เล่ม 1 ตอนที่ 100 เป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่ง!

ราชินีพลิกสวรรค์

ลู่เสวียนตกใจหันไปมองเจียงหลีที่อยู่ด้านหลัง ทำไมนางถึงเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมเช่นนี้!

 

 

แต่เจียงหลี กลับยกคิ้วขึ้น ยกคางเล็กๆ ที่แหลมคมขึ้น ราวกับกำลังใช้แววตาบอกเขาว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปกป้องข้าหรือ เหตุใดจึงลากข้าเข้าเอี่ยวไปด้วย

 

 

ท่าทางของลู่เสวียน เป็นเพราะเข้าใจ ‘สัญญาณ’ ของเจียงหลี เขาจึงบิดตัวม้วนเป็นเกลียว

 

 

ทันใดนั้น ท่าทางบิดเกลียวของเขากลับสู่สภาวะปกติ เขาโกรธเป็นอย่างมาก หันไปมองที่เจียงหลี และดึงนางมาหลบข้างหลัง

 

 

เขาตะโกนกล่าวต่อคนหนึ่งในสี่คนนั้น “จูเทียนโย่วเจ้าคิดว่าน้องชายของเจ้าถูกข้าตีจนด้วนไปแล้วยังไม่พอใช่หรือไม่ วันนี้จึงนำขาของเจ้ามาให้ข้าตีจนด้วนไปด้วย?”

 

 

“ลู่เสวียน!” จูเทียนโย่วถูกคำพูดที่เย่อหยิ่งของลู่เสวียนยั่วโมโหจนใบหน้าบูดเบี้ยวไปหมด เพื่อนสามคนที่เหลือก็กัดฟันด้วยความแค้น แล้วจ้องมองไปที่ลู่เสวียน

 

 

คิ้วของเจียงหลียกสูงขึ้น นางไม่ส่งเสียงใดพร้อมกับเดินถอยหลังไปอีกก้าว คิดไม่ถึงความสามารถในการยั่วยุของน้องชายลู่เจี้ยคนนี้ ถือว่าเชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้! ช่างเป็นเด็กเหลือขอเสียจริง เจ้าเด็กดื้อ!

 

 

เอ๊ะ ราชินีบางองค์ลืมไปหรือเปล่าว่าตนก็เป็นพวกที่ชอบยั่วยุ!

 

 

“หึ! ลู่เสวียน! วันนี้เป็นวันตายของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะเย่อหยิ่งได้อีกงั้นหรือตอนแรก ข้าเพียงแค่อยากมาหักขาของเจ้า แต่ตอนนี้ข้าต้องการชีวิตของเจ้า! อย่างไรก็ตาม ถ้าตายที่หุบเขาโยวโยวนี้ ก็แค่เพราะทักษะเจ้าด้อยกว่าผู้อื่น!” จูเทียนโย่วมองมาด้วยสายตาที่ดุร้าย

 

 

ทันใดนั้น สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเจียงหลีที่ถูกลู่เสวียนบังไว้ ท่าทางของเขาดูจงใจบดบังนางไว้

 

 

รับรู้ได้ถึงความโกรธของจูเทียนโย่ว ลู่เสวียนผายอกขึ้น กล่าวด้วยความหนักแน่นว่า “ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้า อย่าไปทำอะไรผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง”

 

 

เจียงหลีก็พยักหน้ารัว “ข้าเพียงแค่เดินผ่านมา พวกเจ้าจัดการต่อได้เลย ถือเสียว่าข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ ถ้ายังติดใจ ข้าขยับถอยห่างไปอีกนิดก็ได้” กล่าวจบ เหมือนว่านางจะทำให้เห็นว่านางสัตย์ซื่อต่อคำพูด นางจึงถอยหลังไปอีกหลายก้าว

 

 

มองการกระทำของนางด้วยสายตา หางตาของลู่เสวียนก็ดุร้ายขึ้น

 

 

เขาคิดอยู่ในใจ นี่พี่ใหญ่ให้ค่าแม่สาวน้อยคนนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งแล้งน้ำใจ! ไร้คุณธรรม!

