ตอนที่ 108 มู่เฉิงซีขอแต่งงาน แผนการลอบกัดเกิดขึ้น

เดิมพันเสน่หา

สีหน้าของหนานกงเยี่ยเรียบเฉย “น่าสงสารมาก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ เธอหลับตาลง เข้าใจในสิ่งที่หนานกงเยี่ยพูด อวี้หลานซีไม่ใช่คนที่เขาต้องการ เขาไม่มีวันรักเธอ แต่เธอเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญ ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้ 

 

 

แต่ว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เธอไม่มีวันเป็นห่วงใคร 

 

 

“นอนหลับเถอะครับ” หนานกงเยี่ยประทับจูบลงบนหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา หลับตาลง ตอนแรกเขาอยากให้วันนี้เป็นวันที่โรแมนติกของเธอ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ 

 

 

ภายในใจของเหลิ่งรั่วปิงเงียบสงบมาก ดังนั้นใช้เวลาไม่นานเธอก็นอนหลับแล้ว 

 

 

ตอนประมาณบ่ายสามโมง ประตูห้องถูกเคาะด้วยความร้อนใจ ด้านนอกมีเสียงของเวินอี๋ เธอร้องเรียกเสียงสั่น “พี่รั่วปิง พี่รั่วปิง!” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงตื่นจากฝัน เธอเด้งตัวขึ้นมา ลงจากเตียงแล้วไปเปิดประตู “เวินอี๋ เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

“พี่รั่วปิง!” เวินอี๋กอดเหลิ่งรั่วปิงแล้วร้องไห้ไม่หยุด 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วแล้วชำเลืองมองมู่เฉิงซีที่อยู่ด้านหลัง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” 

 

 

มู่เฉิงซีมองเวินอี๋ด้วยความปวดใจ เขาพูดอย่างยากลำบาก “ลุงเวิน…จากไปแล้ว” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกหนักอึ้งที่หัวใจ เธอแทบจะรับน้ำหนักของเวินอี๋ไม่ไหว โชคดีที่หนานกงเยี่ยพยุงตัวเธอเอาไว้ ถึงแม้เธอจะปิดบังความสัมพันธ์ของเธอกับเวินอี๋มาโดยตลอด แต่หนานกงเยี่ยและมู่เฉิงซีรู้ทุกอย่างมานานแล้ว พวกเขารู้ว่าเวินจี๋ไห่สำคัญกับเธอแค่ไหน พวกเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่เธอเสียใจ 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ต้องทนรับความเจ็บปวดกับการจากไปของคนที่รัก หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเหมือนดั่งมีด ภาพในอดีตฉายอยู่ตรงหน้าเธอราวกับภาพยนตร์ น้ำตาไหลรินลงมาไม่หยุดเหมือนลูกปัดกลิ้งไถล หยดน้ำใสไหลลงมา มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น 

 

 

นอกจากเสียใจแล้ว ความเกลียดแค้นของเธอพุ่งทยานขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่มีวันปล่อยให้คนตระกูลลั่วมีชีวิตที่ดีเด็ดขาด! 

 

 

ถึงแม้เธอจะรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่เมื่อเทียบกับเวินอี๋แล้ว เธอยังคงเป็นคนที่เข้มแข็ง เธอตบบ่าของเวินอี๋เบาๆ “พอแล้ว อย่าร้องไห้เลย เวินอี๋ลืมไปแล้วหรอว่าลุงเวินเคยพูดว่ายังไง สำหรับคุณลุงแล้วการจากไปถือเป็นการหลุดพ้น” 

 

 

หลังจากร้องไห้อย่างหนัก ความเจ็บปวดในใจของเวินอี๋ถูกระบายออกมา เธอรู้สึกดีขึ้นมา จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ค่ะ คุณพ่อหลุดพ้นแล้ว ท่านไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดของโรคแล้ว” 

 

 

***** 

 

 

