ไม่นาน หนานผิงพร้อมด้วยชิงเฟิงก็เดินอย่างรีบเร่งมาหาโจวเสาจิ่น

 

 

“คุณหนูรอง” นางกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ท่านมาได้อย่างไร ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นมองชิงเฟิงครั้งหนึ่ง

 

 

ชิงเฟิงเหลือบมองนางอย่างขุ่นเคืองครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายจากไป

 

 

โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของหนานผิงเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “แม่นางหนานผิง ข้าต้องการพบท่านน้าฉือ…เจ้าอย่าบอกข้าว่าเขาไม่อยู่ ถ้าเขาไม่อยู่ เจ้าคงไม่อาจนำความของเขามาบอกข้าอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้…หรือต่อให้เมื่อครู่นี้เขาไม่อยู่ แต่ตอนนี้ก็น่าจะกลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องที่ด่วนมาก ด่วนมากจริง ๆ!” เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย คำพูดของนางมีแวววิงวอนอยู่เล็กน้อยโดยไม่รู้สึกตัว

 

 

หนานผิงเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นท่านรออยู่ที่นี่สักครู่”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก

 

 

หนานผิงไปรายงาน

 

 

โจวเสาจิ่นยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถง รออยู่ด้วยอาการกระวนกระวาย

 

 

ตอนที่วิ่งเข้ามานั้นเต็มไปด้วยความเลือดร้อน แต่ตอนที่ยืนรออยู่ที่นี่ นางกลับรู้สึกลังเลขึ้นมา

 

 

หากท่านน้าฉือไม่ยอมให้นางเข้าพบจะทำอย่างไรดี

 

 

พบหน้าแล้วแต่ไม่สนใจเรื่องของนางจะทำอย่างไรดี

 

 

นางควรทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ท่านน้าฉือสนใจขึ้นมาได้

 

 

นิ้วของโจวเสาจิ่นบีบรัดเข้าด้วยกัน

 

 

หนานผิงเดินเข้ามาอย่างรีบเร่ง

 

 

“คุณหนูรอง” น้ำเสียงของนางแฝงเอาไว้ด้วยความความประหลาดใจอย่างที่โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ “นายท่านสี่ให้ท่านไปที่ศาลาชิงอินเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าศาลาชิงอินที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน

 

 

นางเดินตามหนานผิงไป

 

 

กระทั่งผ่านต้นกุ้ยเก่าแก่ที่เพิ่งจะถูกตัดแต่งกิ่งไปต้นหนึ่ง ก็มองเห็นศาลาหลังหนึ่ง

 

 

กำแพงสีขาวที่มุงด้วยหลังคาสีขี้เถ้า กว้างไม่เกินหนึ่งห้องกั้น บานประตูทั้งสี่ด้านฝังเอาไว้ด้วยกระจกใส ตรงมุมชายคาแขวนเอาไว้ด้วยระฆังทองแดง ตรงประตูแขวนเอาไว้ด้วยป้ายสีดำฉาบทอง ตัวอักษรขนาดใหญ่สามคำ ‘ศาลาชิงอิน’ ถูกเขียนเอาไว้อย่างมีชีวิตชีวาราวมังกรและนกเฟิ่งที่กำลังเต้นระบำโบยบิน

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง

 

 

ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

 

 

พวกนางใช้เวลาเดินมาเกือบจะสองก้านธูป นางรู้สึกปวดเท้าขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกที่สุดของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยแล้วกระมัง

 

 

หนานผิงเปิดบานประตูออก

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือกำลังเก็บสิ่วแกะสลักไม้และอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่

 

 

เพียงแวบเดียวนางก็มองเห็นพิณที่เพิ่งจะขึ้นโครงใหม่ชิ้นหนึ่ง

 

 

ถึงว่าท่านน้าฉือไม่ยอมพบแขก ที่แท้เขากำลังทำพิณอยู่นี่เอง

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

นางก้าวออกไปทำความเคารพเฉิงฉือ

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เจ้ามาแล้วหรือ! ในนี้รกมาก พวกเราไปคุยกันด้านนอกก็แล้วกัน!

