บทที่ 86 สายลับสองหน้าผู้โตเต็มวัย

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

‘ให้ผู้อื่นออกไป…’ หนานกงเชี่ยนโหรวที่ได้ยินประโยคนี้ก็คิ้วกระตุก สายตาที่มองสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร

เขาเป็นฆ้องทองคำ แต่กลับถูกฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ บอกให้ออกไป

สีหน้าของเว่ยเยวียนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “พวกเจ้าออกไปก่อน หยางเยี่ยน พวกเจ้าคอยควบคุมดูแลกันและกัน ห้ามแอบฟัง”

หนานกงเชี่ยนโหรวจ้องมองสวี่ชีอันอย่างล้ำลึก

ฆ้องทองแดงตัวเล็กจ้อยผู้นี้เพิ่งจะเข้ามาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ไม่กี่วันก็ถูกพ่อบุญธรรมเรียกพบบ่อยๆ และเพื่อที่จะพูดคุยกับเขา พ่อบุญธรรมยังบอกให้ตนกับหยางเยี่ยนออกไปอีก

นี่ทำให้หนานกงเชี่ยนโหรวอารมณ์เสียมาก

‘เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้ามาก่อน’

ฆ้องทองคำทั้งสองคนออกจากหอเฮ่าชี่แล้ว หนานกงชิงโหรวผู้มีใบหน้าไม่ด้อยไปกว่าสวี่เอ้อร์หลางก็เอ่ยพลางยิ้มเย็น “ฆ้องทองคำผู้องอาจกลับถูกฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาข้ามหัวเอาเสียได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย”

หยางเยี่ยนเงียบไม่เอ่ยปาก

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้ากำลังยุแยงเจ้าอยู่ เจ้ากลับไว้หน้ามัน”

ใบหน้าราวกับประติมากรรมของหยางเยี่ยนยังคงไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาเอ่ยราบเรียบ “คุณสมบัติเขาเป็นอย่างไรเจ้ารู้ดี เว่ยกงอยากจะเลี้ยงดูเขา เจ้าก็รู้ดี”

“แต่เขาไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา นี่คือเรื่องจริง”

“เจ้าคิดว่าข้าใส่ใจหรือ” หยางเยี่ยนถามกลับ

หนานกงเชี่ยนโหรวกลอกตาหยาดเยิ้มน่าหลงใหล เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่ๆๆ ที่สุดแล้วเขาก็เป็นทหารใต้บัญชาของเจ้า พันธะตรงนี้ยังมีอยู่”

หยางเยี่ยนพยักหน้า

หนานกงเชี่ยนโหรวหันกายเดินจากไป แย้มยิ้มเย็น “น่าเบื่อ ไปเล่นสนุกกับเหล่าของเล่นของข้าดีกว่า”

ทิศที่เขาเดินไปก็คือคุกใต้ดิน

บนหอเฮ่าชี่ ชั้นเจ็ด ห้องน้ำชา

สวี่ชีอันกล่าว “ข้าน้อยมีสถานการณ์ของคดีผิงหย่วนป๋อมารายงานขอรับ”

เว่ยเยวียนเอ่ยเสียงขรึม “พรรคฟ้าดินหรือ”

เขาสืบเก่งมาก ถ้าหากสวี่ชีอันแค่มีเบาะแสของคดีผิงหย่วนป๋ออย่างเดียว เขาก็สามารถรายงานต่อฆ้องเงินหรือแม้แต่ฆ้องทองคำที่เขาสังกัดอยู่ได้ ไม่ใช่ตรงมารายงานเขาเช่นนี้

นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพรรคฟ้าดิน ทั้งสองจึงเข้าใจตรงกันโดยปริยาย

สวี่ชีอันกล่าว “ผู้ที่สังหารผิงหย่วนป๋อคือหมายเลขหกของพรรคฟ้าดินขอรับ”

เว่ยเยวียนเงียบงันไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เหตุผลล่ะ”

“ศิษย์น้องคนหนึ่งของหมายเลขหกถูกองค์กรนายหน้าลักพาตัวไป ไม่รู้เป็นตาย เขาไล่ตามเบาะแส แกะรอยสืบดู จึงรู้ว่าเป็นผิงหย่วนป๋อขอรับ…” สวี่ชีอันบอกเรื่องที่ว่าตนช่วยหมายเลขหกหลบหนีแล้วเลี่ยงการตรวจสอบจากสำนักโหราจารย์ออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ปกปิดแค่เรื่องวงในที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มอบตำรามาให้ เปลี่ยนเป็นญาติผู้น้องสวี่ซินเหนียนมอบให้เป็นของขวัญแทน

‘ปัง!’

