บทที่ 85 ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

‘ห้า: อาณาจักรหมื่นปีศาจล่มสลายเมื่อไปห้าร้อยปีก่อน ศาสนาพุทธนำอาณาจักรทางดินแดนตะวันตกทั้งหลายมาพิชิตอาณาจักรหมื่นปีศาจ ว่ากันว่าในการรบครั้งสุดท้ายที่ภูเขาเพลิง พระพุทธเจ้าทรงลงมือด้วยองค์เอง’

‘สาม: เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่’

เดิมทีสวี่ชีอันอยากจะพูดว่า…เจ้ามั่นใจได้ไงว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง ผู้ที่อยู่นอกเหนือจากระดับขั้นทั้งหลายก็มีเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่บุคคลประเภทนั้นมีอยู่จริงๆ หรือ

ถึงอย่างนั้น สวี่ชีอันก็ไม่ได้ถามตรงๆ ว่า ‘พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ’ แต่ใช้น้ำเสียงที่สงสัยต่อ ‘การลงมือของพระพุทธเจ้า’ เอ่ยถามแทน

แบบนี้ก็จะไม่เปิดเผยความจริงว่าเขาเป็นมือใหม่แล้ว

‘ห้า: อย่างไรก็ตาม พวกผู้อาวุโสของข้าล้วนพูดกันเช่นนี้ แต่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก ขอแค่เจ้ารู้ว่าผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจอยู่ระดับขั้นใดก็พอ’

หมายเลขสี่ที่สนิทสนมกับราชครูหญิงเอ่ยถามว่า ‘ขั้นหนึ่งหรือ’

‘ห้า: ขั้นหนึ่ง…เหอะ ท่านพ่อบอกข้าว่าเขาเป็นครึ่งก้าวสู่ระดับเทพยุทธ์’

ครึ่งก้าวสู่ระดับเทพยุทธ์ หมายความว่าอีกนิดเดียวก็เหนือกว่าขั้นหนึ่ง กลายเป็น ‘เทพ’ ของสายการฝึกยุทธ์แล้วน่ะหรือ

สวี่ชีอันตกตะลึง วางแผนว่ากลับไปจะไปตรวจสอบดูที่คลังเอกสารสักหน่อย อีกอย่างหมายเลขห้าราวกับเข้าใจประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหมื่นปีศาจอย่างยิ่ง เขาคงไม่ใช่เศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจหรอกนะ

ตอนนี้เองนักพรตเต๋าจินเหลียนที่ซ่อนอยู่ตลอดก็ปรากฏกาย ‘จักรพรรดินีหมื่นปีศาจเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์หรือ ข้าจำได้ว่าบันทึกในคัมภีร์ของนิกายปฐพีบอกว่านางเป็นขั้นหนึ่งถึงจะถูก’

เผ่าพันธุ์ปีศาจกับจอมยุทธ์อยู่สายเดียวกัน

‘ห้า: รายละเอียดข้าก็ไม่ค่อยรู้ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อห้าร้อยปีก่อน หลังจากจักรพรรดินีปีศาจแตกดับ พวกปีศาจของอาณาจักรหมื่นปีศาจยังคงต่อสู้ต่ออีกหกสิบปี สุดท้ายทำได้เพียงหลบหนีไปยังหนานเจียง แต่ห้าร้อยปีมาแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจไม่ได้สูญพันธุ์ พวกมันมีพลังสามัคคีที่แข็งแกร่งมากและกอดความฝันที่จะฟื้นฟูอาณาจักรไว้ เหตุผลทั้งหมดนี้เป็นเพราะองค์หญิงของอาณาจักรหมื่นปีศาจยังอยู่ นางเป็นเด็กกำพร้าของจักรพรรดินีหมื่นปีศาจ เป็นผู้นำของเศษเดนแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ’

‘สาม: นางอยู่ระดับขั้นใด’

‘ห้า: เรื่องนี้ข้าไม่รู้’

