนเส้นนี้จะเปิดโรงน้ำชา โรงสุราและร้านอาหารมากที่สุด ท่านออกจากประตูโรงน้ำชาไปก็ให้เลี้ยวซ้าย จะเจอกับตรอกสายหนึ่ง ในตรอกนั้นล้วนขายแต่ขนมของว่างและพวกผลไม้ต่างๆ ถ้าท่านเดินตรงไปเรื่อยๆ จนสุดตรอก ก็จะเจอกับถนนอีกเส้น บนถนนสายนั้น จะขายสินค้าที่นำเข้าทางเรือทั้งหมด…”

เขาตอบอย่างฉะฉานชัดคำ มองออกได้ทันทีว่า คุ้นเคยกับเมืองซูโจวเป็นอย่างดีจริงๆ

อวี้ถังก็ตะล่อมถามประโยคแล้วประโยคเล่า ไม่นานก็รู้ว่าพวกคนที่ทำกิจการค้าขายทางทะเลมักจะชอบไปรวมตัวอยู่ที่ไหน เวลาที่กองเรือออกทะเลจะประกาศแจ้งข่าวโดยวิธีใดบ้าง

คนสกุลเซียงนั่งฟังอยู่ข้างๆ อดจะลอบพยักหน้ากับตัวเองมิได้

ก่อนหน้านี้อวี้หย่วนชมอวี้ถังว่าเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ นางยังไม่ค่อยจะเชื่อ เพราะจากประสบการณ์ของนาง ได้พบเจอสตรีที่มากความสามารถเยอะเหลือเกิน อย่างเช่นนายหญิงเว่ย อย่างเช่นมารดาเลี้ยงของนาง ยังมีเหล่าญาติที่เกี่ยวดองผ่านการแต่งงานของมารดาเลี้ยงอีก แต่คนที่เก่งกาจขนาดอวี้ถังแบบนี้ นับว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อยจริงๆ

อวี้ถังในตอนนี้ไม่เพียงดูแลเรื่องเรือกสวนไร่นาและอ่านสมุดบัญชีเป็นเท่านั้น แต่นางเหมือนบุรุษคนหนึ่ง ที่รู้ว่าควรจะพบปะรับมือกับคนภายนอกอย่างไร รู้ว่าจะถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ออกมาได้อย่างไรโดยไม่แสดงสีหน้าเลยสักนิด

อย่าว่าแต่คนสกุลเซียงเลย กระทั่งซย่าผิงกุ้ยและซย่าเหลียนเอง ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

ซย่าผิงกุ้ยคิดว่า มิน่านายท่านรองถึงคิดหาเขยชายให้คุณหนูใหญ่ เพราะคุณหนูใหญ่สามารคุมกิจการของสกุลได้นี่เอง ส่วนทางซย่าเหลียนกลับปลื้มปิติที่คนสกุลเซียงมีน้องสามีเช่นนี้ วันข้างหน้าคุณหนูอวี้ย่อมไม่มีทางเป็นตัวถ่วงให้คนสกุลเซียงแน่ ทั้งตอนที่เจอปัญหานางยังสามารถช่วยออกความคิดให้อีก ถือว่าเป็นการช่วยคนสกุลเซียงอีกแรงหนึ่ง

ภายหลังทั้งสองคนก็รู้สึกเคารพอวี้ถังยิ่งกว่าเดิม แน่นอน ว่านี่คือคำพูดที่เกิดขึ้นในภายหลัง

อวี้ถังได้ข่าวที่ตนเองต้องการแล้ว จึงตบรางวัลเป็นเงินเหรียญให้ฉาป๋อซื่อจำนวนหนึ่ง พอฉาป๋อซื่อเดินออกไป ถึงได้หันไปยิ้มแหยๆ ให้อวี้หย่วน “เห็นทีพวกเราจะมาผิดที่เสียแล้ว”

จากคำบอกเล่าของฉาป๋อซื่อ พวกที่ทำการค้าทางทะลเหรือเดินเรือไปรับสินค้ามาจากหนิงปัวมักจะไปดื่มเหล้ากันที่โรงสุราอีกแห่งแถวท่าเรือที่ชื่อว่าร้านผิงอัน

อวี้หย่วนไม่ได้ถือสา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าพวกเราไม่มาที่โรงน้ำชา ก็คงไม่อาจสืบข่าวนี้ออกมาได้ อีกอย่าง โรงสุราผิงอันอะไรนั่น แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสถานที่ที่พวกกรรมกรใช้แรงงานไปดื่มเหล้า ข้าจะให้สตรีเช่นพวกเจ้าทั้งสองคนไปกินข้าวที่โรงสุรานั่นได้อย่างไร?”

