ตอนที่ 94 ของขวัญตอบแทน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ภายในศาลาค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย มีท่อนไม้วางกองเอาไว้ทุกที่ เฉิงฉือสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านสีม่วงอ่อนตัวบาง กำลังถือสิ่วแกะสลักไม้ที่ส่องประกายแวววาวอยู่ราง ๆ และคว้านสลักตัวพิณอยู่พอดี

 

 

มีกลิ่นหอมของไม้จันท์ลอยอยู่ในอากาศอยู่จาง ๆ

 

 

หนานผิงย่อตัวลงทำความเคารพ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ เมื่อสักครู่นี้คุณหนูรองตระกูลโจวจากจวนสี่มาหา ฝากจดหมายเอาไว้ให้ท่านหนึ่งฉบับเจ้าค่ะ”

 

 

“วางไว้ตรงนั้นเถอะ!” ท่าทีของเฉิงฉือเรียบเฉย มองสำรวจตัวพิณที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นโครงในมือนั้นอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว้านแกะเนื้อไม้อีกหลายครั้งอย่างระมัดระวัง

 

 

“เจ้าค่ะ!” หนานผิงขานตอบอย่างนอบน้อม และล่าถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า

 

 

ภายในศาลามีเสียงคว้านแกะสลักดังออกมาเบา ๆ เสียงแล้วเสียงเล่า ไม่เร็วและไม่ช้า ไม่ดังและไม่เบา ทุก ๆ เสียงล้วนไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นเสียงที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ตอนเริ่มฟังในช่วงแรก ๆ นั้นเพียงรู้สึกว่าซ้ำซากจำเจ แต่พอเวลานานเข้า ก็เสมือนกับเสียงของจักจั่นในฤดูร้อน ทำให้คนบังเกิดความหงุดหงิดอยู่ในใจ ยิ่งพอได้ยินมากกยิ่งขึ้น ก็ปรารถนาที่จะออกไปตะโกนดัง ๆ สักครั้ง ให้เสียงนั้นหยุดลงเสียที

 

 

ไหวซานขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเป็นปม ยิ่งอยู่ท่าทางของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ขณะที่เขาเกือบจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วนั้น ภายในศาลาก็พลันเงียบเสียงลงในทันใด

 

 

เขาอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

 

เฉิงฉือกำลังถือตัวพิณเอาไว้และมองซ้ายทีขวาทีกว่าครู่ใหญ่ เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย วางตัวพิณในมือลง พิมพำกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ล้มเหลงอีกแล้ว” จากนั้นก็โยนสิ่วแกะสลักลงบนตั่งตัวยาวที่อยู่ข้าง ๆ

 

 

เขาอดกวาดสายตาไปมองจดหมายที่วางอยู่บนตั่งตัวยาวนั้นไม่ได้

 

 

ซองจดหมายเป็นกระดาษสีทองของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย

 

 

เขานึกถึงคำพูดที่หนานผิงกล่าวเมื่อครู่ขึ้นมา ฉีกซองจดหมายออก

 

 

ตกใจ ประหลาดใจ และสงสัย…ดวงตาของเขาเบิกกว้าง อ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบหนึ่ง

 

 

ยังคงเป็นข้อความเหล่านั้น และยังคงเป็นเนื้อหาเดิมไม่เปลี่ยน…ทว่าเฉิงฉือกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

 

 

คาดไม่ถึงว่านางจะบอกตนอย่างโต้ง ๆ เช่นนี้เลยว่านางฟังไม่เข้าใจ!

 

 

กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าตน?

 

 

กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครตรงไปตรงมาเช่นนี้ต่อหน้าตน?