‘สาม: อาณาจักรหมื่นปีศาจมีปีศาจมารทรงพลังแบบไหนบ้าง’

‘ห้า: ข้ารู้แค่ประวัติของอาณาจักรหมื่นปีศาจ แต่เรื่องสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาจักรหมื่นปีศาจกลับไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ถึงอย่างไรพวกมันก็แอบรวบรวมพลังอย่างลับๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร’

ข้อมูลส่วนใหญ่ของเจ้ามากที่สุดก็บอกข้าแค่เกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับคดีมากนัก…สวี่ชีอันคิดอย่างจนใจ

ตอนนี้เองหมายเลขสองก็เอ่ยหยั่งเชิง ‘หมายเลขสาม เจ้าถามเรื่องอาณาจักรหมื่นปีศาจไปทำไมหรือ’

ลัทธิขงจื๊อไม่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรหมื่นปีศาจนี่

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบนาง แต่ใส่ข้อความลงไปว่า ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ข้ามีสหายคนหนึ่ง ช่วงนี้เขาเจอสถานการณ์บางอย่าง ไม่รู้ทำไมเขามักออกจากบ้านแล้วเก็บเงินได้ตลอด เกิดขึ้นบ่อยมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้คำว่าโชคดีมาอธิบายได้แล้ว ข้าพูดอย่างนี้แล้วกัน เขาไม่ต้องทำอะไร แค่เก็บเงินได้ก็มีชีวิตมั่งคั่งร่ำรวยแล้ว นิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศลมีเรื่องที่คล้ายกันบ้างหรือไม่’

ออกจากบ้านก็เก็บเงินได้หรือ!

อีกทั้งจากวิธีพูดของหมายเลขสามนั้น มันไม่ใช่ความโชคดีเฉยๆ แต่เป็นพบเจอเงินอยู่ประจำ

‘บนโลกนี้กลับมีคนที่แค่เก็บเงินได้ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งร่ำรวยได้ด้วย…’ กลุ่มแชทหนังสือปฐพีเงียบไปครู่หนึ่ง

‘ห้า: หมายเลขสามอย่าได้ล้อเล่น’

‘เก้า: การมีบุญกุศลติดกายหมายถึงดาวนำโชคส่องสว่าง ผลลัพธ์ที่ได้โดยไม่รู้ตัวก็คือทำสิ่งใดราบรื่น ไร้โรคไร้ภัย มักจะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี แต่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่ ‘เก็บเงินได้’ อืม สหายน้อยเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่’

หมายความว่า คนที่มีบุญกุศลพัวพัน ทำสิ่งใดจะราบรื่น แต่นี่เป็นการเสริมดวงโชคดีทั่วๆ ไปและมีขอบเขตกว้างขวาง ไม่ได้จำกัดแค่การเก็บเงินได้อย่างเดียวสินะ…สวี่ชีอันรู้สึกเข็ดฟันเล็กน้อย

พูดอย่างนี้แปลว่าโชคขี้หมาของเขาไม่ใช่แนวคิดเดียวกับบุญกุศลของนิกายปฐพีหรือ

เขาคิดมาตลอดว่าการที่ตนเก็บเงินได้บ่อยๆ เป็นเรื่องเดียวกับบุญกุศลของนิกายปฐพีที่ว่ามีบุญกุศลติดกายเทพเจ้าจึงให้รางวัลข้าเป็นอาหารหนึ่งมื้อ

เขาไม่พูดอะไรอยู่นาน สวี่ชีอันนั่งยองๆ รออยู่ในพงหญ้าเหม็นหึ่งครึ่งค่อนวันถึงแน่ใจว่าคนเหล่านี้ออฟไลน์ไปแล้ว

ออฟไลน์ก็ต้องบอกกันสิ เจ้าพวกชาวเน็ตไร้คุณภาพ…เขาบ่นว่าแล้วหยิบเชิงเทียนขึ้นก่อนจะออกจากพงหญ้าไป