สตรีที่เข้าออกสถานที่เช่นนั้น มากกว่าครึ่งเป็นพวกท่องยุทธภพไม่ก็เป็นสตรีหอโคมเขียว คนอื่นเห็นเข้าย่อมจะไม่เคารพให้เกียรติ

คนสกุลเซียงพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่ชายเจ้าพูดถูก แม้พวกเราจะมาผิดที่ แต่นับว่าได้รู้อะไรมากขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง หลังจากกลับไป ก็เล่าให้แม่สามีและท่านอาฟัง หากมีโอกาส ก็ให้พวกนางได้มาเที่ยวชมบ้าง”

อวี้ถังคิดว่าเวลาที่พวกเขาพักแรมอยู่ที่นี่น้อยเกินไป กลัวจะหาโอกาสพูดคุยกับเจียงหลิงไม่ได้

แต่ใจที่ร้อนรนไม่อาจกินน้ำแกงร้อนได้ เรื่องใดๆ ล้วนต้องก้าวไปทีละขั้น ในเมื่อมาฟังเพลง เช่นนั้นก็สำราญกับการฟังเพลงก็พอ

อวี้ถัง คนสกุลเซียงและอวี้หย่วนใช้เวลาตลอดช่วงเช้าที่โรงน้ำชา ทั้งสอบถามข่าวเกี่ยวกับสกุลซ่งจากฉาป๋อซื่อมาได้อีกเล็กน้อย

เดิมทีสกุลซ่งกลับมาที่เมืองซูโจวก็เริ่มต่อเรือที่ทะเลสาบไท่หู ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงได้ขายสวนหม่อนสองแห่งที่หูโจวทิ้งไป

สกุลซ่งก่อร่างสร้างตัวมาจากการค้าขายผ้าไหม ฤดูนี้ยิ่งเป็นเวลาเหมาะในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การที่สกุลซ่งทำเช่นนี้เรียกได้ว่าสั่นคลอนรากฐานของตัวเอง และต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยเงินก้อนใหญ่

อวี้หย่วนตกตะลึง ถามฉาป๋อซื่อว่า “เช่นนั้น พวกผู้อาวุโสสกุลเขาก็เห็นด้วยหรือ?”

ฉาป๋อซื่อถอนหายใจเฮือก “ไม่เห็นด้วยแล้วจะทำอย่างไร? ข้าเห็นว่าพวกท่านมาต่างถิ่นถึงเล่าให้ท่านฟัง สกุลซ่งนั้น ไม่ใช่สกุลซ่งเดิมที่เคยเป็นมาตั้งนานแล้ว เมื่อปีก่อน ผ้าไหมขาวที่สกุลเขาส่งเข้าวังเกือบจะไม่ถูกเลือก ต้องหาลู่ทางจากญาติๆ ให้ช่วยเหลือจนพอรอดตัวไปได้ พวกท่านคงไม่รู้ ทำการค้ากับราชสำนักมิใช่เรื่องง่ายเลย ทุกๆ สามปีจะต้องมีการคัดเลือกใหม่ หนนี้พวกเขาพึ่งถูกคน จึงพ้นเคราะห์ไปได้ แล้วหนหน้าเล่า? ผู้อื่นยังจะยินดีช่วยเหลือหรือไม่? คนที่ช่วยจะยังมีอำนาจในการเจรจาอยู่ไหม? เหล่านี้ล้วนไม่อาจมั่นใจได้เลย!”

ขอให้ญาติช่วยเหลือ?

เป็นสกุลเผยรึ?

อวี้ถึงครุ่นคิด แล้วได้ยินฉาป๋อซื่อเล่าต่อว่า “สกุลซ่งนั้นไม่เคยมองหาสาเหตุจากตนเอง บอกแต่ว่ามีคนพยายามสร้างความลำบากให้สกุลเขา ตั้งใจแน่วแน่ว่าหากทำการค้านี้ครบสามปีก็จะเลิกทำ แล้วเปลี่ยนไปจับการค้าทางทะเลแทน ข้าว่า หากสกุลซ่งยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าต้องดับสิ้นแน่!”

คิดไม่ถึงว่าฉาป๋อซื่อจะมีข่าวคราวที่รอบด้านเพียงนี้

อวี้ถังพลันรู้สึกนับถือขึ้นมาไม่น้อย

สกุลซ่งคล้ายว่าจะค่อยๆ ตกต่ำลงไปเช่นนี้

อวี้หย่วนไม่รู้เรื่อง คิดว่าฉาป๋อซื่อเจตนาพูดเกินจริงให้ผู้อื่นตื่นตกใจ “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่า?”

