เล่ม 1 ตอนที่ 91 หรือว่าเจ้าคือลานบิน

สลับชะตา ชายามือสังหาร

เว่ยจือฉีวางตัวเป่ยกงถังลงบนหลังเจ้าคำรามน้อยก่อนจะมองตามสายตาซือหม่าโยวเย่ว์ไปแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ศัตรูหรือ”

“คนที่ล่อพวกเรามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม

“อืม พวกเขาถูกข้าวางยาไปเรียบร้อย นอนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“โยวเย่ว์ เจ้าไม่เพียงแต่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยพวกเราเท่านั้น แต่ยังจับตัวคนพวกนั้นเอาไว้ด้วย ข้านับถือเจ้าเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ไปกันเถิด พวกเราไปจับตัวคนพวกนั้นแล้วค่อยไปจากที่นี่กัน” โอวหยางเฟยพยุงตัวซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นมาบนหลังเจ้าคำรามน้อยพลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีที่ยังอยู่ข้างล่าง

“อืม”

เจ้าอ้วนชวีหมุนตัววิ่งไปยังบริเวณที่พวกเขาอยู่ ก็มองเห็นคนหลายคนที่นอนอยู่บนพื้น เขาหยิบเชือกออกมาแล้วมัดพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นจึงโยนขึ้นมาไว้บนหลังเจ้าคำรามน้อย

รอจนเจ้าอ้วนชวีขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าคำรามน้อยจึงพาทุกคนไปจากที่แห่งนี้

หลังผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ เจ้าคำรามน้อยก็หาถ้ำแห่งหนึ่งพบ จึงพาพวกซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป

“ที่นี่ไม่เลวเลย พวกเรามาพักฟื้นที่นี่กันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสภาพแวดล้อมรอบๆ พลางพูดขึ้น

เจ้าอ้วนชวีกระโดดลงไปก่อน จากนั้นก็จับมือห้าคนนั้นคนละข้าง ก่อนจะเหวี่ยงลงมาที่พื้นอย่างส่งๆ หลังจากนั้นจึงร่วมมือกับเว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยช่วยพาเป่ยกงถังกับซือหม่าโยวเย่ว์ลงมา

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาเตียงใหญ่ของตัวเองออกมาทำเป็นพื้นที่พักฟื้นของเธอและเป่ยกงถัง เว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยพยุงพวกนางทั้งสองไปที่เตียง

“จือฉี ตอนนี้ข้าขยับตัวไม่ได้ ข้าจะบอกเจ้า เจ้าผสานกระดูกให้เป่ยกงก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“โยวเย่ว์ เจ้าผสานกระดูกเป็นด้วยหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ

“ประสบการณ์จากอดีตน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้ว บนฝ่ามือก็มีกระดานไม้สองอันปรากฏขึ้น “พอผสานกระดูกเสร็จแล้วก็ใช้เจ้านี่พยุงไว้ให้ดีๆ ล่ะ”

“อืม เจ้าบอกมาสิ ข้าจะทำเอง” เว่ยจือฉีรับไม้กระดานมาแล้วพูดขึ้น

หลังจากนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ชี้แนะเว่ยจือฉีให้ผสานกระดูกขาเป่ยกงถังจนเสร็จ จากนั้นให้พวกเขาออกไปจนหมดก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วให้เป่ยกงถังผสานกระดูกให้กับเธอ

พวกเจ้าอ้วนชวีมาที่ด้านนอกถ้ำแล้วจึงนึกถึงความลับที่ค้นพบในวันนี้ขึ้นมา

“โยวเย่ว์เป็นสตรีจริงๆ หรือ” จนถึงตอนนี้เจ้าอ้วนชวีก็ยังมิอาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้โดยสมบูรณ์ “ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้ว่าโยวเย่ว์เป็นสตรี กลัวแต่ว่าคนทั้งเมืองจะพากันพรั่นพรึงไปหมดน่ะสิ”

พวกเว่ยจือฉีเองก็ไม่แน่ใจ คิดมาตลอดว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นบุรุษ จู่ๆ มาบอกว่าเธอเป็นอิสตรีอย่างกะทันหัน พวกเขาจึงต้องใช้เวลาค่อยๆ ครุ่นคิดกับเรื่องนี้