งานศพของเวินจี๋ไห่เรียบง่ายมาก เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนซื้อหลุมฝังศพที่ดีที่สุดในเมืองหลงให้กับเขา 

 

 

เหตุเพราะกลัวคนที่บ้านสร้างปัญหา มู่เฉิงซีจึงไม่ได้มาร่วมงาน เขาส่งคนของเขามาช่วยงานเวินอี๋เท่านั้น ทางด้านเหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่ได้ใส่ชุดร่วมไว้อาลัย เพราะเธอกลัวคนอื่นจะสงสัย แต่เธอก็คอยช่วยเวินอี๋จัดแจงเรื่องต่างๆ ในงาน 

 

 

หลังจากทุกอย่างจบลงแล้ว เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋กลับมายังหมู่บ้านเวินเฉวียน มู่เฉิงซีรออยู่ที่นี่มาโดยตลอด 

 

 

เมื่อเห็นเวินอี๋เดินเข้ามา มู่เฉิงซีลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาจับมือของเวินอี๋เอาไว้ แต่เวินอี๋กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของคุณนะคะ ดาบตำรวจมู่” ในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอที่สุด เขายังคงไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรู้ ไม่กล้าส่งพ่อครั้งสุดท้ายพร้อมกับเธอ เธอรู้สึกผิดหวังและรู้สึกเสียใจมาก 

 

 

มู่เฉิงซีขมวดคิ้วเป็นปม “สาเหตุที่ผมไม่ไปที่งาน เป็นเพราะผมต้องการจะปกป้องคุณ” ถ้าคนตระกูลมู่รู้ว่าเขาไปร่วมงานศพ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขายอมรับในความสัมพันธ์ของตนกับเวินอี๋ คนตระกูลมู่ต้องหาเรื่องเวินอี๋อย่างแน่นอน 

 

 

เวินอี๋ดึงมือตนเองออกมาจากมู่เฉงซีด้วยความอ่อนเพลีย เธอนั่งลงบนโซฟา “ฉันเหนื่อยมากแล้วค่ะ ฉันอยากอยู่กับพี่รั่วปิง คุณกลับไปเถอะ” 

 

 

มู่เฉิงซีมองหน้าเวินอี๋ ไม่ขยับไปไหน 

 

 

เวินอี๋เงียบอยู่หลายวินาที จากนั้นพูดขึ้น “เชิญคุณกลับไปคิดให้ดีอีกครั้ง คุณสามารถสร้างอนาคตกับฉันได้ไหม ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ” 

 

 

คนเราจะเติบโตขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับความเจ็บปวด เมื่อผ่านการพรากจากคนที่เรารักด้วยความตาย เวินอี๋โตขึ้นมา เธอเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เธอกับมู่เฉิงซีไม่เหมาะสมกัน แต่เธอไม่เสียใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้รู้จักกับเขา เพราะเธอรักเขาจริงๆ 

 

 

มู่เฉิงซีปวดใจ เขาเดินมาหาเวินอี๋ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหลิ่งรั่วปิงห้ามเขาเอาไว้ “พอได้แล้วค่ะ คุณกลับไปเถอะ วันนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรมาพูดเรื่องพวกนั้น” 

 

 

มู่เฉิงซีพยักหน้ เขาเห็นด้วยกับคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง วันนี้เวินอี่สูญเสียคนที่รักมากที่สุดไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนั้น ดังนั้นเขาจึงจ้องมองไปที่เวินอี๋อีกครั้ง แล้วเดินออกไปจากบ้านของเธอ มู่เฉิงซีหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดตรงทางเดิน เขาสูดมันเข้าเต็มปอด เวินอี๋พูดถูก เขาควรจะคิดให้ดี เวินอี๋เป็นผู้หญิงที่ดี เขาไม่ควรทำให้เธอต้องมาเสียเวลากับเขาแบบนี้ 

 

 

