อวี้หย่วนจะให้อวี้ถังและคนสกุลเซียงไปพักที่โรงเตี๊ยม ส่วนเขาพาซย่าผิงกุ้ยไปสืบข่าวที่โรงสุราผิงอันต่อ อวี้ถังก็ไม่ได้นั่งว่าง นางสั่งซานมู่ให้ออกไปข้างนอกทันที “เจ้าไปสืบเรื่องสกุลเจียงต่อ ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี” ทั้งยังมอบเงินเหรียญไปให้เขาสิบกว่าเหรียญ “ไม่ต้องเสียดายเงิน ซื้อเม็ดทานตะวันหรือถั่วลันเตาหวานให้เขาก็ได้”
ซานมู่เคยได้ยินอาเสาคุยโวว่า ทำงานให้คุณหนูใหญ่ไม่เคยไปมือเปล่าเลยสักครั้ง ตอนนั้นเขาอิจฉามาก แน่นอนว่าไม่ได้อิจฉาที่อาเสาได้เงินรางวัล แต่นึกอิจฉาที่อาเสาได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย วันนี้เขาได้รับโอกาสนั้น ย่อมจะประหลาดใจเหลือประมาณ ทั้งรับคำอย่างดีอกดีใจ เขาบรรจงเก็บเงินเข้าถุงผ้าแล้ววิ่งหายไปทันที
คนสกุลเซียงเห็นแล้วก็หัวเราะ “อายุอาจจะน้อยไปนิด ทำอะไรไม่ค่อยรอบคอบ ต้องฝึกกันอีกหลายปี”
อวี้ถังหัวเราะพลางเอ่ยเอาใจคนสกุลเซียงว่า “มีพี่สะใภ้อยู่ ยังจะกลัวเขาไม่ได้เรื่องอีกรึเจ้าคะ?”
“ข้าเก่งกาจอย่างที่เจ้าว่าเสียที่ไหน?” คนสกุลเซียงหน้าแดงเรื่อ
สองคนพูดจาหยอกล้อกันอีกหลายประโยค
คนสกุลเซียงเสนอว่าให้ออกไปเดินเที่ยวเล่น “ไม่ต้องไปไกล แค่ดูข้าวของแถวๆ นี้”
โรงเตี๊ยมที่นางพักตั้งอยู่บนถนนอวิ๋นเหอซึ่งคึกคักเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
อวี้ถังย่อมต้องไปเป็นเพื่อนนาง
สองคนปลดปิ่นปักผมและต่างหูออก เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ มวยผมจุก แล้วพาซวงเถากับซย่าเหลียนออกจากโรงเตี๊ยมไป
ด้านข้างเป็นร้านขายผ้า สองคนเดินเข้าไปดูอยู่ค่อนวัน ตัดสินใจซื้อผ้าไหมสีขาวสองพับ ผ้าแพรบางสีขาวสองพับ ผ้าไหมหังโจวลายบุปผาอีกสี่พับ แล้วให้เด็กในร้านไปส่งที่โรงเตี๊ยม สำหรับเตรียมตัดชุดฤดูใบไม้ร่วง ผลปรากฎว่าพอออกจากร้านผ้าไหม ก็เหลือบไปเจอร้านค้าที่ขายชาดทาปากและแป้งผัดหน้าอยู่เยื้องออกไปอีกฝั่งหนึ่ง คนสกุลเซียงสนอกสนใจนัก ลากอวี้ถังไปซื้อน้ำยาทาผมและขี้ผึ้งทาหน้า ทั้งซื้อกลับไปฝากคนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินด้วยจำนวนหนึ่ง
ชาติก่อนอวี้ถังครองตัวเป็นม่าย จะแต่งตัวแต่งหน้าต้องระวังให้เรียบง่ายเข้าไว้ บัดนี้นางอยู่ในช่วงวัยบุปผาเบ่งบาน เสื้อผ้ายังพอแต่งไหว แต่เครื่องทาหน้าทั้งหลายนางกลับใช้ไม่เป็น อย่างมากนางก็แค่ใช้ชาดทาปากเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นทางการมากแล้ว แต่มีหญิงสาวบ้านใดบ้างไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว? อวี้ถังที่ดวงหน้าเปล่าเปลือย ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะแต่งออกมาไม่ดี ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าเป็น ‘คนอัปลักษณ์ทำเรื่องประหลาด’ พอมาได้ยินคนสกุลเซียงพูด ทั้งมองดูดวงหน้าที่แต่งเติมอย่างสะอาดเกลี้ยงเกลาดูมีชีวิตชีวาของพี่สะใภ้ จึงอดจะกระซิบบอกคนสกุลเซียงไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ ท่านสอนข้าแต่งหน้าได้หรือไม่? ข้า ข้าทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น”
คนสกุลเซียงได้ฟังก็หันไปสำรวจอวี้ถังอย่างแปลกใจทีหนึ่ง เม้มปากหัวเราะพลางบีบแก้มนางไปมา “เช่นนี้แล้วยังจะแต่งเติมอีก ยังจะให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ เจ้าน่ะ ไม่ต้องหาเรื่องเหน็ดเหนื่อยตัวเองหรอก อย่างเจ้าแค่ถูชาดทาปากก็นับว่าใช้ได้แล้ว หากจะแต่งหน้า ยังมิสู้ไม่แต่งไม่ได้เลย”
สองคนพูดคุยกระหนุงกระหนิง จนไม่ได้สังเกตผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง คนสกุลเซียงพลันชนกับคนผู้หนึ่งเข้า อีกฝ่ายร้อง ‘ไอหยา’ เสียงอ่อนหวาน คนสกุลเซียงกับอวี้ถังยังไม่ทันมองให้ชัดว่าเป็นผู้ใดก็เอ่ยขอโทษขอโพยไม่หยุดปาก พอเงยหน้าขึ้นจึงรู้ว่าผู้ที่คนสกุลเซียงเดินชนเป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมเสื้อคลุมปักดิ้นทองกลางเก่ากลางใหม่ ในมือถือกล่องชาดทาปาก ยืนชะมดชะม้อยอยู่ตรงนั้น ในความงามมีท่าทีไม่เรียบร้อยหลายส่วน ไม่คล้ายสตรีที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ
อวี้ถังตะลึงค้างเป็นท่อนไม้
คนสกุลเกา!
นางถึงกลับเจอคนสกุลเกาที่นี่
นี่ช่างเป็น…เวรกรรมโดยแท้!
ว่าแต่ ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?
คนปกติหากไปเดินเที่ยวซื้อของมักไปเมืองหังโจว
อวี้ถังครุ่นคิด คนสกุลเซียงทางนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “คุณหนู ขอโทษด้วย ชนเจ้าเข้าตรงไหนหรือไม่? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จากนั้นก็เงยหน้าหันไปมองรอบด้านทีหนึ่ง ก่อนสั่งซย่าเหลียนว่า “เจ้ารีบไปถามดู แถวนี้มีร้านหมอบ้างหรือไม่ พวกเราจะคุณหนูท่านนี้ไปตรวจอาการ!”
เพียงแต่ไม่รอให้ซย่าเหลียนรับคำ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาปรี่ไปประคองคนสกุลเกาทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ดวงตากลมโตของคนสกุลเกาคลอเอ่อด้วยน้ำตา มองชายหนุ่มร่างสูงและหน้าตาหล่อเหลาด้วยท่าทางน่าสงสาร ทั้งเอ่ยเสียงเครือสะอื้นว่า “ท่านพี่ ข้าถูกชนเข้าน่ะ เจ็บเจ้าค่ะ!”
พี่ชาย?!