เว่ยเยวียนปัดแขนเสื้อกวาดถ้วยชาจนหล่น เศษกระเบื้องเคลือบกระจัดกระจายเต็มพื้น สีหน้าของเขาไม่ได้อ่อนโยนอีกแล้ว ดวงตาคมกริบราวกับใบมีด

“สวี่ชีอัน ปล่อยคนร้ายไปโดยพลการ มีความผิดสถานเดียว” เว่ยเยวียนตะโกน

พลังกดดันรุนแรงพุ่งมาจากข้างหน้า สวี่ชีอันถึงกับเห็นภาพลวงตาว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับพายุอยู่

“ข้าน้อยยอมรับผิดขอรับ!” สวี่ชีอันยอมรับผิดในที่นั้น แล้วกล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยรู้ดีว่ามีความผิดมหันต์นัก ตื่นกลัวอยู่ทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายก็หลีกหนีการประณามจากมโนธรรมไม่ได้ จึงเลือกมาสารภาพกับเว่ยกง จะฆ่าหรือจะเนรเทศ สุดแล้วแต่เว่ยกงขอรับ เพียงแต่มโนธรรมของผู้น้อยไม่ได้อยู่ที่เจ้าคนสารเลวผิงหย่วนป๋อผู้นั้น แต่เป็นความสำนึกละอายต่อความไว้วางใจและการฝึกฝนของเว่ยกงขอรับ…”

เว่ยเยวียนใบหน้าไร้อารมณ์ ราวกับฉาบด้วยน้ำค้างแข็งหนาวเย็น

“วันนี้ข้าน้อยได้พูดคุยกับสหายร่วมงาน จึงรู้ว่าเว่ยกงถูกฝ่าบาทตำหนิ ถูกขุนนางในราชสำนักจับจุดอ่อนได้และฉวยโอกาสโจมตี…” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ข้าน้อยจึงนึกถึงบุญคุณใหญ่หลวงที่เว่ยกงมีต่อข้าน้อย…”

สีหน้าของเว่ยเยวียนบูดบึ้งเล็กน้อย เขาขัดจังหวะเบาๆ “บุญคุณใหญ่หลวงก็กล่าวเกินไป พูดเหตุผลตามตรงมาเลยดีกว่า”

…ไม่สิ ลูกพี่ท่านทำไมไม่พูดจาตามรูปแบบการเล่นละครเล่า ท่านยังอยู่ในแวดวงขุนนางอยู่หรือเปล่า สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ

เขาหยุดนิ่งไป จัดระเบียบคำพูดใหม่อีกครั้ง “ผิงหย่วนป๋อแอบเลี้ยงดูองค์กรนายหน้า ลักลอบค้ามนุษย์ในเมืองหลวง ได้กำไรมหาศาล พวกนายหน้าลักพาตัวเด็กและสตรี ขายให้กับหอนางโลม ขายให้กับสถานที่ผิดกฎหมาย เลี้ยงดูให้กลายเป็นโจร ถึงขั้นตัดมือตัดเท้า ห่อด้วยหนังสุนัขดำ…”

เขาบรรยายคำบรรยายของหมายเลขหกซ้ำไปรอบหนึ่ง น้ำเสียงของเขาไม่ปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อผิงหย่วนป๋อ

แววตาของเว่ยเยวียนอ่อนลงเล็กน้อยแล้วฟังอย่างอดทน ท่าทางครุ่นคิด

เมื่อสวี่ชีอันเอ่ยจบ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “รินชา”

รายละเอียดจุดนี้แสดงให้เห็นว่าเว่ยเยวียน ‘ให้อภัย’ เขาแล้ว

สวี่ชีอันรินชาให้ทันที เหมือนกับการปรนนิบัติเอาใจหัวหน้าในสถานีตำรวจเมื่อชาติก่อน

เว่ยเยวียนจิบชา เงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เจ้ารู้เรื่องพรรคฟ้าดินมากน้อยแค่ไหน รู้จักจินเหลียนนิกายปฐพีมากน้อยแค่ไหน จากการตรวจสอบของหน่วยงานราชการ ผิงหย่วนป๋อเลี้ยงองค์กรนายหน้าเอาไว้จริงๆ แต่หมายเลขหกผู้นั้นทำไปเพื่อศิษย์น้องที่ว่าจริงๆ โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นเลยหรือ บางทีผิงหย่วนป๋ออาจยังเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ อีก บางทีองค์กรนายหน้าอาจเคยทำเรื่องบางอย่าง ดังนั้นถึงได้เรียกหายนะจนถึงตาย เรื่องพวกนี้เจ้าเคยคิดหรือไม่”

“ในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนัก พวกคนเลวจะอาละวาดในศึกการเมือง อีกสี่วันก็จะเป็นวันที่ฝ่าบาทบวงสรวงบรรพบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจประมาทได้”

เขากำลังสอนข้าให้จัดการเรื่องราวและวิเคราะห์ให้ข้าดู เขาคิดจะฝึกฝนข้าจริงๆ…สวี่ชีอันประทับใจเล็กน้อย มีความรู้สึกดีๆ ให้กับขันทีใหญ่ผู้นี้ขึ้นมาหลายส่วน

เขาเห็นข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ข้ากลับอยากเรียกเขาว่าพ่อ ข้านี่มันน่ารังเกียจจริงๆ…

“เว่ยกงสั่งสอนถูกต้องแล้วขอรับ” สวี่ชีอันค้อมศีรษะ

เว่ยเยวียนส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ยเห็นดีเห็นชอบ “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ทำได้ดีมาก ลงไปก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเอง เจ้าแฝงตัวอยู่ในพรรคฟ้าดินต่อไป เป้าหมายในระยะสั้นคือการค้นหาตัวตนของหมายเลขหนึ่ง”

“ข้าน้อยจะทำสุดความสามารถขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง

พอออกจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจ รู้ว่าครั้งนี้ตนเดิมพันถูกต้องแล้ว ทั้งยังได้ความไว้วางใจจากเว่ยเยวียนด้วย

คิดจะมีตำแหน่งมั่นคงก็ต้องปีนป่ายขึ้นไป จะต้องรู้จักยืนแถว รู้จักกอดต้นขาใหญ่ไว้

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็เป็นเช่นนี้ รวมไปถึงชาติก่อนของสวี่ชีอันด้วย

ในช่วงเวลาอีกยาวนานต่อจากนี้ เขาต้องรักษาความโปรดปรานของเว่ยเยวียนอย่างต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจจากเขา

ครั้งนี้การพบปะอย่างตรงไปตรงมากับเว่ยเยวียนนั้น สวี่ชีอันมีแผนอยู่แล้ว เขาไม่ได้ทำไปด้วยความบ้าบิ่นมุทะลุ

อย่างแรก หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้สึกขายหน้ากับเศษเดนของโลกอย่างผิงหย่วนป๋ออย่างยิ่ง ยามสืบคดีจึงไม่ค่อยกระตือรือร้น ไม่มีความคิดที่ว่าจะเร่ง ‘แก้แค้น’ ให้เลย

อย่างที่สอง เขามีอิทธิพลในพรรคฟ้าดินอยู่ระดับหนึ่ง หมายเลขสองและหมายเลขสี่ค่อนข้างยอมรับในตัวเขาแล้ว

เว่ยเยวียนไม่มีทางละทิ้งความสนใจพรรคฟ้าดินและทอดทิ้งตัวน้อยๆ ที่ฉลาดอย่างเขาไปเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก

สุดท้ายคำพูดที่เว่ยเยวียนกล่าวมาก็เป็นความคิดของสวี่ชีอันเช่นกัน

เขาไม่ได้ไว้วางใจหมายเลขหกและพรรคฟ้าดินเต็มร้อย ผู้ที่สามารถต่อกรกับเฒ่าเหรียญปากผีได้ก็คือเฒ่าเหรียญปากผีด้วยกัน

ดังนั้นเวลาเจอเรื่องสับสนอะไร ไปหาเว่ยเยวียนก็ได้แล้ว

แน่นอนว่านกสองหัวผู้โตเต็มวัยแล้วก็ต้องมีวิธีการทำงานหลายแบบ

สวี่ชีอันมายังมุมเร้นลับไร้ผู้คนแล้วหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมาใส่ข้อความ

‘หมายเลขหก ข้าได้ข่าวมาว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีเบาะแสไม่รู้ที่มา มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า เจ้าต้องเตรียมการถอนตัวออกไปให้ทัน’

การส่งข้อความในหนังสือปฐพีไม่มีความล่าช้า มันมีความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้กับเจ้าของ เมื่อส่งข้อความไปแล้ว ผู้ถือครองก็จะรับรู้เอง