“ในเมื่อคนของจวนแม่ทัพจะให้นางปลอมตัวเป็นบุรุษมาโดยตลอด ฉะนั้นข้าว่าพวกเราอย่าเพิ่งพูดออกไปจะดีกว่า” โอวหยางเฟยพูด

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เว่ยจือฉีพูด “ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าโยวเย่ว์เป็นสตรีมาตลอดสิบกว่าปี เห็นได้ว่าจวนแม่ทัพรักษาความลับเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดี ถ้าหากโยวเย่ว์อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ก็ต้องพูดออกไปแล้ว ที่นางไม่บอกแสดงว่าต้องมีเหตุผลอันใดอยู่อย่างแน่นอน”

“อืม พวกเจ้าพูดได้ถูกต้อง พวกเราอย่าเพิ่งพูดออกไปเลยจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากกับนาง” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ว่าโยวเย่ว์เป็นถึงปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าแล้ว ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ”

“จริงด้วย” โอวหยางเฟยพยักหน้า

พวกเขาสนทนากันอยู่ที่ปากถ้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งเป่ยกงถังจึงแจ้งพวกเขาจากด้านในว่าทำเสร็จเรียบร้อย เข้ามาได้แล้ว

พอพวกเจ้าอ้วนชวีเข้าไปก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์นอนอยู่บนเตียง แก้มขวาถูกบาดเป็นแผลยาวเพราะขูดกับก้อนหินตอนต่อสู้ หลังจากชำระล้างคราบเลือดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เด่นสะดุดตายิ่งกว่าเดิม

“โยวเย่ว์ อาการบาดเจ็บของเจ้า…” เว่ยจือฉีเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรหรอก นอนพักสักสองวันก็หายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าหมายถึงบาดแผลบนหน้าเจ้า พอถึงเวลาแล้วจะกลายเป็นแผลเป็นหรือไม่” เว่ยจือฉีพูด

ถ้าหากเป็นบุรุษคงจะไม่เป็นไร แต่อิสตรีให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากกว่า สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วหากใบหน้าถูกทำลายก็ไม่ต่างอะไรกับการทำให้สูญเสียพลังยุทธ์เลย

ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา เข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยจือฉี จึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก พอกลับไปแล้วข้าทาขี้ผึ้งขจัดรอยแผลเป็นสักระยะหนึ่งก็หายดีแล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี”

เว่ยจือฉีพูดจบ บรรยากาศภายในถ้ำก็แปลกพิกลอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขามองเธออย่างแปลกประหลาดกันหมดจึงรู้สึกขนลุกอยู่ในใจ

“แค่กๆ โยวเย่ว์เอ๋ย จู่ๆ ก็ได้รู้ว่าเจ้าเป็นสตรี พวกเรายังทำใจกันไม่ได้เลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “แต่จะว่าไปแล้วหากมิใช่เพราะเรื่องในวันนี้ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีทางค้นพบว่าเจ้าเป็นสตรีหรอก ความจริงแล้วเจ้ามาปลอมแปลงเป็นบุรุษทำไมกัน หรือเป็นเพราะลานบินที่เจ้าเคยพูดถึงเล่า”

“แค่กๆ ข้าจะเป็นลานบินไปได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์สำลักเพราะเจ้าอ้วนชวีจนแทบจะหายใจไม่ได้ เมื่อคราวก่อนตอนพวกเขาชมหญิงงามด้วยกัน เธอเคยพูดถึงหน้าอกแบนราบคล้ายลานบินอยู่ครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะจำได้ด้วย

“เจ้ามิใช่ลานบิน เช่นนั้นเหตุใดยามปกติพวกเราจึงไม่เคยพบเห็นว่าเจ้ามีสิ่งนี้เลยเล่า” พูดจบแล้วเจ้าอ้วนชวีก็ลูบไปมาตรงทรวงอก กิริยาท่าทางต่ำช้าอย่างยิ่ง

