ภาคที่ 2 บทที่ 111 กังวล

มู่หนานจือ

จ้าวอี้ทิ้งคำพูดเอาไว้และจากไป แต่ไทฮองไทเฮากลับไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็เชิญเจียงเจิ้นหยวนเข้าวัง โดยไม่มีเวลาสนใจว่าเป็นวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ และบอกสิ่งที่จ้าวอี้พูดกับนางให้เจียงเจิ้นหยวนฟังตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่มีตกหล่น

เจียงเจิ้นหยวนคาดไม่ถึงมาก่อน เขาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “แม่นมฟางคลอดเมื่อไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ไทฮองไทเฮาไม่รู้ว่าเจียงเจิ้นหยวนถามถึงแม่นมนั่นทำไม ทว่านางเชื่อเจียงเจิ้นหยวนมาตลอด และฟังทุกคำพูดของเจียงเจิ้นหยวนอยู่ในใจ จึงพึมพำว่า “ข้ายังไม่รู้จริงๆ ว่านางคลอดเมื่อไร แต่เท่าที่ข้ารู้ น่าจะประมาณเดือนสอง”

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยว่า “การอภิเษกสมรสของฝ่าบาทต้องได้รับอนุญาตจากไทเฮา เวลานี้ไทเฮาจดจ่ออยู่กับแม่นมฟาง จึงไม่มีกะจิตกะใจจัดการเรื่องของฝ่าบาท ดังนั้นฝ่าบาทน่าจะเลือกฮองเฮาหลังจากแม่นมฟางคลอดลูกแล้ว กระหม่อมคาดว่าน่าจะระหว่างเดือนสามหรือเดือนสี่ พวกเราต้องให้เป่าหนิงแต่งงานก่อนหน้านี้”

ไทฮองไทเฮาไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงเอ่ยอย่างงุนงงว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคนสกุลเฉาหรือไม่?”

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรเฉาไทเฮาก็ไม่มีทางอนุญาตให้จ้าวอี้แต่งงานกับเจียงเซี่ยน ทว่าสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เฉาไทเฮาต้องคิดเพื่อตนเอง ใครจะกล้ารับประกันว่าเฉาไทเฮาจะไม่ใช้เรื่องแต่งงานของเจียงเซี่ยนเป็นข้อต่อรองและเสนอสิ่งที่ตนเองต้องการกับฮ่องเต้

“เมื่อก่อนนางไม่ได้คิดแต่จะให้เฉาเซวียนแต่งงานกับเป่าหนิงหรือ?” ไทฮองไทเฮาเอ่ย “ตอนนี้กลับสู่ขอไป๋ซู่ให้เฉาเซวียน!”

ตามหลัก เฉาไทเฮาเป็นฝ่ายแพ้ก็ไม่มีอำนาจมาเสนอสิ่งที่ตนเองต้องการกับพวกเจียงเจิ้นหยวนแล้ว และเจียงเซี่ยนก็ไม่มีทางที่จะแต่งงานเพื่ออำนาจของทั้งสองฝ่ายเช่นกัน ดังนั้นคนที่ถูกเลือกจึงเป็นไป๋ซู่ที่ฐานะสู้เจียงเซี่ยนไม่ได้

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยว่า “กระหม่อมกลับไม่กลัวเฉาไทเฮาเปลี่ยนใจ กระหม่อมกลัวฝ่าบาทต่างหาก!”

“กลัวฝ่าบาท!” ไทฮองไทเฮาเอ่ย “เจ้ากลัวฝ่าบาทออกราชโองการเลยหรือ?”

“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เจียงเจิ้นหยวนคิดไปไกลยิ่งขึ้น และเอ่ยว่า “เมื่อครู่ไทฮองไทเฮาบอกกระหม่อมว่าฝ่าบาทจะพาเป่าหนิงไปเล่นบนน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่า ฝ่าบาทเดี๋ยวก็ให้น้ำหอมเป็นรางวัลแก่เป่าหนิง เดี๋ยวก็ให้สำนักหมอหลวงทำยาเม็ดให้เป่าหนิง ปกติพวกเราเห็นฝ่าบาทปฏิบัติกับเป่าหนิงอย่างดีเช่นนี้ ก็มีแต่ความดีใจ แต่ในสายตาคนนอก เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายขนาดนี้ ฝ่าบาทปฏิบัติกับเป่าหนิงดีเกินไปหน่อย หากเป่าหนิงแต่งงานกับฝ่าบาท ทั้งสองคนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กอย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว ทว่าหากเป่าหนิงไม่ได้แต่งงานกับฝ่าบาทเล่า? หากฝ่าบาทตั้งฮองเฮาก่อนเป่าหนิงจะแต่งงานล่ะ?”

ยังจะมีใครกล้าแต่งงานกับเป่าหนิงอีก?