 

 

“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรซะเห็นเจ้าปรากฎตัวอยู่ที่นี่ งั้นก็ตายพร้อมกันเถอะ! ถ้าจะโทษก็จงโทษที่เจ้าปรากฎตัวมาพร้อมกับลู่เสวียนเถิด” จูเทียนโย่วแสดงแววตาดุร้าย เขาตั้งใจวางแผนจะฆ่าลู่เสวียนแล้ว จะให้ข่าวสารนี้เผยแพร่ออกไปไม่ได้

 

 

แม้ว่า ในหุบเขาโยวโยวนี้จะอนุญาตให้ฆ่ากันได้ แต่หากเรื่องที่เขาเป็นผู้ลงมือสังหารซื่อจื่อคนเล็กของตำหนักอ๋องลู่เผยแพร่ออกไป เกรงว่าตระกูลของเขาต้องมาแบกรับไฟโกรธแค้นของตระกูลลู่ไปด้วย

 

 

เขาใช้สายตาส่งสัญญาณ อีกสามคนที่มาพร้อมกับเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปล้อมลู่เสวียนและเจียงหลีไว้

 

 

เจียงหลียิ้ม แววตาเยือกเย็น นางมองจูเทียนโยว่ด้วยสายตาเยาะเย้ย นางรู้สึกว่าคนๆ นี้ช่างโง่เสียจริง มั่นใจเหลือเกินว่าพวกเขาสี่คนจะสามารถฆ่านางและลู่เสวียนได้งั้นหรือ

 

 

ถ้าหากว่าจูเทียนโย่วฉลาดพอ ไม่ใช่จะฆ่านางด้วย แต่เป็นการชักจูงนางเข้าพวก แล้วทั้งห้าคนร่วมมือกันสังหารลู่เสวียน

 

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มโอกาสในการฆ่าลู่เสวียนทิ้งเสีย ถ้านางร่วมด้วย นางเองก็ต้องรักษาความลับอยู่แล้ว

 

 

หรือถ้าไม่ไว้ใจ หลังจบเรื่องก็ค่อยฆ่านางทิ้งเสียก็ยังได้

 

 

แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้แต่แรก ผลักนางให้เข้าก๊กเดียวกับลู่เสวียนเสียอย่างนั้น

 

 

น่าขบขันยิ่งนัก ไม่ว่านางจะรู้จักกับลู่เสวียนหรือไม่ แต่แล้วอีกฝ่ายจะมาฆ่านางแล้ว จะให้นางนั่งรอความตายหรือ แน่นอนว่าต้องร่วมวงกันเพื่อตอบโต้

 

 

“หลียาโถ่ว ดูท่าแล้ว แม้เจ้าจะอยากเบี่ยงเบนหลีกหนีก็คงไม่พ้นแล้ว” ลู่เสวียนตอบกลับหลังฟังคำพูดของจูเทียนโย่ว พร้อมยิ้มให้กับเจียงหลี

 

 

ดูใบหน้าที่ผ่อนคลายของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เอาพวกของจูเทียนโย่วไว้ในสายตา

 

 

“หึ! ไปฆ่าพวกมันด้วยกัน!” จูเทียนโย่วแววตาดุเดือด ส่งสัญญาณมือให้กับเพื่อนทั้งสาม

 

 

“พวกเวรอย่างเจ้าทั้งสี่คนน่ะหรือที่จะมารุมล้อมข้า ถุย!” ลู่เสวียนด่าด้วยความกล้า

 

 

แน่นอน หลังจากที่เขาด่าเสร็จ หันหลังกลับ คว้าแขนเจียงหลีและวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่พวกจูเทียนโยว่ทั้งสี่ประมาท กระโดดออกจากวงล้อม กระโดดเข้าไปในป่าข้างๆ

 

 

เจียงหลีมองไปยังเด็กหนุ่มรูปงามที่ดึงนางวิ่งหนี สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมายของนาง

 

 

พวกจูเทียนโย่วทั้งสี่คนตกตะลึง หลังจากที่ได้สติ ก็โกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟ

 

 

เขากล่าวด้วยความดุร้าย “เร็ว! ไล่ตามไป!”

 

 

“สี่รุมหนึ่ง คิดอยากจะลอบฆ่าคุณชายอย่างข้างั้นหรือ คิดว่าข้าเป็นคนโง่งั้นหรือ?”

 

 

คำพูดที่พูดโดยไม่ทันคิดของลู่เสวียนที่กำลังวิ่งหนี ทำให้เจียงหลีพลิกการรับรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง

 

 

“เจ้าตั้งใจจะหนีเช่นนั้นหรือ” เจียงหลีทนไหวจึงถาม

 

 

ลู่เสวียนหัวศรีษะและยิ้มให้นางอย่างสดใส “หนีหรือ นี่เรียกว่าถอยเพื่อไปต่อ พี่ชายข้าเคยพูดว่า ตอนที่เสียเปรียบศัตรู ก็ต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า จากที่สว่างไปที่มืด รอได้โอกาสดีค่อยลงมือ ต้องเผด็จศึกในครั้งเดียว!”