“ไปตายเสียเถอะเจ้าอ้วน! อ๊ากกกก….” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกน เพราะออกแรงอย่างฉับพลันจึงไปกระตุ้นบาดแผลบนร่างกาย ทำให้เธอเจ็บจนต้องพ่นลมหายใจเยียบเย็น

“เจ้าระวังหน่อยสิ” เป่ยกงถังนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาพยุงซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นจึงหันมาตะโกนว่า “เจ้าอ้วน ตอนนี้โยวเย่ว์บาดเจ็บไปทั้งตัว มีกระดูกในร่างกายแค่ไม่กี่ท่อนที่ยังสมบูรณ์ดี เจ้ายังไปยั่วแหย่นางอีก!”

“ข้าพูดความจริงนี่นา” เจ้าอ้วนชวีหดคออย่างสลดใจ

เขาอยากรู้นี่นา ว่าเหตุใดยามปกติซือหม่าโยวเย่ว์จึงรอดพ้นสายตาอันคมกริบของพวกเขาไปได้

“เรื่องนี้พวกเราก็อยากรู้เช่นกัน” เว่ยจือฉีพูดพลางมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์

โอวหยางเฟยจ้องซือหม่าโยวเย่ว์ ความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูด

“อะแฮ่มๆ โยวเย่ว์ ไม่อย่างนั้นเจ้าบอกพวกเขาไปเถิด มิฉะนั้นพวกเขาต้องจ้องมองเจ้าไปตลอดแน่” เป่ยกงถังพูด

นางพูดไม่ได้หรอกว่าอันที่จริงแล้วนางเองก็อยากรู้เช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่พวกเขาอย่างจนใจแล้วเอ่ยว่า “หากข้าไม่บอก พวกเจ้าคงต้องขาดใจตายแน่  ทั้งยังมาคิดบ้าๆ ว่าข้าแบนราบเหมือนลานบินเช่นนั้น พวกเจ้าจะดูถูกเรือนร่างข้าเกินไปแล้วนะ เป็นเพราะแหวนมนตร์บนนิ้วข้าวงนี้ต่างหาก เพียงแค่สวมมันเอาไว้ พวกเจ้าก็จะเห็นข้าเป็นร่างบุรุษ”

พอพูดจบเธอก็ถอดแหวนมนตร์ออก ร่างกายของเธอดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันใดเว่ยจือฉีและคนอื่นๆ ต่างคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถอดแหวนมนตร์ออก บุรุษคนหนึ่งเปลี่ยนร่างกลายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์อย่างฉับพลัน ทำเอาทุกคนตกใจจนสะดุ้งตัวลอยในทันใด

ซือหม่าโยวเย่ว์สวมแหวนมนตร์กลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นร่างหญิงสาวอีก เธอในสายตาของทุกคนยังคงสวมเสื้อผ้าบุรุษราวกับว่าหญิงสาวคนเมื่อครู่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว

“น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ “บนโลกใบนี้มีแหวนที่ใช้ทำประโยชน์เช่นนี้อยู่ด้วย ข้ายังนึกไปว่ามีเพียงแค่แหวนเก็บวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นเสียอีก”

“น่าอัศจรรย์จริงๆ ด้วย” เว่ยจือฉีพูด “เจ้าไปได้แหวนวงนี้มาจากที่ใดกัน ถ้าหากมีโอกาสพวกเราก็จะได้ไปหามาสวมบ้างสักวงหนึ่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สะดุ้งคราหนึ่ง นัยน์ตามีเงาร่างของอูหลิงอวี่วาบผ่าน รวมทั้งจูบอันทรงพลังก่อนจะจากไปนั่นด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าคนเลวที่ตะโกนบอกให้ตนโตไวๆ หน่อยผู้นั้นกำลังทำอะไรอยู่ ลืมเลือนตนไปแล้วใช่หรือไม่

ณ ตำหนักอันไกลโพ้น อูหลิงอวี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หัวใจวูบไหวขึ้นมาในทันใด จึงมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับรู้สึกได้

“แม่เด็กน้อย เจ้าต้องโตเร็วๆ หน่อยนะ…”

…………………