 

 

เขาหัวเราะร่าอย่างเสียงดัง

 

 

ไหวซานแหงนหน้าขึ้น เห็นเพียงเฉิงฉือที่หัวเราะเสียงดังขณะถือจดหมายที่หนานผิงนำมามอบให้ จากนั้นก็ดึงใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดนั้นกลับมา

 

 

เฉิงฉือวางจดหมายลงบนตั่งตัวยาว

 

 

มีลมโชยเข้ามา กระดาษจดหมายส่งเสียงดัง ราวกับจะปลิวไปตามลม

 

 

เฉิงฉือหยิบท่อนไม้ชิ้นหนึ่งใกล้มือวางทับเอาไว้ ตะโกนเรียกหนานผิงเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปที่เรือนหวานเซียงอีกครั้งหนึ่ง ไปบอกคุณหนูรองตระกูลโจวว่า ควรจะให้คนนำของขวัญส่งไปตอบแทนคุณหนูอาจูด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยบอกนางว่า จูเผิงจวี่แต่งงานแล้วเมื่อห้าปีก่อน แต่ว่าภรรยาแท้งบุตรจนร่างกายได้รับบาดเจ็บในปีที่สองของการแต่งงาน หลังจากนั้นไม่ว่ายาอะไรก็ไม่ได้ผล ล้มป่วยนอนติดเตียงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ นางจึงยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจนถึงทุกวันนี้ ในเดือนสามของปีนี้ หมอจากจิงเฉิงได้กล่าวเอาไว้แล้วว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินฤดูหนาวของปีนี้ จวนเหลียงกั๋วกงได้จัดเตรียมพิธีศพเอาไว้ให้นางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

 

 

หนานผิงประหลาดใจยิ่งนัก

 

 

นายท่านสี่ ที่ผ่านมาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ

 

 

เหตุใด…

 

 

นางเงยหน้าขึ้น กลับเห็นดวงตาที่สว่างสดใสทั้งคู่ของเฉิงฉือ

 

 

หนานผิงรีบก้มหน้าลง ขานรับเสียงหนึ่งว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม จากนั้นก็ล่าถอยออกไป

 

 

เพียงแต่ว่าเมื่อเดินจนเกือบจะถึงหน้าประตูศาลาแล้วนั้น ก็ถูกเฉิงฉือเรียกเอาไว้

 

 

นางรอคำสั่งของเฉิงฉืออยู่เงียบ ๆ

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้าเรียกจี๋อิ๋งเข้ามาหน่อย! ข้าต้องทำพิณ ต้องการคนผู้หนึ่งมายกน้ำชาและรินน้ำให้”

 

 

“นายท่านสี่!” หนานผิงมองเฉิงฉือ ดวงตาทั้งคู่วูบไหวอย่างแวววาว

 

 

น้ำเสียงของเฉิงฉือพลันอ่อนโยนลง กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าออกไปเถอะ!”

 

 

“เจ้าค่ะ!” หนานผิงขานรับเสียงเคร่ง ออกจากศาลาไป

 

 

เฉิงฉือฉับพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาประสานมือไว้ที่ด้านหลังและเดินออกจากศาลาไป

 

 

ไหวซานก้มหน้าลงต่ำ

 

 

เฉิงฉือถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปเดินแถวนี้เป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”

 

 

ไหวซานไม่ได้กล่าวอะไร เดินตามหลังเฉิงฉือไปอย่างเงียบ ๆ เดินมุ่งไปทางทิศใต้ตามทางเดินขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ

 

 

จี๋อิ๋งปรากฏตัวออกมาข้าง ๆ ศาลา

 

 

นางมองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ไม่เห็นเฉิงฉือและไหวซาน เผยรอยยิ้มโล่งอกออกมา แล้วเดินย่องเข้าไปในศาลา

 

 

กระดาษจดหมายดูราวกับผีเสื้อที่ถูกกดทับอยู่บนตั่งตัวยาว และกำลังกระพือปีกไปมา

 

 

นางมองสำรวจศาลาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง มองให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีคนอยู่จริง ๆ จากนั้นค่อย ๆ หยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

 

 

ไม่อยากจะเชื่อ นางอ่านจดหมายอีกครั้งหนึ่ง…

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างสาสมใจราวกับยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นว่า “เฉิงจื่อชวนหนอเฉิงจื่อชวน เจ้าก็มีวันนี้ด้วยเช่นกัน! ข้าให้เจ้าพูดจาให้คดเคี้ยวเข้าไว้ ข้าให้เจ้าลอบคิดบัญชีกับผู้อื่น แต่กลับถูกคนบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าฟังไม่เข้าใจ…หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ข้าจะดูว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงอย่างเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…”

 

 

ขณะที่นางกล่าว ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขึ้น หมุนกายกลับไป

 

 