 

 

เห็นถึงความแปลกใจในตาของเจียงหลี เขาอดไม่ได้ที่จะร้องขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างนายน้อยคนนี้ฉลาดใช่ไหม”

 

 

เหอะๆ

 

 

เจียงหลียิ้มแบบเยือกเย็นในใจ นำมือของลู่เสวียนออก แต่กลับวิ่งตามเขาข้างหลัง

 

 

นางเคยรับปากลู่เจี้ยว่าจะคอยดูแลชีวิตเจ้าเด็กนี้อย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหาที่เขาไปก่อไว้ ก็ต้องไปช่วยเขาจัดการ

 

 

“ก็แค่จับมือเท่านั้นเอง พี่ชายข้าไม่ถือสาหรอก” ลู่เสวียนเหล่ตามองไปยังมือที่ยกออกไปของเจียงหลี เม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ

 

 

เจียงหลีมองไปที่เขา “ข้าถือสา” น่าขันยิ่ง เขาไม่ใช่ลู่เจี้ย เหตุใดนางจะยอมให้เขาเอาเปรียบด้วยเล่า

 

 

เอ่อ…ก็แบบ…ที่ใกล้ชิดกับลู่เจี้ยได้เพราะมีผลประโยชน์อย่างไรเล่า

 

 

“แล้งน้ำใจนัก!” ลู่เสวียนบึนปากกล่าว

 

 

เจียงหลีกลับส่งมอบรอยยิ้มที่อ่อนหวานให้เขา

 

 

ลู่เสวียนพูดอย่างเย็นชา แววตาขี้เล่นของเขาค่อยๆ จางหายไป เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มอย่างรวดเร็ว “จูเทียนโย่วนั้นเนตรญาณของเขาอยู่ในระดับเดียวกับข้า เป็นหลิงซื่อระดับแปด แน่นอน ถ้าต่อสู้ตัวต่อตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน แต่ว่า อีกสามคนที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่ข้างๆ นั้นล้วนแต่เป็นหลิงซื่อระดับเจ็ด มีพวกมันมารบกวนค่อนข้างจะยุ่งยาก”

 

 

เจียงหลีได้ยินแล้วค่อยๆ ซูดปาก นางคิดในใจ เมืองหลวงของฮ่องเต้อย่างไรก็เป็นเมืองหลวงของฮ่องเต้เป็นดินแดนของผู้ที่มีอัจริยะภาพ เพียงสุ่มหยิบจับ ล้วนแต่เป็นหลิงซื่อระดับเจ็ดแปด แล้วเจ้าเย่ว์หนานซีที่ตายห่าไปแล้ว ตอนที่ยังอยู่เมืองซูหนานยังภาคภูมิใจกับพรสวรรค์อันน้อยนิดของตัวเอง ทันใดนั้น เจียงหลีรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ฆ่าเย่ว์หนานซีตายเร็วแบบนี้ ถ้าเก็บเขาไว้แล้วพาเขาเข้ามาที่ซั่งตู คาดว่าคงถูกไล่ตีจนไม่มีที่ยืนกระมัง!

 

 

ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่นางก็พูดเยาะเย้ยมาประโยคหนึ่ง “ข้าได้ยินมาว่าลู่เสวียนเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดของรุ่นในตระกูลลู่ ทำไมหมาแมวที่โผล่มา ก็มีระดับเนตรญาณเดียวกับเจ้าได้ล่ะ ข้าดูพวกเจ้าก็อายุใกล้เคียงกับเจ้าหนิ! ”

 

 

ลู่เสวียนกล่าวอย่างไม่เจ็บใจว่า “ตัวข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนตอนอายุสิบปี ไอ้เวรนั่นเบิกเนตรญาณได้ตั้งแต่อายุหกปีแล้ว จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า”

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

 

 

เจียงหลีกระจ่างแล้ว

 

 

ลู่เสวียนหยุดลงในทันใด เจียงหลีมองไปที่เขา เห็นแววตาของเขามีแสงแห่งความโหดร้ายโผล่ออกมา เหมือนดั่งหมาป่าในพงไพร

 

 

นางใจเต้นขึ้น กล่าวเงียบๆ นี่ก็เป็นคนโหดเ**้ยมคนหนึ่ง

 

 

“หลียาโถ่ว พวกเราควรออกล่าเหยื่อแล้ว” ลู่เสวียนแสดงรอยยิ้มขี้เล่นออกมา ประกายในแววตาระยิบระยับ