หลังจากมู่เฉิงซีเดินออกไป ความเข้มแข็งที่เวินอี๋พยายามแสดงออกมาได้พังทลายลง เธอกอดเหลิ่งรั่วปิงแล้วร้องไห้เหมือนเด็ก “พี่รั่วปิง การบอกเลิกกับเขามันทำให้ฉันเจ็บปวดมากจริงๆ” 

 

 

“พี่รู้” เหลิ่งรั่วปิงตบหลังเวินอี๋เบาๆ “แต่ว่า เส้นทางนี้เราเป็นคนเลือกเอง ความเจ็บปวดเหล่านี้มันถูกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้ว ถ้าอยากจะรักก็รักต่อไป แต่ถ้าอยากจะเลิกก็ให้ทุกอย่างมันชัดเจน” ถ้าทั้งสองเลิกกัน วันข้างหน้าเธอจะได้พาเวินอีออกไปจากเมืองนี้ โดยไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก 

 

 

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าเขาไม่สามารถให้สัญญาเรื่องในอนาคตกับฉันได้ ฉันก็จะไม่คิดถึงเขาอีก” 

 

 

***** 

 

 

สามวันผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น ผู้คนต่างขะมักเขม้นกันทำงาน ในเมืองขนาดใหญ่นี้ ไม่มีใครสนใจหญิงสาวสองคนที่เพิ่งสูญเสียคนรัก 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋พยายามเริ่มต้นใหม่ เพราะถึงอย่างไรเวินจี๋ไห่ก็จากไปแล้ว การนั่งร้องไห้เสียใจไม่ได้ช่วยทำให้เกิดประโยชน์ มีเพียงแค่ความคิดถึงที่ฝังอยู่ในใจตลอดไปเท่านั้น 

 

 

สามวันนี้ เหลิ่งรั่วปิงคอยอยู่กับเวินอี๋ที่หมู่บ้านเวินเฉวียน เป็นเรื่องยากมากที่หนานกงเยี่ยไม่ว่าอะไรที่เธอไม่กลับไปวิลล่า 

 

 

เช้าตรู่ เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋ตื่นนอน ทั้งสองอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ประตูบ้านถูกเคาะเสียงดัง 

 

 

เวินอี๋เดินไปเปิดประตู ในมือของมู่เฉิงซีถือช่อดอกกุหลาบ เขายิ้มร่ายืนอยู่ตรงประตู “คุณบอกให้ผมกลับไปคิดดูให้ดีว่าสามารถสร้างอนาคตกับคุณได้ไหม ผมคิดดูแล้ว เราแต่งงานกันดีไหมครับ” 

 

 

เวินอี๋ยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เธอตัวแข็งทื่อจนเหมือนรูปปั้น น้ำตาคลอเบ้า เธอคิดไม่ถึงจริงๆ คำตอบของมู่เฉิงซีจะเป็นแบบนี้ 

 

 

ขณะที่เธอกำลังตกใจ มู่เฉิงซีคุกเข่าลงบนพื้น เขาหยิบแหวนออกมา แล้วสวมเข้าไปยังนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ “เวินอี๋ แต่งงานกับผมนะครับ!” 

 

 

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง น้ำตาที่คลอเบ้าของเวินอี๋รินไหลลงมา เธอดีใจมาก “ค่ะ” 

 

 

มู่เฉิงซีดีใจมาก เขาลุกขึ้นแล้วกอดเวินอี๋แน่น จากนั้นช้อนตัวเธอขึ้นมา เดินไปที่ลิฟต์ 

 

 

“ไปไหนคะ” เวินอี๋ถาม 

 

 

“ย้ายไปที่วิลล่าของผมไงครับ คุณตกลงแต่งงานกับผมแล้ว พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ” 

 

 