เจียงเจิ้นหยวนพูดจนไทฮองไทเฮาเหงื่อตก

นางพึมพำอย่างอ้างว้างว่า “คนอื่นจะไม่คิดว่าเป่าหนิงของพวกเราไม่อยากแต่งงานกับฝ่าบาท มีแต่จะบอกว่าฝ่าบาททอดทิ้งเป่าหนิงของพวกเราแล้ว…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็หวาดกลัวจนตัวสั่น และด่าออกมาอย่างวู่วาม “ข้าก็รู้ว่าเจ้าหลานเวรนั่นเหมือนแม่ของเขา ทำอะไรตามใจชอบตั้งแต่เกิด ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งไม่เอาพี่น้อง และไม่เอาผู้อาวุโส…”

เจียงเจิ้นหยวนจำเป็นต้องไออย่างหนักครั้งหนึ่ง

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดนี้สะกดไว้ในใจของไทฮองไทเฮามานานเกินไปและไม่มีที่ระบายสักทีหรือสาเหตุอื่น ไทฮองไทเฮาวุ่นวายใจจนเปลี่ยนท่าทีไปจากยามปกติอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สนใจสัญญาณของเจียงเจิ้นหยวน ทว่ากลับเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องไอต่อหน้าข้า ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ พวกเจ้าชอบเก็บงำคำพูดไว้ในใจ ข้าแก่แล้ว ข้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้ เขาอยากทำอะไรข้าไม่สน แต่หากเขากล้าแตะต้องเป่าหนิงแม้แต่ปลายเส้นผม ต่อให้ข้าต้องสู้จนตัวตาย ข้าก็จะทำให้เขาสูญสิ้นทุกสิ่งเช่นกัน…”

คำพูดที่ออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจไทฮองไทเฮา ทำให้เจียงเจิ้นหยวนก็นั่งไม่ติดเช่นกัน เขาจึงรีบเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา เย็นพระทัยไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ! นี่เป็นเพียงสิ่งที่กระหม่อมคาดเดาไปเอง ไม่แน่กระหม่อมอาจจะกังวลเกินกว่าเหตุก็ได้? ไทฮองไทเฮาอย่าได้กริ้วจนกระทบพระวรกายเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้า ข้ารู้อยู่แก่ใจ” ถึงแม้ไทฮองไทเฮาจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าน้ำเสียงกลับผ่อนคลายลงมาก นางสั่งเจียงเจิ้นหยวน “เจ้าไม่มีลูกสาวกับลูกชายที่แต่งงานแล้วเสียหน่อย พรุ่งนี้ก็ให้ฮูหยินของเจ้าเข้าวังมา ข้าจะลองปรึกษากับนางเรื่องเลือกสามีของเป่าหนิง และเจ้า…ก็อย่าได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างพวกเราเช่นกัน พวกสตรีในวังเคยเจอผู้ชายสักกี่คนล่ะ! เจ้าบอกคนที่เจ้ารู้จักและสนิทมาให้หมด อย่างไรก็ต้องหาตัวเลือกที่เหมาะสมไว้ให้เป่าหนิงสักสองสามคน หากมีคนสนิทที่ไว้ใจได้ ก็ไปฝากฝังคนอื่นสักหน่อยด้วย ตอนที่รายชื่อไปถึงกรมพิธีการแล้วจะได้ไม่เป็นพวกคนที่ไม่รู้จักไปเสียหมด”

เลือกราชบุตรเขย เป็นงานของกรมพิธีการ

เจียงเซี่ยนเป็นท่านหญิง ไทฮองไทเฮาไม่เคยคิดว่านางจะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้กรมพิธีการเลือกสามีให้

เจียงเจิ้นหยวนเจอกับไทฮองไทเฮาที่โกรธจัดก็ไม่อาจรับมือนางได้เช่นกัน เขาจึงลูบจมูกและคิดในใจว่า ‘แม้ข้าจะไม่มีลูกสาวกับลูกชายที่แต่งงานแล้ว และต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกเขยในบ้านวันที่สาม แต่ข้าก็มีแม่ยายที่ใกล้ตายเช่นกัน…’

วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางเข้าวัง

ไทฮองไทเฮา นาง และไทฮองไท่เฟยเก็บตัวอยู่ในห้องและคุยกันนานมาก

เจียงเซี่ยนถามไป๋ซู่ “รู้ว่าเรื่องอะไรหรือไม่?”

