แต่ไหนแต่ไรแผนกฉุกเฉินไม่เคยมีคำว่าเวลากินข้าว!

ตอนเที่ยง นางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนบอกข่าว!

“120 ส่งผู้ป่วยที่มีอาการช็อกโคม่ามาคนหนึ่ง เตรียมกู้ชีพ!”

เฉินชางที่กำลังจะลงไปกินข้าวได้ยินเสียงแจ้งของนางพยาบาลพอดี

เขายังจะมีอารมณ์ไปกินข้าวที่ไหนกัน รีบสวมเสื้อกาวน์กลับไปอีกครั้ง จากนั้นก็วิ่งไปด้านนอก รอการมาถึงของ 120 ไม่นานรถพยาบาลของศูนย์ฉุกเฉิน 120 ก็มาจอดที่บริเวณประตูแผนกฉุกเฉิน ผู้ป่วยถูกเข็นลงจากรถ เฉินชางรีบเดินเข้าไปรับ ถามหมอที่นั่งมากับรถกู้ชีพ 120 ว่า “อาการของผู้ป่วยเป็นยังไงครับ?”

หมอคนนั้นยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากด้านหลัง “คุณหมอคะ! ช่วยพ่อฉันด้วย…”

เฉินชางกำลังจะปลอบใจผู้หญิงคนนั้น แต่กลับต้องชะงักไป!

เพราะผู้หญิงคนนั้นดูคุ้นๆ ใบหน้าของเธอคุ้นมาก!

เฉินชางตบศีรษะของตน เธอคือผู้หญิง “การศึกษาสูง” ที่มีบรรยากาศไม่ธรรมดาและแต่งตัวหรูหราคนนั้น คนที่มาซื้อยาที่แผนกฉุกเฉินให้พ่อของตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ใช่ คนที่เคยเรียนคณะแพทย์นั่นแหละ!

เมื่อเฉินชางคิดถึงตรงนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไป!

คุณลุงคนนี้…คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ!

ตอนนั้นเฉินชางวินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้อุดตันเฉียบพลัน ตอนนั้นเธอต้องการพาพ่อของเธอไปที่โรงพยาบาลตงต้า แล้วยังให้คำมั่นว่าจะเซ็นสัญญารับผิดชอบเสียดิบดี เฉินชางเห็นกับตา!

หรือเธอไม่ได้พาพ่อไปตรวจ? หากไป อีกฝ่ายต้องตรวจพบแน่?

เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็รู้สึกจมดิ่ง

หมอที่ตามมากับรถ 120 อธิบายอาการให้เฉินชางฟัง เขากำชับว่า “ตอนผมไปถึงผู้ป่วยก็สลบไปแล้ว หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้น พบว่าความดันเลือดไม่มั่นคง ลมหายใจอ่อนแรง…เกิดหยุดหายใจกะทันหันหลายครั้ง…”

เฉินชางมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน!

รีบกำชับกับพยาบาลว่า “เสี่ยวหลิน เครื่องช่วยหายใจ! เครื่องพยุงชีพ!”

เสี่ยวหลินกำลังกินข้าว เมื่อได้ยินเฉินชางเรียก เธอก็วางชามและตะเกียบลง รีบวิ่งออกมาเข็นเตียงผู้ป่วยเข้าไปยังห้องกู้ชีพ

ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะจำเฉินชางได้เช่นกัน เธอรีบพูดออกมาว่า “หมอ! เป็นคุณ…คุณ…คุณพูดถูกทุกอย่าง วันนั้นฉันผิดเอง ขอโทษคุณด้วยค่ะ คุณต้องช่วยพ่อฉันให้ได้นะคะ ฉันมีพ่อแค่คนเดียว…”

บนใบหน้าของเธอไม่มีความสุขุมเหมือนวันนั้นอยู่อีก น้ำตาน้ำมูกไหลเต็มหน้า เสื้อผ้าบนตัวเต็มไปด้วยร่องรอย เธอคุกเข่าลงเบื้องหน้าเฉินชาง กอดขาเฉินชางเพื่อขอร้อง

เฉินชางรีบพยุงเธอขึ้น “คุณใจเย็นหน่อยครับ พวกเราต้องไปกู้ชีพก่อน!”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ฉันผิดไปแล้ว คุณหมอ! ขอร้องเถอะค่ะ ช่วยพ่อฉันด้วย คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น…”

เฉินชางทอดถอนใจออกมา พยายามสลัดตัวออกจากเธอแล้ววิ่งเข้าไปที่ห้องกู้ชีพ

คนที่เธอคุกเข่าให้ไม่ใช่เฉินชาง แต่เป็นพ่อของเธอ เธอกำลังรู้สึกผิด…

เฉินชางเดินเข้ามาในห้องกู้ชีพ รีบปรับเครื่องช่วยหายใจ จากนั้นจึงเริ่มรักษาอย่างสงบนิ่ง

แต่วุ่นวายมาตลอดเที่ยง จนกระทั่งถึงบ่ายสอง ผลการตรวจแต่ละอย่างก็ออกมาแล้ว!