เฉิงฉือและไหวซานที่เมื่อครู่ยังไม่เห็นแม้แต่เงานั้น ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าประตูศาลาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

“นะ…นายท่านสี่!” สีหน้าของจี๋อิ๋งเผยแววตระหนกออกมาเล็กน้อย กล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ขะ…ข้า….” สายตาของนางตกไปอยู่บนกระดาษจดหมายที่ยังอยู่ในมือของตน…ทันใดนั้นก็รีบวางกระดาษจดหมายลงบนตั่งตัวยาวราวกับถือมันหวานร้อนที่กำลังลวกมืออยู่ลูกหนึ่ง ยังใช้ท่อนไม้ชิ้นหนึ่งวางทับเอาไว้บนกระดาษจดหมาย ให้กลับคืนสู่สภาพเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นมันปลิวออกไป ก็เลยช่วยนำกลับมา…”

 

 

นางพูดโกหกโดยที่ดวงตาไม่กระพริบ

 

 

“ขอบใจมาก!” เฉิงฉือยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้า ราวกับเชื่อถือคำพูดของนางอย่างยิ่ง และกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าล้มเหลวอีกแล้ว อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก จึงออกไปเดินเล่นสักหน่อย ตั้งใจว่าจะกลับมาทำพิณต่อ…ข้าว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบไป ดูข้าทำพิณสักหน่อย บางทีอาจจะสังเกตเห็นได้ว่าข้าทำผิดที่ตรงไหนบ้าง…หากไม่ได้จริง ๆ ก็ช่วยยกน้ำชา หรือรินน้ำให้ข้าก็ได้…เมื่อกี้ข้าเพิ่งจะค้นพบว่า ความจริงแล้วการทำพิณก็เป็นงานที่ต้องใช้แรงมากเหมือนกัน…”

 

 

“ไม่!” สีหน้าของจี๋อิ๋งพลันขาวซีด ลูกตากรอกไปมาไม่หยุด ท่าทางราวกับว่าหากสบโอกาสก็จะยกเท้าวิ่งหนีออกไปในทันที

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัดนัก!”

 

 

จี๋อิ๋งห่อปาก แม้แต่คำว่า ไม่ ที่เพิ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่คำนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา มองไปที่เฉิงฉือ ในแววตามีแววขอร้องราง ๆ อยู่หลายส่วน แตกต่างกับคนที่เผชิญหน้ากับหนานผิงเมื่อครู่นี้ราวกับเป็นคนละคน ไหนเลยจะยังมีท่าทางยโสนั้นอีก หากคนที่พบเห็นนางเป็นครั้งแรก คงจะคิดว่านางดูเหมือนกับภรรยาสาวผู้หนึ่งที่ทุกข์ทรมานกับความเศร้าโศกมามากพอแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เฉิงฉือทำราวกับว่ามองไม่เห็น ยิ้มพลางเดินเข้ามา ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้ากองท่อนไม้ และเริ่มคัดเลือกท่อนไม้

 

 

จี๋อิ๋งหันไปมองไหวซานอย่างขอร้องวิงวอน

 

 

ในตาของไหวซานมีความเห็นใจสายหนึ่งวาบผ่าน ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไร ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป

 

 

จี๋อิ๋งจจ้องเบื้องหลังของไหวซานอย่างคับแค้นใจ กว่าครู่ใหญ่ถึงจะพึมพำกล่าวกับเฉิงฉือว่า “นายท่านสี่ ข้า…บ่าวจะรออยู่ที่ด้านนอกของศาลา หากท่านมีอะไร แค่ตะโกนเรียกบ่าวก็ได้แล้วเจ้าค่ะ…”

 

 

“เจ้าอยู่ที่นี่ก็ได้” เฉิงฉือยังคงเลือกท่อนไม้ต่อไป กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ด้านนอกลมแรงนัก หากว่าทำให้เจ้าจับไข้ขึ้นมาจะทำอย่างไร…” ขณะที่เขาพูด ก็นึกถึงเด็กสาวจากตระกูลโจวผู้นั้นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