เขามอบเชิงเทียนให้กับเสี่ยวเอ้อร์แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยม จากนั้นก็พบกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาพอดี

สวี่ชีเอ่ยทักทายก่อน “หาพบหรือไม่”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองสามคนนั้นส่ายหน้า สายตามองไปยังโรงเตี๊ยม

สวี่ชีอันกล่าว “ข้าตรวจดูแล้ว โรงเตี๊ยมไม่มีคนน่าสงสัย”

สหายร่วมงานสองสามคนได้ยินดังนั้นก็ตัดความคิดจะมาตรวจสอบที่โรงเตี๊ยมแล้วรีบจากไป

เช้าตรู่วันต่อมา หมายเลขหกเปลี่ยนไปสวมเสื้อยาวธรรมดาอีกครั้ง เสื้อคลุมตัวโตปกคลุมร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงเอาไว้ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดเหงื่อห่อรอบศีรษะโล้นแล้วกลืนเข้าไปในกลุ่มผู้เช่าห้องที่ตื่นเช้ามาพลางออกจากโรงเตี๊ยมเงียบๆ

เขากินข้าวที่แผงอาหารเช้าข้างทางแล้วเดินไปยังประตูเมืองชั้นใน

เมื่อเข้าไปใกล้ประตูเมืองก็มองดูอย่างนิ่งเงียบ พบว่าทหารรักษาการณ์ที่ประตูเมืองเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว ทั้งยังมีคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์อีกหนึ่งคนใช้ดวงตาที่มีประกายแสงหมุนวนมองพิจารณาทุกคนที่ออกจากเมือง

หมายเลขหกผสานเข้าไปในฝูงชน มุ่งหน้าไปยังเมืองชั้นใน

คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์มองพิจารณาเขาเช่นกัน เพียงแต่มองดูอยู่เล็กน้อยก็ปล่อยไป

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของศาสนาพุทธ เขาย่อมมีวิธีกำจัดปราณพิฆาตหลังจากฆ่าสิ่งมีชีวิตได้ ส่วนหมายเลขสามก็ชิงเวลาอันมีค่ายิ่งมาให้เขา

ถ้าหากไม่มีใบไม้บังตาแผ่นนั้นและห้องที่โรงเตี๊ยมล่ะก็ เมื่อคืนเขาคงไม่อาจหลบหนีการตรวจสอบจากโหรของสำนักโหราจารย์ได้แน่

หมายเลขหกเดินทางไปทางตะวันออก ยามใกล้เที่ยงจึงกลับมาถึงที่พัก บ้านที่นี่ส่วนใหญ่ใช้ดินเหลืองมาก่อสร้าง หลังคาก็มุงด้วยกระเบื้องดำแตกๆ

ที่นี่คือเขตยาจก

หมายเลขหกเดินมายังเรือนใหญ่เรียบๆ หยาบๆ อย่างคุ้นทาง แผ่นป้ายหน้าประตูเรือนเขียนว่า ‘สถานรับเลี้ยงเด็ก’

สถานรับเลี้ยงเด็กคือหน่วยงานสวัสดิการของราชสำนัก รองรับผู้ไร้ที่ไปและเด็กกำพร้าโดยเฉพาะ

ถึงจะบอกว่าดำเนินการโดยราชการ แต่ผู้ที่ทำงานในเรือนก็มีเพียงเจ้าหน้าที่ชราสองสามคนที่ไม่เต็มใจจะดูแลเด็กกำพร้าและคนแก่ชราในเรือนเท่านั้น

หมายเลขหกพักอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กด้วยสถานะของพระสงฆ์ คอยช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ชราเหล่านั้นดูแลคนแก่และเด็กกำพร้าด้วยกัน

ทั้งไม่ต้องจ่ายเงินสักอีแปะ ซ้ำยังมักจะมอบเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้สถานรับเลี้ยงเด็กอีกด้วย