ข้อเสียของหนังสือปฐพีคือมันแสดงเนื้อหาทั้งหมด ไม่อาจพูดคุยส่วนตัวได้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวี่ชีอันรู้สึกเศร้าใจ

ณ ลานด้านหลังของสถานรับเลี้ยงเด็ก หมายเลขหกผู้รักษาบาดแผลให้กับ ‘หมาดำ’ เรียบร้อยแล้วก็มานั่งทำสมาธิ ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้น จึงหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา

ข้อความของหมายเลขสามปรากฏอยู่บนผืนกระจก ทำให้ใบหน้าสี่เหลี่ยมแบบตัวอักษร 国 ของหมายเลขหกเปลี่ยนสีเล็กน้อย

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้เลยหรือ

เพียงแค่วันเดียวก็ตามสืบจนได้เบาะแส ทั้งยังคุกคามมาถึงตัวเขาได้จนทำให้หมายเลขสามต้องออกหน้าเตือน

‘เดี๋ยวนะ หมายเลขสามรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน’

ความสงสัยเพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ เขาก็มองเห็นหมายเลขหนึ่งที่มักจะซุ่มอยู่หน้าจอส่งข้อความมาเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

‘หนึ่ง: หมายเลขสาม เจ้ารู้ข้อมูลภายในของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างไร’

หมายเลขหนึ่งสนใจเรื่องนี้มาก ว่าแล้ว ขอแค่เกี่ยวข้องกับเรื่องชนชั้นสูงในเมืองหลวง เขาหรือนางก็จะใส่ใจเป็นพิเศษ

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับทันที แต่กำลังเลือกคำและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใช้นิ้วต่างพู่กันและใส่ข้อความลงไป

‘สาม: เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า’

เขารู้ว่าผู้ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคนอื่นๆ กำลังดูอยู่หน้าจอและซึมซับข้อมูลอยู่เงียบๆ สวี่ชีอันจะต้องให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลและโดดเด่นเพียงพอจะเติมเต็มตัวละครของเขาพร้อมดึงภาพลักษณ์ของตนให้สูงขึ้น

‘สาม: ความขัดแย้งดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อยืดเยื้อมาสองร้อยกว่าปี สำนักศึกษาของพวกเราไม่อาจนิ่งดูดายได้’

‘ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร…’ สำนักศึกษาอวิ๋นลู่ได้แทรกซึมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างนั้นหรือ หมายเลขสามหมายความอย่างนี้สินะ นี่เป็นการบอกใบ้ที่ชัดเจนมาก

ชั่วขณะนั้นเหล่าผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ตื่นเต้นขึ้นมา

เผือกลูกใหญ่มาก

หมายเลขหนึ่งไม่ได้พูดอะไร เงียบงันไปอย่างน่าแปลก ทำให้ผู้คนไม่อาจเข้าใจความคิดที่แท้จริงของเขา (นาง) ได้เลย

สวี่ชีอันคิดจะหยั่งเชิง ‘หมายเลขหนึ่ง เจ้าลองค้นหาดูได้นะ’

นี่เป็นทั้งการยั่วยุและการหยั่งเชิง

ถ้าหากหมายเลขหนึ่งตอบกลับ หรือทำเช่นนี้แบบลับๆ จริงๆ เช่นนั้นสวี่ชีอันก็สามารถย้อนกลับมาจับตัวตนของเขา (นาง) เพราะเหตุนี้ได้

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นหน่วยงานราชการของราชวงศ์โดยตรงและเป็นที่ที่เว่ยเยวียนมีสิทธิมีเสียงแต่เพียงผู้เดียว

เดิมทีกลุ่มอิทธิพลที่รั้งรออยู่ก็ไม่อาจแทรกเข้าไปได้ แม้จะมีเรื่องการลักลอบแทรกซึม แต่ก็ไม่มีทางอยู่ในระดับกลางถึงสูงได้

ส่วนพวกคนระดับต่ำเดิมทีก็ไม่มีทรัพยากรและความสามารถจะแทรกซึมตรวจสอบได้อยู่แล้ว

หมายเลขหนึ่งเป็นคนฉลาด ไม่สนใจการยั่วยุของสวี่ชีอัน

เมื่อเห็นว่าไม่มีคนพูดอยู่พักหนึ่ง หมายเลขหกจึงใส่ข้อความลงไป ‘หก: สองสามวันนี้ข้าจะระวังเป็นพิเศษ หมายเลขสาม ข้าติดหนี้น้ำใจเจ้าอีกอย่างแล้ว’