ฉาป๋อซื่อขมวดคิ้วตอบว่า “ในเมืองซูโจวของเรามีคนที่ทำการค้ากับราชสำนักอยู่ไม่น้อย แต่มีสกุลไหนบ้างที่ทำแล้วได้กำไรบ้าง? ต้องส่งส่วยให้พวกขันทีแห่งสำนักยี่สิบสี่ยังไม่พอ ยังมีกรมขนส่งทางทะเล กรมพระคลัง กรมโยธาและอีกสารพัดกรม แต่การค้าขายกับราชสำนักนั้นมีชื่อ ได้หน้าได้ตา ใครๆ ต่างก็คิดว่าเจ้าคงรู้จักมักคุ้นกับคนในวังดี เดินออกไปไหนคนทั่วไปต้องเกรงใจเจ้าสามส่วน นี่เป็นสิ่งที่ใช้เงินทองซื้อได้หรือไม่เล่า? อีกอย่างสิ่งของที่เจ้าถวายให้เบื้องบนได้ นั่นย่อมเป็นของดีอันดับหนึ่งแน่ ใครๆ ก็ต้องมาหาซื้อของที่เจ้าอยู่แล้ว หากว่าทิ้งกิจการตรงนี้ไป มิใช่เป็นการประกาศแก่ทุกคนหรือว่าสกุลเจ้าประคองไม่ไหวแล้ว ราชสำนักทางนั้นไม่มีคนหนุนหลัง หมดยุครุ่งเรื่องของสกุลเจ้าแล้ว กำแพงจะล้มยังต้องให้คนผลักเลย ขอแค่สองสามทีเท่านั้น ถ้ากิจการของสกุลยังไปต่อได้ก็ปาฏิหารย์แล้ว!”

กระทั่งฉาป๋อซื่อยังเข้าใจในความจริงข้อนี้ ไม่มีทางที่สกุลซ่งจะคิดไม่ได้

เช่นนั้นที่สกุลซ่งเลือกทางเดินเส้นนี้ ใช่หรือไม่ว่ามีเหตุผลอื่นแอบแฝง

หรือเพราะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสกุลเผย?

แต่ว่า ก่อนหน้าที่พี่น้องสกุลเผยจะออกจากราชการ สกุลซ่งก็เริ่มทำการค้ากับราชสำนักไปแล้วนี่ พวกเขาน่าจะมีเส้นสายของตัวเองมากกว่า?

อวี้ถังคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก นางจึงเลิกคิดดื้อๆ แล้วไปหยั่งเชิงฉาป๋อซื่อว่า “ข้าได้ยินว่าเมืองซูโจวมีสกุลหนึ่งเรียกว่าสกุลเจียง พวกเขาต้องการทำการค้าทางทะเล ตอนนี้เที่ยวหาคนร่วมหุ้มไปทั่ว คนสกุลนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”

ฉาป๋อซื่อเบะปาก เอ่ยว่า “ที่แท้พวกท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยรึ! สกุลเขาเดิมเป็นคนขับเรือ ก็คือเรือที่นำเข้าสินค้าจากหนิงปัวมาซูโจวนี่แหละ หลายปีนี้คงทำเงินได้มากพอตัว จึงคิดอยากได้กำไรก้อนโตโดยที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พวกเราชาวซูโจวต่างก็คอยหัวเราะเยาะเขาอยู่!”

อวี้ถังงุนงงไปทันที

ชาติก่อนนางเคยได้ยินมาจากคนสกุลหลินว่า ขอเพียงสกุลเจียงต้องการออกเรือ แต่ละคนต่างเบียดเสียดเข้าไปเพื่อขอร่วมหุ้มด้วย

เห็นชัดว่านี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกโอ้อวดเกินจริงภายหลังจากที่ผู้อื่นประสบความสำเร็จแล้ว

ถึงเวลานั้นที่พวกเขาเข้าไปร่วมหุ้นด้วย มันก็แค่เรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่งเท่านั้น

หัวใจของอวี้ถังพลันลิงโลดขึ้นมา

นางถามฉาป๋อซื่อว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าสกุลเจียงตั้งอยู่ที่ใด”

ฉาป๋อซื่อเหลือบไปมองทางอวี้ถังอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง แต่เอ่ยกับอวี้หย่วนว่า “เรือนของพวกเขาอยู่ในตรอกตงเจียงห่างจากที่นี่ไม่เท่าไร แต่ว่าคนผู้นี้ไม่เข้าท่าจริงๆ นิสัยหยาบคายและขี้งก คนที่เคยคบหากับเขาล้วนเรียกเขาว่า ‘พ่อไก่เหล็ก’[1] หากว่าท่านต้องการจะร่วมค้าขายกับเขาจริงๆ จะต้องเบิกตาเอาไว้ให้กว้าง ระวังจะถูกหลอกเอาได้นะขอรับ”