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ราชสำนักเริ่มจะละเลยหน่วยงานสวัสดิการอย่างสถานรับเลี้ยงเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ มักจะไม่จัดสรรเงินมาให้หลายเดือน

หน่วยงานที่ดำเนินการโดยราชการนี้จึงมีอยู่แต่ในนามเท่านั้น

หมายเลขหกเพิ่งจะก้าวเข้าไปในเรือน ก็มีเจ้าหน้าที่ชราท่านหนึ่งก็เข้ามารับแล้วพูดอย่างขมขื่น “ไต้ซือเหิงหยวน ท่านอย่าได้พาเด็กเข้ามาอีกเลยขอรับ ในโถงตอนนี้ไม่มีอะไรจะกินแล้วนะขอรับ”

หมายเลขหกประนมมือ “อาตมาแก้ไขปัญหาเรื่องเงินได้”

เอ่ยถึงตรงนี้ หมายเลขหกก็คิดถึงสหายผู้นั้นของหมายเลขสาม

‘อาตมาก็อยากจะออกจากบ้านแล้วเก็บเงินได้ทุกวันแบบนั้นบ้าง’

หลังจากช่วยเจ้าหน้าที่ชราต้มโจ๊กเสร็จและแจกจ่ายให้คนแก่กับเด็กๆ แล้ว พระสงฆ์ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงกล้ามโตก็มายังลานด้านหลัง

ห้องเก็บฟืนที่ลานด้านหลังมีหมาดำตัวหนึ่ง เวลาเดินงุ่มง่ามยิ่งนัก แต่บางคราวดวงตาคู่นั้นก็ฉายประกายมีชีวิตชีวา

หมาดำเดินงุ่มง่ามมาอยู่ข้างเท้าของพระสงฆ์ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจนเห็นดวงตาดำตัดขาวชัดเจน ก่อนเอ่ยเป็นคำพูดครุมเครือ ติดๆ ขัดๆ “มีโชคลาภ…วาสนา มีโชคดี…มหามงคล”

ไต้ซือเหิงหยวนมองเขาด้วยความเมตตา ยกสองมือขึ้นประนม เอ่ยสวดมนตร์แผ่วเบา

คดีผิงหยวนป๋อถูกสังหารแพร่กระจายไปทั่วราชสำนักในวันต่อมา กลุ่มขุนนางสูงศักดิ์ทั้งบนล่างต่างโกรธจัด กลุ่มขุนนางบุ๋นที่ไม่ลงรอยกับขุนนางสูงศักดิ์ก็ให้ความสำคัญกับคดีนี้อย่างยิ่งเช่นกัน ล้วนแต่ยื่นหนังสือฟ้องร้องเว่ยเยวียนไปยังหน่วยตรวจการข้าราชสำนัก

จักรพรรดิหยวนจิ่งตำหนิเว่ยเยวียนผู้บัญชาการองครักษ์ห้ากองในเมืองหลวงและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างรุนแรง

สวี่ชีอันพบว่า หน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลมีท่าทีต่อคดีนี้ในทางลบอย่างยิ่ง

ที่ห้องข้าง สวี่ชีอันดื่มชาและพูดคุยอยู่กับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว

“ก็ไม่น่าแปลก ผิงหยวนป๋อผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว ข้าได้ยินเรื่องวงในมาจากสหายร่วมงานคนอื่นๆ ว่าผิงหยวนป๋อเลี้ยงดูองค์กรนายหน้าไว้เป็นการส่วนตัว ทำเรื่องไร้คุณธรรมอย่างลักพาคนไปขายโดยเฉพาะ” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา

“เว่ยกงแทบอยากจะให้พวกหนอนแทะประเทศเหล่านี้ตายให้เกลี้ยงอยู่แล้ว ยังจะหวังให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาแก้แค้นให้เขาอีกหรือ”

จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงอึมครึม “แต่สุดท้ายราชสำนักก็เสียหน้า เจ้านายในราชสำนักแต่ละคนไม่ยอมเลิกรากับเรื่องนี้หรอก”