‘สาม: พระคุณเจ้ามีคุณธรรมของชาวยุทธ์ จิตใจเปิดเผย เป็นบุคคลที่คนเช่นข้าพเจ้าควรนำเป็นแบบอย่าง’

‘หก: ประสกทรงคุณธรรมยิ่งนัก’

หมายเลขหกใช้ฐานะพระสงฆ์ตอบกลับประโยคนี้ อธิบายได้ว่าความรู้สึกยอมรับของเขาต่อสวี่ชีอันนั้นมีล้นหลาม

สวี่ชีอันเก็บกระจกกลับอย่างพึงพอใจ เอ่ยอยู่ในใจว่า เจ้าอย่าได้ซาบซึ้งใจเร็วไป ช้าเร็วข้าก็จะให้เจ้าได้ใช้น้ำใจคืนแน่

“ไม่เพียงเพิ่มความไว้ใจของเว่ยเยวียนต่อข้า แต่ยังมอบน้ำใจยิ่งใหญ่ให้กับหมายเลขหกอีก ทั้งยังทิ้งภาพลักษณ์ชอบช่วยเหลือคนเอาไว้ในใจของทุกคนในพรรคฟ้าดินได้ด้วย นี่มันลงทุนน้อยแต่ได้มากชัดๆ”

‘อืม หมายเลขหนึ่งคล้ายจะรู้สึกสนใจในตัวข้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถ้าหากเป็นชนชั้นสูงในราชสำนักจริง ก็ต้องไปเสาะหาในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่…เขา (นาง) หาไม่เจอหรอก เหอะๆ หากถอยไปก้าวหนึ่ง ต่อให้รู้ความจริงว่า ‘หมายเลขสามอาจจะเป็นสวี่ชีอัน’ ตัวเขาก็ยังสามารถผลักเอ้อร์หลางออกไปรับหายนะได้’

‘เอ้อร์หลางกับข้าแตกต่างกัน สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นคนที่ทำงานให้ราชสำนัก หากถูกหมายเลขหนึ่งค้นพบตัวจริงได้ ข้าก็จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ เอ้อร์หลางเป็นศิษย์แท้ๆ ของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ มีความมั่นใจเสียยิ่งกว่าข้า อีกอย่างตอนนี้ยังไม่มีความแค้นใดกับหมายเลขหนึ่ง ปัญหาจึงไม่ใหญ่นัก’

“ฉือจิ้วเอ๋ย พี่ใหญ่รักเจ้าขนาดนี้ เจ้าตอบแทนคืนให้ข้าสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”

เมื่อกลับไปยังห้องด้านข้างของโถงชุนเฟิง ซ่งถิงเฟิงที่หรี่ตาอยู่ก็หัวเราะเยาะว่าสวี่ชีอันเป็นตัวสารเลวชอบกินฟรี

จูกว่างเสี้ยวก็พยักหน้าเห็นด้วย

สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “วันนี้ข้าไปที่คลังเอกสารมา พบความลับยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าตกใจกลัวจนถึงตอนนี้”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวตกตะลึง “ความลับอะไร”

สวี่ชีอันกล่าว “เจ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้า”

ซ่งถิงเฟิงลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ท่านพ่อ”

สวี่ชีอันจดจ้องเขา สีหน้าเคร่งขรึม “ความลับนี้ก็คือ เจ้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า”

“ย่ามันเถอะ อัดมัน!”

ขณะที่ทั้งสามตบตีกันอยู่ ก็มีฆ้องเงินคนหนึ่งและฆ้องทองแดงสองคนเข้ามาทางประตู ไม่คุ้นหน้า ไม่รู้จัก

“สวี่ชีอัน ออกไปกับพวกเรา” ฆ้องเงินผู้นั้นยิ้มแล้วกวักมือเรียก

สวี่ชีอันและสหายร่วมงานทั้งสองคนมองสบตากัน ก่อนเดินตามไปอย่างงุนงง

ฆ้องเงินไม่คุ้นหน้าผู้นั้นพาเขาเข้าไปในโถงชุนเฟิง ตรงไปยังหลี่อวี้ชุนที่อ่านม้วนตำราอยู่ที่โต๊ะแล้วกระแอมไอ

“ใต้เท้าหลี่ ข้าจะพาฆ้องทองแดงใต้บัญชาผู้นี้ของท่านไป ต่อจากนี้เขาจะทำงานใต้คำสั่งของข้า พวกเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว”

หลี่อวี้ชุนได้ยินแล้วก็ระเบิดออกมา

………………………………..