อวี้ถังพิจารณาชายหนุ่มที่คนสกุลเกาเรียกว่าพี่ชายอย่างละเอียด แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนเคยเจอคนผู้นี้ตอนไหน
ชายหนุ่มผู้นั้นได้ฟังก็รีบดึงคนสกุลเกาไปหลบไว้ด้านหลัง พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
น้องสาวของตนถูกชน ไม่ควรถามก่อนหรือว่าชนเข้าที่ตรงไหน บาดเจ็บบ้างหรือไม่? เหตุใดถึงทำหน้าเหมือนจะหาเรื่องกันเช่นนี้
อวี้ถังกับคนสกุลเซียงมึนงง คนสกุลเกาก็มองอยู่ นางรีบลากชายแขนเสื้อของชายผู้นั้นไว้ แล้วกระซิบเสียงแผ่วว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ พวกเราควรจะรีบกลับแล้ว! ไม่อยากนั้นเถ้าแก่คงตามหาท่านแน่”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นโทสะพลันมลายหายทันที เขาหันหน้าไปพูดกับคนสกุลเกาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” พูดจบ ก็ถลึงตาใส่อวี้ถังกับคนสกุลเซียงอย่างดุดัน แล้วโอบคนสกุลเกาสาวเท้าจากไป
ซย่าเหลียนเดือดปุดๆ จนแทบกระทืบเท้า “คนอะไรเช่นนี้! ข้าเห็นอยู่ตำตา ทั้งๆ ที่นางเดินไม่มองทางจนชนนายหญิงกับคุณหนู ยังจะถลาล้มไปอีก ทำราวกับพวกเราเป็นคนชนนางเสียอย่างนั้น นายหญิงและคุณหนูก็ใจดีเกินไป…”
“ช่างเถอะ!” คนสกุลเซียงห้ามนางไว้ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขี่ม้าลงเรือล้วนอันตราย พวกเราอยู่ด้านนอก ต้องถ่อมตัวระมัดระวังเอาไว้ หากไม่ก่อเรื่องได้ก็อย่าก่อเรื่อง ในเมื่อทุกคนไม่มีใครบาดเจ็บ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดฉากหนึ่งเท่านั้น เจ้าก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก”
ซย่าเหลียนไม่กล้าพูดต่อ ส่วนคนสกุลเซียงก็ลากอวี้ถังเข้าไปในร้านขายชาดทาปาก
อวี้ถังเอาแต่คิดถึงชายหนุ่มคนนั้นกับชาดทาปากในมือของคนสกุลเกา
ชาติก่อน เหมือนว่าคนสกุลเกาก็ใช้แต่ชาดทาปากชนิดนี้
อวี้ถังลองสังเกตสินค้าที่ขายในร้านอย่างละเอียด จนเห็นชาดทาปากแบบเดียวกับที่อยู่ในมือคนสกุลเกา นางถามเด็กดูแลร้านว่า “ชาดทาปากนี้ขายอย่างไร?”
เด็กหนุ่มยิ้มแป้นพลางตอบว่า “นี่เป็นสินค้าดังของร้านเราขอรับ เรียกว่าดอกท้อเดือนสาม พอถูชาดทาปากนี้แล้ว ริมฝีปากจะมีสีเหมือนดอกท้อ…”
อวี้ถังตัดบทเด็กในร้านทันที “กล่องหนึ่งราคาเท่าไร?”
เด็กในร้านไม่กล้าพรรณาข้อดีต่อ รีบตอบว่า “กล่องละห้าตำลึงขอรับ”
อวี้ถังสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด
เด็กในร้านฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอย่ามองว่ามันแพง แท้จริงมันมีเหตุผลที่แพง..”