 

 

ภายในศาลาค่อนข้างรกจริง ๆ ขี้เลื่อย เศษไม้ ขี้กบไม้ และท่อนไม้วางเรียงรายเต็มพื้น บนร่างของท่านน้าฉือก็เต็มไปด้วยขี้เลื่อยกับเศษไม้ด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

โจวเสาจิ่นขานรับยิ้ม ๆ ทว่าท่าทางกลับเรียบเฉยเล็กน้อย

 

 

นางเห็นจี๋อิ๋ง

 

 

ภายในศาลาที่ไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าเย็นชาของนางราวกับไข่มุกที่สุกใส ต่อให้ในตอนแรกจะมองไม่เห็นนาง แต่ผ่านไปไม่นานย่อมถูกสังเกตเห็นได้

 

 

เพียงแต่ว่าในเวลานี้นางสวมเพียงเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายสีดำตัวหนึ่ง นั่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างสิ้นหวังและชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่บนพื้น ท่าทางเหนื่อยอ่อน ในตาดูตื่นตระหนกและหวาดกลัว ราวกับผ่านเรื่องร้ายแรงมาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

 

 

เฉิงฉือเห็นแล้วเพียงหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้กล่าวอธิบาย และก็ไม่ได้กล่าวอะไรให้ชัดเจน เพียงตบเสื้อผ้าครู่หนึ่ง แล้วเดินตรงออกไปด้านนอก

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็จำต้องทำราวกับว่ามองไม่เห็น และเดินตามออกไป

 

 

หลั่งเย่ว์กับไหวซานไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ไหน คนหนึ่งต้มชา อีกคนหนึ่งยกโต๊ะกับเก้าอี้ ไม่นาน ใต้ชายคาของศาลาก็มีสถานที่ให้นั่งได้ขึ้นมาที่หนึ่ง

 

 

เฉิงฉือผลักถ้วยชาที่มีน้ำชารินเอาไว้ร้อน ๆ ไปทางนาง กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นชาเขียวปี้หลัวชุนที่เก็บก่อนวันชิงหมิง เจ้าลองชิมดู”

 

 

กลิ่นหอมสดชื่น สีน้ำชาใสแจ๋ว รสสัมผัสหลังดื่มกระตุ้นต่อมน้ำลายดียิ่ง

 

 

เป็นน้ำชาที่ดี แต่นางในตอนนี้ไหนเลยจะมีแก่ใจมานั่งดื่มชา

 

 

คิดถึงว่าต่อให้ตนมีความสามารถในการคิดอย่างปี่กัน แต่ก็เกรงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉิงฉือก็อาจจะยังไม่เพียงพอ นางจึงเพียงละทิ้งคำพูดหลอกลวงพวกนั้นเอาไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านน้าฉือ ชานี้รสชาติดียิ่ง เพียงแต่ข้ากำลังกังวลด้วยเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกง…ที่มาหาท่าน ก็ด้วยเรื่องนี้…เพราะเหตุใดจูเผิงจวี่ผู้นั้นถึงได้ส่งของขวัญล้ำค่าขนาดนั้นมาให้ข้า พี่สาวกับเฉิงเจียด้วยเจ้าคะ ท่านให้หนานผิงนำความบางอย่างไปบอกข้า ก็เพราะว่าทราบอะไรบางอย่างมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

นางมองเขาตาไม่กระพริบ ดวงตากระจ่างใสราวกับน้ำพุเย็น คิ้วเข้มราวเม็ดสีดำ สีหน้าเผยความคาดหวังออกมาให้เห็นราง ๆ อยู่หลายส่วน ราวกับว่านอกจากเขาแล้ว นางไม่มีที่ให้พึ่งพิงได้อีก

 

 

เฉิงฉือพลันใจเต้นขึ้นมาในทันใด

 

 

เด็กโง่ผู้นี้!

 

 

อยู่ ๆ จูเผิงจวี่ก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาในทันใด เขาจึงเอะใจขึ้นมา เพียงแต่ว่าประการแรกเขาไม่อยากจะสนใจเรื่องพวกนี้ และประการที่สองจูเผิงจวี่มีแผนการอะไรกันแน่นั้นเขายังไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ถึงได้รอดูท่าทีของสถานการณ์ก่อน ต่อมาคาดเดาว่าจูเผิงจวี่หากไม่ใช่ว่าสนใจในตัวโจวเสาจิ่นก็น่าจะสนใจในตัวเฉิงเจีย…เฉิงเจียนั้นเขาไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นโจวเสาจิ่นนั้นไม่มีใครให้พึ่งพาได้ จะดีจะร้ายก็เคยอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาก่อน ยามออกไปข้างนอก ในสายตาของผู้อื่นก็มองว่าเป็นคนของจวนหลักของพวกเขา…หากนางกับเฉิงเจียซ่านมีความรู้สึกแบบชายหญิงต่อกันจริง ๆ อย่างไรเสียเขาก็ต้องแนะนำนางสักหน่อย…เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องที่ผู้คนยากที่ยอมรับได้เกิดขึ้น…ต่อให้แต่งเข้าจวนเหลียงกั๋วกง ก็จะได้ไม่ถูกปิดหูปิดตา ถูกหลอกให้หลงอยู่ในทางของผู้อื่น…