“ไม่รู้!” ไป๋ซู่ฉวยโอกาสที่ยังอยู่ในวัง กะว่าจะให้หลิวเสี่ยวหม่านแนะนำนางในที่ออกไปจากกองพระภูษาให้นางสักสองคน ถึงเวลานั้นก็พาไปตระกูลเฉาในฐานะสินเดิมของเจ้าสาว

นางเหมือนกับเจียงเซี่ยน ไม่ค่อยถนัดงานเย็บปักถักร้อย

ทว่านางก็มีส่วนที่ต่างจากเจียงเซี่ยนหลายส่วน

เจียงเซี่ยนไม่เรียนตลอดชีวิตก็ได้ แต่ไป๋ซู่รักเฉาเซวียน อยากปรนนิบัติเฉาเซวียนอย่างดี พยายามทำให้เขารู้สึกสบาย จึงตั้งใจจะเรียนรู้พวกงานเย็บปักถักร้อยหลังจากเตรียมตัวแต่งงาน

เจียงเซี่ยนก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เช่นกัน ตอนที่ป้าสะใภ้บอกลา เจียงเซี่ยนยังจูงแขนนางไปตลอดทางจนส่งป้าสะใภ้ถึงประตูใหญ่ของวังฉือหนิง

คิดไม่ถึงว่านางกลับเจอหลิวชิงหมิงที่ประตูใหญ่ของวังฉือหนิง

หลิวชิงหมิงยิ้มอย่างประจบและเข้ามาคารวะนาง

เจียงเซี่ยนยืนกอดที่อุ่นมือขนเตียวสีดำอยู่บนขั้นบันไดของประตูใหญ่วังฉือหนิงและยิ้มพลางถามเขา “เจ้าไม่เข้าเวรที่ท้องพระคลัง มาที่วังฉือหนิงทำไม?”

หลิวชิงหมิงยิ้มประจบและเอ่ยว่า “นี่ก็ปีใหม่แล้วไม่ใช่หรือ ข้ายังไม่ได้อวยพรปีใหม่ท่านหญิงอย่างจริงจังเลย วันนี้ข้าจึงเจียดเวลาว่างมา คิดไม่ถึงว่าข้าจะโชคดีจริงๆ ยืนอยู่ตรงนี้ไม่นานก็ได้พบท่านหญิงแล้ว”

ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ข้างกายนางก็มีคนประจบนางมากมาย เพียงแต่ตอนที่เฉาไทเฮาอยู่ ทุกคนไม่ได้เปิดเผยขนาดนี้ หลังจากเฉาไทเฮาเสียชีวิตก็ยิ่งประจบประแจงมากขึ้นเท่านั้นเอง

นางรับถุงเงินคู่หนึ่งที่ใส่เงินตำลึงทองเอาไว้จากในมือฉิงเค่อโยนให้หลิวชิงหมิง และเอ่ยว่า “อั่งเปาให้เจ้า”

“ขอบคุณท่านหญิงมาก ขอบคุณท่านหญิงมากขอรับ!” หลิวชิงหมิงคุกเข่าคำนับนางในพื้นหิมะ แล้วล้วงกล่องชุบเงินกล่องหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เขาประคองไว้ด้วยสองมือ และเอ่ยว่า “นี่เป็นของที่มอบให้ท่านสำหรับปีใหม่ขอรับ ขอให้ท่านสมปรารถนาในทุกเรื่องและแคล้วคลาดปลอดภัย”

เจียงเซี่ยนให้ฉิงเค่อรับไว้

หลิวชิงหมิงพยักหน้า ค้อมตัว และประจบอยู่พักหนึ่งก็จากไป

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว

หลิวชิงหมิงผู้นี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?

นางรับกล่องไป

ครั้งนี้ด้านบนกล่องแกะสลักเป็นรูปแปดเซียนข้ามทะเล หลังจากเปิด สิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในคือคทาสมปรารถนารูปลูกท้อหยกฝูหรง[1]

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก

หยกฝูหรงหาไม่ยาก ที่หายากคือคทาชิ้นนี้มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารก แวววาวโปร่งใส และไม่มีสิ่งเจือปนแม้แต่นิดเดียว

“นี่…นี่…” แม้แต่ฉิงเค่อที่ถือว่ามีความรู้ พอเห็นแล้วก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน “ข้ายังไม่เคยเห็นหยกฝูหรงที่ชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ แถมรูปลักษณ์ยังสวยขนาดนี้…ขันทีหลิวไปเอามาจากไหนกัน?”

ของบางอย่าง มีเงินก็ซื้อไม่ได้

เหมือนพลอยขี้นกการเวกครั้งที่แล้วกับหยกฝูหรงครั้งนี้ คนทั่วไปได้มาชิ้นหนึ่งก็สามารถเป็นมรดกประจำตระกูลได้แล้ว

ทว่าขันทีเล็กๆ อย่างหลิวชิงหมิงกลับสามารถมอบให้นางได้สองชิ้น และมอบของขวัญให้ถึงขนาดนี้ยังไม่เอ่ยข้อเรียกร้อง นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไป

———————