ความคิดของอวี้ถังล่องลอยไปยังชาติที่แล้ว
คนสกุลเกามีสินเดิม ทว่าสินเดิมของนางไม่ได้มาก อวี้หย่วนตอนช่วงปีแรกๆ ก็ยังหาเงินไม่ได้ อย่างน้อยในสายตานาง คนสกุลเกาไม่มีกำลังจะซื้อชาดทาปากชนิดนี้ตลอดหนึ่งปีสี่ฤดูแน่
ความคิดในสมองอวี้ถังตีกันวุ่น นางรวบรวมสติแล้วเลือกซื้อของกับคนสกุลเซียงต่อ เสร็จแล้วก็พากันกลับโรงเตี๊ยม
อวี้หย่วนให้คนมาส่งข่าว บอกว่ามื้อเย็นจะไม่กลับมากินข้าวด้วย พอถึงเวลาจุดตะเกียง ซานมู่ที่ออกไปสืบเรื่องสกุลเจียงก็วิ่งหน้าตั้งกลับมา
อวี้ถังกับคนสกุลเซียงกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว สองคนไปคุยกับซานมู่ในห้องของอวี้หย่วน
เขาหอบแฮกๆ แล้วกระดกน้ำชาไปครึ่งกา ก่อนจะเล่าเรื่องสกุลเจียงให้สองคนฟังด้วยสีหน้าหลากอารมณ์ “ข้าไปสืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ พวกเขาอาศัยอยู่ในตรอกซูเหมยไม่ห่างจากที่นี่ ผู้นำของสกุลเจียงคนปัจจุบันชื่อว่า เจียงเฉา อายุเพียงยี่สิบสองยี่สิบสามเท่านั้น ตอนเขาอายุได้สิบหก บิดาก็มาด่วนจากไป เขาขายเรือของบิดาทิ้งแล้วติดตามไปขับเรือกับท่านลุง เวลาผ่านไปเพียงสองปี เขาก็ซื้อเรือลำใหม่มาเริ่มการค้าเพียงของตนเองเพียงลำพัง เรือลำนั้นใหญ่กว่าลำที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้เขาเสียอีก แต่สองเดือนก่อนหน้านี้เอง จู่ๆ เขาก็บอกว่าจะเช่าเรือไปซูลู ทั้งยังประกาศระดมหาผู้ร่วมหุ้นด้วย ทุกคนต่างคิดว่าเขาละเมอเพ้อพก คนที่ร่วมหุ้นมีไม่มาก แต่คนที่รอหัวเราะเยาะกลับมีไม่น้อย”
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้าให้เจ้าไปสืบเรื่องของสกุลเจียง เจ้าพูดเรื่องที่เขาระดมทุนเพื่ออะไร?”
ซานมู่หลงประเด็น เขาลูบท้ายทอยแล้วหัวเราะอย่างแก้เขิน “เรื่องในสกุลพวกเขาข้าก็สืบมาแล้วเช่นเดียวกัน เจียงเฉาไม่มีทั้งญาติสนิทหรือว่าคู่หมั้น เขามีน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง แต่เล็กก็หมั้นหมายกับสกุลอู๋ ก่อนจะแต่งไปเมื่อปีก่อน ตอนนี้เขากับมารดาม่ายสองคนอาศัยอยู่ที่จวนสามชั้น มีคนคอยรับใช้อยู่อีกเจ็ดแปดคน…”
เจียงหลิง นางแต่งงานแล้วรึ?
อวี้ถังตกตะลึง ถามว่า “เช่นนั้นเจ้าได้ยินผู้อื่นพูดถึงคนสกุลเจียงบ้างหรือไม่?”
ซานมู่พยักหน้าขึ้นลง “ได้ยินอยู่ขอรับ บอกว่าคุณหนูสกุลนั้นเป็นคนไม่มีโชค เดิมก็แต่งงานเพราะแก้เคล็ด ใครจะคิดว่าอาการป่วยของท่านเขยยิ่งเลวร้ายกว่าเก่า บางครั้งแม่สามีนางก็เอาไปพูดกับเพื่อนบ้านในตรอก บอกว่าเสียใจที่ตอนแรกให้คนสกุลเจียงแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้”
ไม่ต้องพูดถึงอวี้ถัง กระทั่งคนสกุลเซียงได้ฟังยังมุ่นคิ้ว
อวี้ถังได้แต่ถอนหายใจ
นางเอ่ยว่า “แล้วเจ้าสืบได้หรือไม่ว่าเวลาปกติคนสกุลเจียงผู้นั้นมักไปยังสถานที่แห่งใด?”