แม้อวี้หย่วนจะไม่รู้ว่าอวี้ถังไปรู้จักสกุลเจียงตั้งแต่ตอนไหน แต่เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยนางพูดจาสักหน่อย เขาหัวเราะแล้วเสริมคำของอวี้ถังว่า “พวกเราได้ยินมาระหว่างทางน่ะ จึงเกิดสนใจชั่วครู่ เลยลองสอบถามดู”

ฉาป๋อซื่อถอนหายใจโล่งอก “ชื่อเสียงของสกุลเจียงไม่ค่อยจะดีเท่าไรขอรับ พวกท่านระมัดระวังเอาไว้ย่อมจะดี”

อวี้หย่วนเอ่ยขอบคุณเขา ประจวบกับเพลงที่เลือกเอาไว้ขับร้องจบพอดี ฉาป๋อซื่อตั้งใจจะพาผู้ขับร้องมารับรางวัลกับพวกเขาสักหน่อย หัวข้อสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านี้ ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก

เมื่อออกจากโรงน้ำชา อวี้หย่วนก็หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักกินข้าวกลางวัน อวี้ถังตัดสินใจว่าจะไปดูเรือนสกุลเจียงสักหน่อย

นางบอกอวี้หย่วนว่า “เมื่อวานข้าได้ยินเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมพูด อีกอย่าง เรื่องใดๆ ล้วน ‘หูฟังเป็นเท็จ ตาเห็นเป็นจริง’ อย่างไรพวกเราก็ตั้งใจมาสืบเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดเช่นไร เราลองไปดูเสียก่อน ไม่มีเรื่องอันใดจะสำเร็จลุล่วงตั้งแต่ครั้งแรกหรอกเจ้าค่ะ”

อวี้หย่วนและคนสกุลเซียงต่างเห็นด้วย อวี้หย่วนยังพูดอีกว่า “เป็นเจ้าที่มีโชค ทั้งๆ ที่อยู่โรงเตี๊ยมเดียวกัน พวกเรากลับไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้เลย”

อวี้ถังเหงื่อตก ลากอวี้หย่วนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความร้อนตัว “พวกเราต้องสืบเรื่องที่สกุลเจียงประกาศหาผู้ร่วมหุ้นต่อหรือไม่? เงินเท่าไรนับว่าเป็นหนึ่งหุ้น? รับเพียงเงินเท่านั้นหรือรับสินค้าชนิดอื่นเป็นหุ้นด้วยได้? พวกเขาวางแผนจะออกทะเลกันเมื่อไร? ธุระบนเรือเชิญใครไปจัดการ?”

“ต้องสืบสิ ต้องสืบ!” อวี้หย่วนละล่ำละลักตอบ

คนสกุลเซียงที่ฟังอยู่ข้างๆ พยายามซ่อนยิ้มที่มุมปาก “อาอวี้ สตรีเช่นเจ้าช่างไม่แพ้บุรุษอกสามศอก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน พี่ชายเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่เจ้ากลับไปสืบถามจนแจ่มแจ้งแล้ว ก่อนจะเดินทางมาข้ายังคิดอยู่ ในเมื่อพวกเจ้าต้องการทำมาค้าขาย ข้าก็จะออกมาดูโลกภายนอกเป็นเพื่อนพวกเจ้าด้วย วันนี้ดูท่าแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าคิดอาจเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ หากว่าน้องสาวไม่มองข้าเป็นคนนอก ก็นับข้าเป็นผู้ร่วมหุ้นอีกคนเถอะ”

สามารถทำให้แม่นางเซียงพูดจาขอร่วมเป็นหนึ่งหุ้นได้ มากกว่าครึ่งย่อมเป็นเงินสะสมของนางเอง!

อวี้ถังประหลาดใจมาก ทั้งรู้สึกตื้นตันที่คนสกุลเซียงเชื่อใจนาง ทั้งกังวลว่าหากครั้งนี้สกุลเจียงไม่สำเร็จแล้วจะพลอยพาคนสกุลลำบากไปด้วย

อย่างไรสิ่งที่นางได้ยินมาเมื่อชาติก่อน บัดนี้มองแล้วมิใช่ว่าถูกต้องแม่นยำทั้งหมด

————————————————————-

[1]พ่อไก่เหล็ก อุปมาว่าเป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียว )