เล่ม 1 ตอนที่ 90 เฉือนเอาชนะด้วยการบาดเจ็บสาหัส

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ล่วงรู้ความคิดของพวกเขาที่อยู่ด้านหลังเลย ตอนนี้เธอเองก็มิอาจไปคิดถึงสิ่งอื่นได้เพราะจำเป็นต้องใช้พลังจิตเกินร้อยในการจัดการกับงูเหอฮวานตรงหน้า

ตอนนี้ย่ากวงและพวกเจ้าคำรามน้อยล้วนมิอาจช่วยเหลือเธอได้ เธอได้แต่อาศัยตนเองเท่านั้นในการต่อกรกับงูเหอฮวาน

แต่ก็เหมือนกับที่คนอื่นๆ คิดเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นสูงเท่านั้นจึงจะตอบโต้กับสัตว์อสูรทิพย์ได้ ส่วนเธอนั้นยังห่างชั้นอีกมากนัก หากคิดจะจัดการมันก็จำเป็นต้องหาหนทางอื่น

และสิ่งที่เธอพอจะพึ่งพาได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียวเท่านั้น

เธอในชาติก่อนเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่าทุกศิลปะการต่อสู้ในใต้หล้า มิอาจเอาชนะความรวดเร็วได้ ดังนั้นหลังจากที่มายังโลกแห่งนี้แล้ว ตอนออกกำลังกายจึงคิดหาวิธีฟื้นฟูทักษะก่อนหน้านี้ของตนเองขึ้นมา

งูเหอฮวานเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ว่องไวกว่าหางของตนเสียอีก ในใจจึงยิ่งทวีความเดือดดาล และยิ่งตวัดหางอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กดดันให้ซือหม่าโยวเย่ว์จำเป็นต้องเร่งความเร็วของตนเอง มีหลายครั้งที่เธอถูกหางงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระแทกพื้นอย่างแรง

เธอเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบบนแผ่นหลัง เมื่อขยับมือซ้ายก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดบาดหัวใจ อาศัยประสบการณ์จากชาติก่อนเธอจึงรู้ว่าอย่างน้อยกระดูกซี่โครงต้องหักไปสองซี่แล้ว

“จะดันทุรังแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องรีบสู้รีบจัดการซะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณก็เหลือเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากยังคงลากยาวต่อไป ตนจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ดังนั้นขณะที่งูเหอฮวานฟาดใส่เธออีกครั้ง เธอจึงมิได้คิดที่จะหลบหลีกอีก หากแต่เบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วอาศัยจังหวะที่มันยกหางกลับไปคว้าตัวมันเอาไว้ ก่อนจะเงื้อกระทะก้นแบนฟาดลงไปอย่างรุนแรง

พวกเป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ถึงกับคว้าตัวงูเหอฮวานเอาไว้จึงเกิดความเป็นห่วงเธอ แต่เมื่อเห็นเธอเงื้อกระทะก้นแบนฟาดใส่งูเหอฮวานไม่ยั้ง ในใจก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าหากมิใช่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมาะสม คาดว่าพวกเขาคงจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ว

ถ้าหากรอดชีวิตออกไปได้ในวันนี้ เหตุการณ์นี้ก็คงจะกลายเป็นความทรงจำชั่วชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าหลิงหลงจะกลายร่างเป็นกระทะก้นแบน แต่พลังโจมตีนั้นมิใช่สิ่งที่กระทะก้นแบนทั่วไปจะเทียบเคียงได้เลย ต่อให้เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหนังหนาทนทาน ก็ต้องถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีจนเนื้อหนังแหลกลาญเช่นเดียวกัน

“โอ๊ย… เจ้ามนุษย์น่าชัง!” งูเหอฮวานเจ็บจนหางปัด ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าบริเวณหางเอาไว้ แล้วใช้สองขาหนีบร่างงูเอาไว้แน่น ตนจึงไม่ถูกสะบัดออกไป

“ไปตายเสียเถิด!”

งูเหอฮวานกระดกหางขึ้นอย่างแรง เตรียมจะทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์กระเด็นไปกระแทกพื้นจนตาย

ซือหม่าโยวเย่ว์เล็งตำแหน่งเอาไว้อย่างดีแล้วจึงปล่อยหางงู ก่อนจะขยับไปที่ตำแหน่งส่วนเจ็ดนิ้วของงูเหอฮวาน แล้วเอนกายบดบังสายตาพวกเว่ยจือฉีเอาไว้ จากนั้นหลิงหลงก็แปลงร่างเป็นกริชแทงเข้าไปอย่างรุนแรง

“อ๊ากกกกก….”

จุดสำคัญถูกทำร้าย ทำให้ลำตัวของงูเหอฮวานคดโค้งราวกับคันศร

ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้สองขาหนีบตัวงูเหอฮวานเอาไว้ สองมือกุมกริชแล้วดันส่วนที่เหลือลงไปจนมิดด้าม หลังจากนั้นก็ออกแรงดึงลงไปข้างล่าง ส่วนหลังของงูเหอฮวานถูกเธอกรีดเป็นแผลยาวหลายสิบเซนติเมตร

งูเหอฮวานดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดสะบัดอย่างแรงจนซือหม่าโยวเย่ว์ลอยกระแทกพื้นนอนแน่นิ่ง

“โยวเย่ว์!”

“โยวเย่ว์!”

พวกเป่ยกงถังตกตะลึงเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน พอเห็นซือหม่าโยวเย่ว์นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น จึงพากันร้องตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรน

“โอ๊ยยย…อ๊ากกก…”

งูเหอฮวานยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น แต่ความถี่นั้นลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็คลายตัวบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีก

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เป่ยกงถังเห็นเงาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาแดงก่ำเป็นครั้งแรกหลังจากการต่อสู้

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกอย่างไร ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไร้การตอบสนอง

“โยวเย่ว์ โยวเย่ว์ เจ้าขานรับสักคำสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยดวงตาเอ่อคลอ อยากจะวิ่งเข้าไปหานาง

“ไม่ได้นะ โยวเย่ว์จะมาตายไปเช่นนี้ไม่ได้นะ!” เว่ยจือฉีส่ายศีรษะพลางเอ่ยพึมพำ

“พวกเจ้าตื่นตระหนกอันใดกัน! ย่ากวงยังมีลมหายใจ ก็แสดงว่าโยวเย่ว์ยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ” ในยามคับขันก็ยังเป็นโอวหยางเฟยที่ยังครองสติเอาไว้ได้ เมื่อเห็นย่ากวงที่อยู่ใต้ร่างเจ้าอ้วนชวีจึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา

“ไม่… ไม่เป็นไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองโอวหยางเฟยอย่างตกใจ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกภายใต้ร่าง หัวใจของเขาจึงร่วงหล่นลงมาอย่างแรง

ต่อสู้กับงูเหอฮวานที่เป็นระดับสัตว์อสูรทิพย์ พอเห็นเธอนอนนิ่งอยู่บนพื้น ก็ยากจะตำหนิที่ทุกคนคิดว่าเธอตายไปแล้ว

“แค่กๆ”

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงมีเสียงไอเบาๆ ดังขึ้น เมื่อลอยเข้าหูคนทั้งสี่นั้นก็ราวกับเสียงสวรรค์เลยทีเดียว

“โยวเย่ว์!”

“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ซือหม่าโยวเย่ว์ขยับตัวพลันความเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กาย เธอความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ยาวิเศษเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เธอกินยาวิเศษลงไปอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นจึงหันหน้ามามองพวกเว่ยจือฉี

“ข้าไม่เป็นไรหรอก”

เมื่อเห็นดวงตาอันอ่อนล้าทว่าเปล่งประกายของซือหม่าโยวเย่ว์ ทั้งสี่คนจึงค่อยวางใจลงได้จริงๆ

ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว

พักผ่อนกันอยู่ราวๆ ชั่วโมงกว่า พวกเว่ยจือฉีจึงรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูพละกำลังแล้ว โอวหยางเฟยฟื้นคืนสติขึ้นมาเป็นคนแรกแล้วค่อยๆ ตะเกียกตะกายขึ้นมา ขยับไปข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์อย่างโงนเงน ก่อนจะยื่นมือออกมาหมายจะโอบซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้

“โอ๊ย…”

พอซือหม่าโยวเย่ว์ขยับร่างกายก็เจ็บปวดจนต้องพ่นลมหายใจเย็นเฉียบออกมา

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือ” โอวหยางเฟยเห็นท่าทางเจ็บปวดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงไม่กล้าขยับอีก แล้วประคองซือหม่าโยวเย่ว์ให้นั่งอยู่ที่เดิม

“แค่กๆ คาดว่าซี่โครงคงเหลือดีอยู่แค่ไม่กี่ซี่เท่านั้น ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็บาดเจ็บไม่น้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

โอวหยางเฟยใช้มือหนึ่งพยุงซือหม่าโยวเย่ว์ไว้ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ยาวิเศษเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา

ยาวิเศษขั้นสี่อย่างนั้นหรือ!

ซือหม่าโยวเย่ว์มองยาวิเศษในมือโอวหยางเฟย ในใจพรั่นพรึงไม่น้อย

เขามียาวิเศษล้ำค่าเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน!

โอวหยางเฟยไม่พูดอะไรแล้วป้อนยาวิเศษใส่ปากซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่ปล่อยให้เธอได้ปฏิเสธ

พวกเว่ยจือฉีก็ฟื้นฟูพลังกลับมาเช่นกัน เขามาที่ข้างกายเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง

“ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ เพียงแค่ขาหัก มิอาจเดินได้เท่านั้น” เป่ยกงถังพูด

เว่ยจือฉีเลิกกางเกงของเป่ยกงถังขึ้นก็เห็นว่าขาของนางบวมปูด

“ข้าไปหากิ่งไม้มาดามให้เจ้าหน่อยดีกว่า” เจ้าอ้วนชวีที่ตะเกียกตะกายตามมาพูดขึ้น

“เจ้าอ้วน ช้าก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พิงอยู่ในอ้อมแขนโอวหยางเฟยแล้วพูดว่า “พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด มิฉะนั้นหากล่อสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นมาจะยุ่งยากเปล่าๆ นะ”

“ถูกต้อง พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด” เว่ยจือฉีพูด “เป่ยกง ข้าแบกเจ้าเอง อีกประเดี๋ยวค่อยดามให้เจ้าแล้วกัน”

“อืม” เป่ยกงถังพยักหน้า ในยามนี้นางมิได้สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงอีกต่อไปแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกตัวย่ากวงกลับไป หลังจากนั้นจึงเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมาให้มันขยายร่างใหญ่ขึ้น

“เย่ว์เย่ว์ เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร” เมื่อเจ้าคำรามน้อยเห็นบาดแผลบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์จึงพูดเจือสะอื้นว่า “เป็นเพราะเจ้าคำรามน้อยไม่ดีเอง มิได้อยู่ด้วยในยามวิกฤติ”

“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เจ้าขยายร่างให้ใหญ่อีกหน่อยสิ ให้พอสำหรับสิบคนนั่งเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าพูด

“ได้เลย”

เจ้าคำรามน้อยร่างวูบไหวแล้วขยายร่างใหญ่ขึ้น แม้คนสิบคนจะนอนบนนั้นก็ไม่เป็นปัญหา

“โยวเย่ว์ เหตุใดต้องใช้พื้นที่สำหรับสิบคนเลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปที่บริเวณห่างออกไปปราดหนึ่ง นัยน์ตาเปล่งประกายเยียบเย็น “เพราะว่าพวกเราจะพาศัตรูกลับไปด้วยอีกหลายคนเลยน่ะสิ”

………………