ซานมู่ตอบว่า “สืบมาแล้วขอรับ ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านแม่เฒ่าสกุลเจียงสุขภาพค่อนข้างแย่ ทุกเช้าคนสกุลเจียงจะกลับไปเยี่ยมสกุลฝั่งมารดา ส่วนเวลาที่เหลือ ก็จะอยู่ในเรือนคอยรับใช้สามีขอรับ”
อวี้ถังรู้สึกว่าซานมู่ทำงานได้คล่องแคล่วไม่เลว จึงเอ่ยชมเขา ตบรางวัลเป็นเงินสิบกว่าเหรียญไม่พอ ยังบอกให้ซวงเถาไปยกหมูผัดน้ำแดง ปลาเปรี้ยวหวาน และผัดผักโขมให้เขาอย่างละหนึ่งจานเพื่อเป็นอาหารเย็น
ซานมู่ปลื้มปริ่มยินดี เอ่ยขอบคุณซ้ำๆ หลายรอบ แล้วขอลาไปกินข้าว
คนสกุลเซียงถามอวี้ถังอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
อวี้ถังตอบยิ้มๆ “ถ้าพี่ชายกลับมาแล้วตอบว่าสามารถค้าขายกับสกุลเจียงได้ ข้าก็จะไปหาแม่นางสกุลเจียงเสียหน่อย พวกเราอย่างไรก็เป็นสตรีเหมือนกัน คงไม่อาจตรงเข้าไปหาเจียงเฉาได้ทันที!”
คนสกุลเซียงถามอย่างวิตกว่า “คนสกุลเจียงไม่ออกมาข้างนอกด้วยซ้ำ เจ้าจะไปเจอนางได้อย่างไร?”
อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “พวกเราคิดทำการค้าอย่างเปิดเผย ต้องการพบเจียงหลิง ก็แค่เดินเข้าไปขอพบอย่างตรงไปตรงมาก็พอแล้ว เหตุใดจึงจะพบนางไม่ได้เล่า? ต่อให้นางไม่ยินดีจะพบข้า ข้าไปสักหลายครั้งหน่อยก็คงสำเร็จเอง คิดว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรแน่”
คนสกุลเซียงอยากจะบอกว่าเรื่องราวมิได้ราบรื่นและง่ายดายอย่างที่นางพูด แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก แล้วพิจารณาวาจาของอวี้ถังอย่างละเอียด ก็นับว่ามีเหตุผลอยู่จริงๆ
นางจึงได้แต่รออวี้หย่วนกลับมาด้วยความอดทน
อวี้หย่วนกลับมาได้ฟังแล้วก็หัวเราะยกใหญ่ เอ่ยกับคนสกุลเซียงว่า “น้องสาวข้าคนนี้ หากลงแรงเพียงห้าส่วนได้ นางจะไม่ใช้แรงสิบส่วนเด็ดขาด แต่เจ้าอย่าว่าไปนะ วิธีการเกียจคร้านของนางนับว่าใช้ได้ไม่เลวเลย” พูดจบ เขาก็ประคองหน้าคนสกุลเซียงไว้แล้ว ‘จุ๊บ’ ที่ริมฝีปากนางทีหนึ่ง เขาจูบนางเสียจนมึนงง ดวงหน้าแดงเห่อเหมือนเลือดออก
“ท่านอย่าทำเช่นนี้ ตรงนี้ยังมีคนอื่นอีก?” นางบ่นเสียงอ่อน จากนั้นถามอวี้หย่วนว่า “ตอนนี้จะเรียกอาอวี้มาเลยหรือไม่?”
“เรียกมาเถอะ!” อวี้หย่วนหัวเราะ “พรุ่งนี้ข้าก็ต้องไปทำธุระต่อ”
คนสกุลเซียงเดินไปตามอวี้ถังด้วยตนเอง
ซานมู่นั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะกลมด้านข้าง อวี้หย่วนชงชาให้พวกนางด้วยตนเอง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ได้ยินมาวันนี้ให้อวี้ถังฟัง