ประตูลิฟต์ปิดลง คำพูดของทั้งสองถูกปิดไปพร้อมกับประตูลิฟต์ เหลิ่งรั่วปิงยืนอยู่ตรงประตูบ้านของเวินอี๋ เธอคลายยิ้มบางๆ มู่เฉิงซียอมให้สัญญาว่าจะแต่งงานกับเวินอี๋ แสดงว่าเขารักเธอมากจริงๆ ในที่สุดเวินอี๋ก็เป็นฝั่งเป็นฝา เธอเองก็วางใจได้แล้ว วันข้างหน้าตอนที่เธอไปจากที่นี่จะได้หมดห่วง 

 

 

เรื่องของเวินอี๋จบลงแล้ว เหลิ่งรั่วปิงวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่เรื่องของหลินมั่นหรูคอยกวนใจเธอ เธอต้องอาศัยโอกาสที่ได้อยู่คนเดียวนี้ ติดต่อกับอาเธอร์ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงรีบกลับเข้าไปในบ้าน เธอปิดประตูและล็อคหน้าต่างทุกบาน เปลี่ยนเป็นซิมการ์ดอีกอัน กดโทรหาอาเธอร์ “อาเธอร์ หลินมั่นหรูมีเรื่องกับถังเฮ่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเธอถูกบอดี้การ์ดของถังเฮ่ายิง ดูเหมือนถังเฮ่าจะมีใจให้เธอ เขาต้องหาวิธีตามหาเธอแน่ๆ คุณต้องจับตาดูเธอให้ดี ถ้าเป็นไปได้รีบพาเธอออกไปจากเมืองหลง” 

 

 

“เข้าใจแล้ว” อาเธอร์ตอบสั้นๆ “แต่ว่าตอนนี้คงยังไม่ได้ ถ้ากลับไปซีหลิง แล้วเจ้าวิหารถามขึ้นมาคงไม่รู้จะตอบยังไง รอให้เธอรักษาแผลให้หายดีก่อนค่อยคิดอีกที ช่วงนี้ผมจะจับตาดูเธอเอาไว้ ไม่ให้ออกไปข้างนอก” 

 

 

“อื้ม” เหลิ่งรั่วปิงพูดคุยกับอาเธอร์จบ เธอรีบตัดสาย แล้วทำลายซิมการ์ดอันใหม่ทันที 

 

 

***** 

 

 

ภายในวิลล่าตระกูลลั่ว มีหญิงสาวสองคน ชีวิตของพวกเธอทั้งสองไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องน่าอับอายที่งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ลั่วเฮิ่งจำกัดอิสรภาพของเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียง เขาสั่งให้บอดี้การ์ดคอยเฝ้าทั้งสองคนเอาไว้ กักบริเวณพวกเธอให้อยู่ในวิลล่า ห้ามไม่ให้ออกไปด้านนอก ส่วนตัวเขากลับออกไปเที่ยวผู้หญิงดื่มสุราอย่างมีความสุข สิ่งที่เหลือเชื่อเกิดขึ้น เขาที่อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว จู่ๆ กลับเพิ่งคิดได้ว่าตนควรจะมีลูกชาย ดังนั้นเขาจึงไปที่หมู่บ้านคนรวยแห่งหนึ่งเพื่อจ้างผู้หญิงมาเป็นแม่อุ้มบุญ หวังว่าเธอจะมีลูกชายให้เขา เขาจะได้มีคนสืบทอดธุรกิจ 

 

 

ทางด้านเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียงถูกขังมานานเกือบสองเดือนแล้ว ทั้งสองแทบคลั่ง ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ลั่วเฮิ่งจะไม่สนใจใยดีพวกเธอสองแม่ลูก แต่ไม่เคยจำกัดอิสรภาพของพวกเธอ ในทางกลับกันเขาให้เงินพวกเธอสองแม่ลูกใช้จำนวนมาก ในทุกวันเจี่ยนชิวจะคอยนัดดื่มชาและเล่นไพ่นักกระจอกกับคุณหญิงคุณนายต่างๆ ในเวลาเดียวกันเธอยังซื้อผู้ชายมาเสพสุข ทางด้านลั่วซูเยียงใช้ชีวิตด้วยการเที่ยวกลางคืนและช้อปปิ้ง ชีวิตของเธอมีความสุขมาก แต่ตอนนี้กลับถูกขังในกรงทอง พวกเธอทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 