 

 

ใครจะคิดว่าเด็กคนนี้กลับเป็นคนโง่เขลาผู้หนึ่ง นอกจากไม่รู้ว่าควรจะไปสืบความตามคำพูดของเขาดูสักหน่อยแล้ว ยังวิ่งมาถามเขาถึงเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยอย่างไม่ระมัดระวังอีกด้วย…

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกราวกับจะปวดฟันขึ้นมา

 

 

เขาโตมาขนาดนี้ ตลอดชีวิตของเขานี่เป็นครั้งแรกที่คาดการณ์ผิดไป

 

 

เด็กสาวที่ดูฉลาดเฉลียวขนาดนี้ แท้จริงกลับเป็นคนที่ไม่มีความสามารถในการตรึกตรองผู้หนึ่ง

 

 

เขาจำต้องให้หนานผิงนำความไปบอกนางให้กระจ่าง

 

 

นางจึงไปสืบหาที่มาของของขวัญตามคำแนะนำของตน แต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังวิ่งมาขอความเห็นของตนถึงที่นี่อีก ยังข่มขู่ชิงเฟิงด้วยว่า หากไม่ยอมไปรายงานให้นาง นางจะตะโกนอยู่หน้าประตู…ก็ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากผู้ใด

 

 

เหตุใดถึงได้มีใบหน้าที่งดงามและสุกใสราวไข่มุกและหยาดน้ำค้างยามเช้าเช่นนี้ได้?

 

 

เฉิงฉือถอนหายใจอยู่ในใจ อดไม่ได้มองโจวเสาจิ่นอีกครั้งหนึ่ง

 

 

เส้นผมสีดำสนิทนั้นไม่ถึงกับว่าดกหนา แต่ก็เรียบรื่นเป็นมันวาว ดวงตาโตทรงเม็ดถั่วซิ่ง หางตายกขึ้น ทำให้นางดูมีเสน่ห์ที่น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติ หากไม่ใช่เพราะมีแววตาที่กระจ่างใส เกรงว่าจะกลายเป็นดวงตาที่ผู้คนต่างเรียกขานว่าดวงตาดอกท้อเสียแล้ว จมูกตั้งตรงงดงาม ริมฝีปากอมชมพู บางเล็กและมีเลือดฝาด ราวกับกลีบดอกไม้ก็ไม่ปาน เข้ากันพอดีกับใบหน้าทรงรีที่ใหญ่เพียงฝ่ามือ ทำให้นางดูน่ารักและอ่อนหวาน…ไม่แปลกใจที่เฉิงเจียซ่านกับเฉิงเซียงชิงต่างก็วิ่งตามนางต้อย ๆ

 

 

หากเขาเป็นเฉิงเจียซ่านหรือไม่ก็เฉิงเซียงชิง เกรงว่าก็คงจะทุกข์ใจด้วยเรื่องคนงามผู้นี้เช่นเดียวกัน

 

 

เฉิงฉือเหม่อลอยเล็กน้อย

 

 

เฉิงเจียซ่านไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้จักหนักเบา ทว่าเพื่อโจวเสาจิ่นแล้วกลับดึงเฉิงเซียงชิงมาอยู่ในแวดวงของตนเอง เดิมทีหากไม่ใช่วางแผนให้เฉิงเซียงชิงต้องอับอายก็คิดอยากให้เฉิงเซียงชิงรู้จักถอยยามเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ใครจะรู้ว่าเฉิงเซียงชิงผู้นี้กลับไม่ง่ายดายนัก เฉิงเจียซ่านไม่เพียงไม่สามารถทำให้เฉิงเซียงชิงอับอายหรือรู้จักถอยยามเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากเท่านั้น ยังถูกเฉิงเซียงชิงกล่าวหว่านล้อมจนเปลี่ยนความคิด และดึงเฉิงเซียงชิงผู้นั้นมาเป็นสหาย ไปมาหาสู่กันขึ้นมา…หากโจวเสาจิ่นจะแต่งให้ผู้ใด เฉิงเจียซ่านนั้นไม่ต้องพูดถึง รูปร่างหน้าตา ฐานะของตระกูล ศีลธรรมความดีงามล้วนคู่ควรและเหมาะสม แม้แต่เฉิงเซียงชิงผู้นั้นก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก ส่วนจูเผิงจวี่ ด้วยข้อจำกัดของสถานะที่มีติดตัว ไม่เพียงไม่อาจช่วยเหลืออะไรโจวเจิ้นได้แล้ว ยังอาจจะทำให้หน้าที่การงานในราชสำนักของโจวเสาจิ่นสะดุดลงเนื่องจากมีข้อครหาในฐานะที่ไปเกี่ยวดองกับตระกูลของเชื้อพระวงศ์อีกด้วย ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่นักเช่นเดียวกัน แม้แต่ตระกูลเฉิงเองก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