“เฮ้อ อีกเดี๋ยวก็จะมีการตรวจสอบข้าราชสำนักแล้ว ผิงหยวนป๋อตายไปคนหนึ่งไม่มีใครสนใจหรอก ผ่านไปพักหนึ่งเดี๋ยวก็ซาไปเอง เพียงแต่ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว หน่วยงานราชการเพิ่งจะมีคำสั่งลงมาว่าให้เสริมกำลังลาดตระเวนเมืองชั้นใน” ซ่งถิงเฟิงบอก

“ไม่รู้ว่าเจ้านายแต่ละคนในราชสำนักจะจัดการกับเว่ยกงอย่างไร พวกเขารอโอกาสนี้มานานแล้ว”

“ไป พวกเราไปฝึกกันที่ลานฝึกยุทธ์ เพิ่มความเข้าขาของพวกเราสักหน่อย” สวี่ชีอันเสนอ

ทั้งสามกลับมายังโถงด้านข้างด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว นั่งลงซดน้ำสองแก้ว จากนั้นสวี่ชีอันก็กล่าว “ข้าจะไปคลังเอกสารสักหน่อย”

เข้าเดินมายังคลังเอกสารอย่างคุ้นชินทาง เอ่ยกับเจ้าพนักงานผู้อยู่หลังโต๊ะต้อนรับ “ช่วยข้าหาม้วนตำราเรื่องอาณาจักรหมื่นปีศาจหน่อย”

เจ้าพนักงานเข้าไปในคลังแล้วหาตำราเรื่อง ‘สารานุกรมภูมิศาสตร์ของจิ่วโจว: หนานเจียง’

สวี่ชีอันอ่านดูจนจบอย่างรวดเร็ว ในตำราบันทึกข้อมูลของอาณาจักรหมื่นปีศาจไว้ไม่น้อย แต่ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ในสมัยก่อน ข้อมูลเดียวที่มีประโยชน์คือคำอธิบายเกี่ยวกับจักรพรรดินีหมื่นปีศาจ

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง

ในคลังเอกสารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่มีบันทึกเรื่องการลงมือของพระพุทธเจ้าหรือ…หมายเลขห้ารู้ได้อย่างไร หมายเลขห้าอยู่ในกลุ่มอิทธิพลไหนกัน สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ แล้วส่งม้วนตำราคืนให้เจ้าพนักงาน

“ยังมีม้วนตำราอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาณาจักรหมื่นปีศาจอีกหรือไม่”

“มีน่ะมี แต่ไม่อยู่ในคลังอักษรติงขอรับ” เจ้าพนักงานตอบ

ความนัยก็คือ อำนาจของเจ้ามีไม่พอ

สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วออกจากคลังเอกสาร ตรงไปยังหอเฮ่าชี่

เขาต้องทำเรื่องใจกล้าสักครั้งหนึ่ง ใช้คำพูดและการกระทำเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและคำชื่นชมจากเว่ยเยวียนมากยิ่งขึ้น เขาได้ร่างแผนการโดยเฉพาะไว้เรียบร้อยแล้ว

ทหารยามรายงาน จากนั้นก็ปล่อยเขาไป

เขาขึ้นไปยังชั้นเจ็ดอันคุ้นเคย สวี่ชีอันได้พบกับขันทีใหญ่ผู้มีจอนผมสีขาวยวง องคาพยพละเอียดประณีต

และยังมีหนานกงเชี่ยนโหรวผู้มีหน้าตาสูสีกับสวี่เอ้อร์หลางและท่านหัวหน้าหยางเยี่ยน หัวหน้าผู้ที่ใบหน้าเป็นอัมพาตมาหลายปีผู้นั้นด้วย

สวี่ชีอันกล่าวเสียงดัง “ขอเว่ยกงโปรดให้ผู้อื่นออกไปก่อน ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ”

…………………………………….