 

 

งานเลี้ยงฉลองวันปีใหม่เหลิ่งรั่วปิงทำให้ลั่วซูเยียงตกใจกลัว ตั้งแต่วันนั้นลั่วซูเยียงก็ทำตัวแปลกพิลึกตลอดทั้งวัน บางครั้งเธอก็เหมือนคนบ้า ทั้งยังฝันร้ายติดต่อกันทุกวัน ส่วนเจี่ยนชิวเอาแต่นั่งเศร้า เธออยากจะฆ่าลั่วเฮิงให้ตาย 

 

 

วันนี้ วิลล่าตระกูลลั่วที่เงียบเหงามานานมีแขกมาเยือน ซึ่งแขกคนนั้นก็คือลู่หวาหนง 

 

 

ลู่หวาหนงและลั่วซูเยียงรู้จักกันมาก่อน ตอนที่เธอกำลังโด่งดัง ลั่วซูเยียงเคยเป็นแฟนคลับของตน เธอมาขอลายเซ็นจากลู่หวาหนง ถึงแม้ตอนนี้ลู่หวาหนงจะไม่ได้ดังเหมือนเดิมแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียง เธอถือว่าอยู่สองกว่าทั้งสองระดับหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นของเล่นของจั่วเยี่ยนเหา แต่เธอมีทั้งเงินและอิสระ ส่วนสองแม่ลูกเจี่ยนชิวกลับถูกกักขังเอาไว้ 

 

 

ดังนั้น ลู่หวาหนงนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยความหยิ่งทระนง 

 

 

“คุณลู่ ไม่ทราบว่าคุณมาที่บ้านของดิฉันมีธุระอะไรหรอคะ” เจี่ยนชิวไม่ชอบท่าทีของลู่หวาหนง เธอมองลู่หวาหนงด้วยสายตาดูถูก เพราะไม่ว่าชีวิตเธอจะล้มเหลวยังไง เธอก็ยังเป็นภรรยาของเศรษฐี เป็นภรรยาที่มีหน้ามีตา แต่ลู่หวาหนงเป็นแค่ของเล่นของเศรษฐีเท่านั้น 

 

 

ลู่หวาหนงกระตุกมุมปาก ชำเลืองมองเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียง “ฉันมาช่วยพวกคุณออกจากกรงทองนี้” 

 

 

“หมายความว่ายังไง” ลั่วซูเยียงไม่ฉลาดเท่าเจี่ยนชิว พอได้ยินว่าตนเองจะเป็นอิสระ เธอก็ถึงกับอดใจไม่ไหว มองลู่หวาหนงด้วยดวงตาเป็นประกาย 

 

 

นัยน์ตาของลู่หวาหนงมืดลงเล็กน้อย เธอวางแก้วชาในมือลง “คุณลั่ว งานเลี้ยงฉลองวันปีใหม่คุณถูกคนลอบกัด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำ คุณรู้ไหมคะว่าเป็นฝีมือใคร” 

 

 

“…” ลั่วซูเยียงมองหน้าลู่หวาหนงอย่างพิจารณา ไม่ส่งเสียงใดๆ เธอไม่ใช่คนโง่ ไม่มีวันบอกความจริงกับคนนอกง่ายๆ 

 

 

“อีกเรื่องหนึ่ง คุณผู้หญิงลั่วคะ คุณรู้ไหมคะว่ารูปถ่ายพวกนั้นใครเป็นคนเอาไปปล่อยในอินเทอร์เน็ต” 

 

 

“คุณลู่มีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ เถอะค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม!“ สีหน้าของเจี่ยนชิวไม่สบอารมณ์ทันที เธอสามารถทำเรื่องน่าอับอายได้ แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาพูด โดยเฉพาะพูดต่อหน้าเธอแบบนี้