 

 

แต่สำหรับเด็กสาวแล้ว โดยปกติล้วนไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้อย่างถี่ถ้วน

 

 

คิดเพียงแต่ว่าจวนเหลียงกั๋วกงนั้นมีสถานะที่สูงส่งในสังคม เมื่อแต่งเข้าไปแล้วก็จะมีบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง ต่อไปลูกหลานในอนาคต จะโชคดีไม่มีที่สิ้นสุด อะไรก็มีแล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลใจอะไรอีก เพียงรอคอยความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งก็พอ…

 

 

ไม่มีใครพูดจา ลมโชยเข้ามา กิ่งไม้ส่งเสียงดังซู่ซ่า รอบด้านต่างเงียบสงัด

 

 

ความเงียบของเฉิงฉือ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจ นางบีบนิ้ว และขยับตัวอย่างกระวนกระวาย

 

 

เสียงกรอบแกรบเบา ๆ ที่ไม่ใช่เสียงที่มีอยู่ในศาลาในยามปกติทำให้เฉิงฉือได้สติกลับมา

 

 

เขาเห็นโจวเสาจิ่นบีบนิ้วมือเข้าด้วยกัน

 

 

บอบบาง เรียวยาว เนียนขาว และปลายนิ้วก็ค่อนข้างแดงเล็กน้อย ราวกับว่าแกะสลักมาจากหยกมันแพะชั้นดี นางบีบรัดนิ้วมือจนยุ่งเหยิงไปหมดเช่นนั้น นางไม่รู้สึกเจ็บเลยหรือ

 

 

หรือว่ากระดูกของนางยังเจริญได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงยังคงอ่อนตัวเป็นอย่างมากอยู่?

 

 

เฉิงฉือไม่เคยมีประสบการณ์ให้ต้องข้องเกี่ยวกับเด็กสาวอย่างเช่นโจวเสาจิ่นเช่นนี้มาก่อน ความคิดที่คิดวนไปวนมาอยู่ในหัวของเขาจึงถูกโยนทิ้งไป เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ถ้าหากคนที่จูเผิงจวี่สนใจเป็นเจ้า…”

 

 

คำพูดของเขาเพิ่งจะออกจากปาก โจวเสาจิ่นก็ราวกับกระต่ายที่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนสีหน้าขาวซีด ดวงตาเครือไปด้วยความหวาดกลัว “เป็นไปไม่ได้ ๆ เขาไม่มีทางสนใจในตัวข้าเจ้าค่ะ…ตอนที่ข้าเจอเขาที่ศาลาซานจือเมื่อคราวก่อน…” พอกล่าวถึงตรงนี้ ร่างของนางก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ถูกจูเผิงจวี่ให้ความสนใจมีอะไรให้ต้องกลัวขนาดนั้นกันหรือ

 

 

เฉิงฉือไม่เข้าใจ ทว่าก็ดูออกว่านางหวาดกลัวจริง ๆ เขาอดไม่ได้ลดเสียงให้อ่อนโยนลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงพูดว่าถ้าหาก…”

 

 

“ถ้าหากก็ไม่ได้เจ้าค่ะ!” คำพูดของเขาถูกโจวเสาจิ่นกล่าวขัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “ข้าไม่แต่งให้เขาเจ้าค่ะ…” เพียงแค่นางคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา ก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อของข้าบอกว่า เขาจะกลับมาตอนเดือนแปด ท่านพ่อของข้าย่อมไม่ให้ข้าแต่งให้เขาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…จริงด้วย ข้ายังมีท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจให้ข้าได้ เขาย่อมไม่ให้ข้าแต่งให้เขาอย่างแน่นอน..” นางพึมพำกล่าว น่าจะเป็นการพูดให้ตัวเองฟังเพื่อปลอบใจตัวเองมากกว่าพูดให้เฉิงฉือฟัง

 

 

ตราบใดที่สมองของโจวเจิ้นยังไม่ได้ถูกเตะจนเลอะเลือน ล้วนไม่อาจยอมให้บุตรสาวของตนแต่งให้จูเผิงจวี่อย่างแน่นอน นอกจากนี้โจวเจิ้นในความเข้าใจของเขาแล้ว สมองของโจวเจิ้นไม่เพียงไม่เคยถูกเตะจนเลอะเลือน แต่ยังมีความคิดที่เฉียบขาด ฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างมากอีกด้วย!