ดวงตาอ่อนโยนและสุกใสราวกับน้ำพุในฤดูร้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยแววตื่นตระหนกทว่ากลับแสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็น…อาจูกล่าวว่า ตอนนี้หลิวหย่งมีอำนาจมาก…ท่านน้าฉือ ท่านต้องระวังตัวเอาไว้สักหน่อยถึงจะถูกนะเจ้าคะ…น้ำเสียงทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล ราวกับบัวลอยที่ทานในช่วงวันขึ้นปีใหม่…ตอนที่นางเขียนจดหมายให้ตนยามที่บอกว่าฟังไม่เข้าใจว่าตนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่นั้น ไม่รู้ว่าท่าทางจะเหมือนกับตอนที่ตื่นตระหนกแต่กลับแสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นเช่นนั้นหรือไม่…สีหน้าของเขาจึงอ่อนโยนลง รอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นใจดีขึ้น กล่าวขึ้นว่า “พอดีเลย ข้ามีไม้สนที่ไม่ได้ใช้อยู่ที่นี่ท่อนหนึ่งพอดี เจ้าเอาไปต้มน้ำชามาให้ข้าที่นี่สักหม้อหนึ่งก็แล้วกัน…”

 

 

จี๋อิ๋งเห็นแล้วก็สั่นเทิ้มด้วยความกลัว

 

 

ยิ่งเฉิงจื่อชวนยิ้มอย่างอบอุ่นมากเท่าไหร่ในใจก็ยิ่งเคืองโกรธมากเท่านั้น…นางเพียงแอบเข้ามาอ่านจดหมายที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรของเขาฉบับหนึ่งก็เท่านั้น ตนคงไม่น่าจะโชคร้ายถึงขนาดที่ว่าวิ่งเข้ามายังปากกระบอกปืนของเขาหรอกกระมัง?

 

 

เสียงคว้านแกะสลักไม้ดังขึ้นมาเสียงแล้วเสียงเล่า

 

 

จี๋อิ๋งอยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!

 

 

โจวเสาจิ่นที่เรือนหว่านเซียง กลับมองหนานผิงด้วยอาการปากอ้าตาค้างอย่างตกตะลึง กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

การที่จูเผิงจวี่จะแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่งงาน เกี่ยวอะไรกับนางด้วย

 

 

ท่านน้าฉือหมายความว่าอะไรกันแน่

 

 

เรื่องที่ภรรยาของจูเผิงจวี่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง…ชาติก่อนตอนที่นางอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงนั้น ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าเป็นเพราะป่วยเนื่องจากแท้งบุตรก็เลยไม่ได้รับแต่งตั้งเลยนี่นา?

 

 

นี่ท่านน้าฉือต้องการจะบอกนางเป็นนัยว่าเหลียงกั๋วกงไม่ได้น่านับถืออย่างที่พวกนางมองเห็นหรือเพียงแค่จะบอกนางว่าภรรยาของจูเผิงจวี่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้นกันแน่?

 

 

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้ หากภรรยาของจูเผิงจวี่เสียชีวิต ภรรยาใหม่ของเขาก็สามารถยื่นคำร้องต่อกรมพิธีการ และได้รับบรรดาศักดิ์ในทันที…

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็ตกใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก

 

 

หรือว่าท่านน้าฉือต้องการจะบอกนางว่า…จูเผิงจวี่สนใจในตัวนางอย่างนั้นหรือ

 

 

ราวกับว่ามีคลื่นลูกใหญ่ลูกหนึ่งซัดเข้ามา ทำให้นางตาพร่าหัวหมุนจนไม่สามารถแยกเหนือใต้ออกตกได้

 

 

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

 

ต้องเป็นตนที่เข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน!

 

 

ในวันสารทจีนวันนั้น นางไม่ได้พบหน้าจูเผิงจวี่เลยด้วยซ้ำ…แต่ว่า ครั้งแรกที่นางได้พบกับจูเผิงจวี่ก็คือตอนที่ท่านน้าฉือกับเขานั่งดื่มชาด้วยกันที่ศาลาซานจือ…ถ้าคนที่เขาสนใจคือตน เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้ถึงจะส่งของขวัญมาให้นางกันเล่า ส่วนพี่สาวก็เป็นผู้ที่มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว…หรือจะเป็นเฉิงเจีย…เช่นนั้นหลี่จิ้งจะทำอย่างไรดี

 

 

นางตัวสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัวไปครั้งหนึ่ง

 

 