 

 

เหตุใดบุตรสาวของเขากลับไม่เหมือนเขาเลยสักนิด

 

 

ไม่รู้ว่าหลังจากที่โจวเจิ้นทราบว่าบุตรสาวของตนผู้นี้คิดเห็นอย่างไรแล้วจะมีท่าทางเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

เฉิงฉือกระซิบกล่าวอยู่ในใจ อย่างไรเสียก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เด็กสาวกลัว จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ได้ ๆ ๆ ไม่มีถ้าหากก็ไม่มีถ้าหาก!”

 

 

ได้ยินคำยืนยันของเขาแล้ว อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ค่อย ๆ สงบลงมา

 

 

เฉิงฉือเห็นแล้วก็ลอบส่ายหัว ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าการแต่งงานของบุตรชายบุตรสาวจะขึ้นอยู่กับบิดามารดา แต่ก็ไม่มีบิดามารดาคนไหนที่ไม่อยากให้บุตรหลานได้แต่งงานอย่างมีความสุข เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป จะดีจะร้ายเจ้าก็เป็นเด็กสาวของตระกูลเฉิง ต่อให้ตระกูลเฉิงจะผิดธรรมเนียมอย่างไร ก็ไม่อาจจับพวกเจ้าแต่งให้ใครตามใจชอบโดยที่ไม่สนใจความยินยอมของพวกเจ้า”

 

 

นางแซ่ ‘โจว’ ต่างหากเล่า

 

 

โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉิงหรือคนจากข้างนอก หรือแม้แต่ตัวนางเอง บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กสาวของตระกูลเฉิง!

 

 

อย่างไรก็ตาม จวนหลักย่อมไม่จับบุตรสาวแต่งให้ใครตามใจชอบอย่างแน่นอน

 

 

เฉิงเจิงนั้นนางไม่ทราบ แต่ก่อนที่เฉิงเซียวจะแต่งออกไปนั้นกลับเคยได้พบกับหยวนหมิงผู้เป็นสามีมาก่อน ยังได้พบกันอยู่เนือง ๆ อยู่หลายครั้งอีกด้วย เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างพอใจซึ่งกันและกันแล้ว ถึงได้มีการหมั้นหมายกันเกิดขึ้น ดังนั้นในช่วงปีแรก ๆ ที่เฉิงเซียวแต่งงานออกไปนั้นก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไร หยวนหมิงเองก็ไม่ได้มีมีแววว่าต้องการรับอนุแต่อย่างใด ทั้งสองคนต่างรักใคร่กันดีเป็นอย่างมากมาโดยตลอด แม้แต่เฉิงเซิง ตอนที่ไปจิงเฉิงแรก ๆ นั้น ถูกผู้คนด้านนอกเล่าขานกันว่าเป็นเพราะเด็กสาวโตแล้ว ไปอยู่กับมารดาแท้ ๆ น่าจะดีกว่า แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะว่าเฉิงจิงหาคู่ที่เหมาะสมให้เฉิงเซิงได้คนหนึ่ง จึงอยากให้เฉิงเซิงกับอีกฝ่ายได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันช่วงหนึ่ง เพื่อดูว่าต่างคนต่างพึงพอใจกันและกันหรือไม่…

 

 

ชาติก่อนนางค่อนข้างจะชื่นชมเฉิงจิง รู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ทั้งใจกว้าง มีเหตุผลและมีมารยาท แม้แต่ตอนที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับนางแล้วในชาติก่อน ตอนที่นางสิ้นหวัง ก็เคยคิดว่า หากนางได้เป็นบุตรสะใภ้ของเฉิงจิงแล้ว เฉิงจิงย่อมปฏิบัติกับนางอย่างดีด้วยเช่นกัน

 

 

แต่ถ้าคนที่จูเผิงจวี่สนใจคือเฉิงเจีย เจียงซื่อของจวนสามจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไปหรือไม่

 

 

จวนสามนั้นทำการค้าไม่ใช่หรือ

 

 

คนทำการค้าย่อมเห็นแก่คำว่า ‘ผลประโยชน์’ มาเป็นอันดับหนึ่ง!

 

 

………………………………………………………………….