อยากจะสอบถามหนานผิงให้ละเอียดว่าตกลงเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นท่าทีสงบที่ในตาแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มของหนานผิงแล้ว นางจึงคิดว่าคำพูดของท่านน้าฉือน่าจะกล่าวถึงแค่ตรงนี้ หากนางยังจะถามอีก…ก็ดูโง่เขลาเกินไปหน่อย

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องกล่าวขอบคุณหนานผิง แล้วให้สาวใช้ส่งนางออกประตูไป

 

 

แต่พอหนานผิงออกไปแล้ว นางก็หยิบถุงหอมที่อยู่ใกล้มือมาคู่หนึ่งในทันที แล้วสั่งให้ฝานหลิวซื่อนำไปส่งให้กับอาจูที่จวนเหลียงกั๋วกง ทั้งยังกล่าวย้ำเตือนนางครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “หากมีผู้ใดถามเจ้า เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอให้พบอาจูแล้วค่อยมอบของให้นางด้วยมือของเจ้า”

 

 

ฝานหลิวซื่อยังคิดว่าพวกนางคงจะมีความลับอะไรระหว่างพี่สาวน้องสาว จึงยิ้มพลางขานรับ และนำถุงหอมไปที่จวนเหลียงกั๋วกง

 

 

โจวเสาจิ่นรออย่างกระวนกระวายนั่งไม่ติดที่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนถึงตอนเย็นที่ฝานหลิวซื่อกลับมา

 

 

นางกล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “ข้านำของมอบให้กับคุณหนูอาจูด้วยมือของข้าเอง คุณหนูอาจูประหลาดใจยิ่งนัก ยังถามข้าว่าเหตุใดถึงนำถุงหอมมามอบให้นางสองใบ ข้าบอกไปว่าเป็นคำสั่งของคุณหนู คุณหนูอาจูจึงรับไปอย่างดีอกดีใจ ยังให้ข้านำผลหลี่ที่ยังสด ๆ ใหม่ ๆ กลับมาด้วยอีกสองตะกร้า กล่าวว่ามีคนนำมามอบให้จวนเหลียงกั๋วกง ให้ข้านำกลับมาให้ท่าน คุณหนูใหญ่ คุณหนูเจีย และบรรดาญาติผู้ใหญ่ในบ้านได้ชิมความสดใหม่นี้สักหน่อยเจ้าค่ะ”

 

 

หรือกล่าวอีกนัยก็คือ อาจูไม่ได้เป็นคนส่งของขวัญมาให้นั่นเอง

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกเหน็บหนาวอยู่ในใจ

 

 

นางไม่แม้แต่จะคิดอะไร ก็วิ่งไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย

 

 

คนที่หยุดนางเอาไว้ยังคงเป็นชิงเฟิงคนเดิม

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าบอกว่าไม่รู้จักข้า…ข้าต้องการพบแม่นางหนานผิง”

 

 

หากนางไปขอพบเฉิงฉือเช่นนี้ พวกเขาต้องบอกว่าเขาไม่อยู่อย่างแน่นอน

 

 

บนใบหน้าของชิงเฟิงเผยความไม่พอใจออกมาให้เห็น กำลังจะกล่าว โจวเสาจิ่นก็จ้องเขาอย่างขุ่นเคืองครั้งหนึ่ง และกล่าวขึ้นอย่างแข็งกร้าวว่า “หากเจ้าไม่ไปรายงาน ข้าจะยืนตะโกนร้องเสียงดังอยู่ที่นี่…ข้าไม่เชื่อว่า เจ้าจะสามารถหยุดปากของข้าได้”

 

 

อย่างไรเสียโดยนามแล้ว นางเป็นแขก ส่วนชิงเฟิงเป็นบ่าว

 

 

ชิงเฟิงโกรธจนปากสั่นระริก สะบัดแขนเสื้อจากไป

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

หากชิงเฟิงไม่ไปรายงานให้นางจริง ๆ…ต่อให้ให้นางยืมถุงน้ำดีมาได้อีกหนึ่งอัน นางก็ไม่กล้าตะโกนโหวกเหวกก่อความวุ่นวายในเวลานี้เช่นกัน!

 

 

เช่นนั้นก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว

 

 

ต่อไปนางยังอยากจะเจอท่านน้าฉืออยู่อีกหรือไม่….

 

 

………………………………………………………………