เสียงเตือนของระบบคำชี้แนะจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงที่ดังเตือนเฉินชางอยู่ตลอดก็เงียบลง…

เฉินชางและเสี่ยวหลินพาชายชราไปทำซีทีสแกนและอัลตร้าซาวด์ ทำการตรวจหลายอย่าง…

ยุ่งจนถึงบ่ายสาม ทั้งสองก็เหนื่อยจนทรุดนั่งลงกับพื้น

เสี่ยวหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “หมอเฉิน…ยังช่วยได้หรือเปล่าคะ?”

ประโยคนี้ทำให้เฉินชางรู้สึกแสบจมูก

เขาสูดหายใจลึกก่อนจะลุกขึ้นยืนทั้งยังดึงเสี่ยวหลินขึ้นมาด้วย “ลำบากคุณแล้ว เสี่ยวหลิน ตอนเที่ยงคุณไม่ได้พักผ่อนเลย”

เสี่ยวหลินส่ายหน้า ในดวงตามีน้ำตาคลอ “ยังช่วยได้หรือเปล่าคะ? หมอเฉิน…ไม่มีวิธีแล้วจริงหรือ?”

เสี่ยวหลินจับเสื้อกาวน์สีขาวของเฉินชางแน่น สายตาเต็มไปด้วยความร้องขอ

ลำไส้พองบวมจนส่งผลกระทบกับหลอดเลือดแดงแล้ว ทิ้งไว้นานเกินไป…

ขณะนี้ชายชรานอนอยู่ที่เตียง มีอาการอวัยวะล้มเหลวหลายแห่ง เดิมทีก็อายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ทั้งยังมีอาการอวัยวะล้มเหลวและลำไส้บวมจนส่งผลกระทบกับหลอดเลือดแดง…

เฉินชางถอนใจออกมา “ผ่าตัดได้ แต่โอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์!”

นี่คือคำตอบที่มาจากคำชี้แนะของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง

เพราะสุขภาพของชายชราแย่เกินไป หากรักษาอาการลําไส้อุดตันไปก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก แต่ว่า…หากเป็นเมื่อสามวันก่อนเขาคงทำได้มากกว่านี้…

เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ถอนใจออกมา จะอย่างไรเขาก็เปลี่ยนใจญาติผู้ป่วยไม่ได้

เฉินชางลุกขึ้นยืน เดินออกไปหาผู้หญิงคนนั้น เธอนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น เขาพูดว่า “นี่…”

คำพูดของเขายังไม่ทันจบเธอก็เงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “หนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤตหรือ?”

เฉินชางพยักหน้าเงียบๆ “ครับ!”

เธอใช้มือพยุงกำแพง ยืนขึ้นด้วยร่างกายโอนเอน “…พ่อของฉันยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”

เฉินชางตอบไปว่า “เสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ยืนหยัดได้ไม่นาน หากให้พูดอย่างละเอียดคงไม่น่าฟัง”

“ถ้าทันเวลา…”

เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็พบว่าน้ำตาของอีกฝ่ายไหลฟูมฟายออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

หลังจากเฉินชางคิดอีกทีจึงเก็บกลืนคำพูดกลับลงท้องไป…

เนิ่นนานผ่านไป…

“หมอคะ คุณรอฉันก่อน ฉันจะไปห้องน้ำ!” เธอใช้เสื้อเช็ดน้ำตาจนสะอาด จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ

“ตอนนี้ฉันเสียใจจะตายอยู่แล้ว…ฉันควรฟังคำคุณหมอ ฉันควรไปตรวจ ฉันควรฟังที่หมอพูด…ฉันไม่ควรเอาแต่ใจตัวเอง…”

เธอหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อ ปากก็พึมพำไม่หยุด…

เสียงเบาลงเรื่อยๆ บางทีอาจพูดให้ตัวเองฟัง…

เฉินชางถามด้วยความสงสัย “พวกคุณไม่ได้ไปโรงพยาบาลต้าตงหรือครับ?”

เธอตอบเสียงเรียบ “หลังจากฉันออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลอีก แต่ไปซื้อยาที่ร้านยาใกล้ๆ และถือโอกาสพาพ่อไปให้คลินิกออกยาต้านการติดเชื้อและยาแก้อักเสบให้ด้วย”

“ตอนเย็นพอกลับบ้านไป ฉันคิดว่าเขาดีขึ้นจนหลับไป…ผลกลายเป็นว่า…”

“เป็นฉันที่ทำร้ายเขา…ฉันเป็นฆาตกร…ฉันคิดว่าเขาแค่ปวดท้อง กลัวว่าถ้าทำการตรวจพวกนั้นจะไม่ดีกับเขา”

เธอพูดไม่ไหวอีกต่อไป การพูดเป็นอะไรที่ยากลำบากมาก เสียงสะอึกสะอื้นอยู่ตลอด เป็นการแสดงถึงความเจ็บปวด

ประมาณหนึ่งชั่วโมงถัดมา ยามที่แสงแดดยามเย็นสาดกระจายไปทั่วทั้งแผนกฉุกเฉิน ชายชราจากไปแล้ว หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจ

หญิงคนนั้นปฏิเสธที่จะทำการปั๊มหัวใจกู้ชีพ และไม่ให้กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า ทำเพียงนั่งอยู่ข้างกายชายชราอย่างสงบ

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีญาติผู้ป่วยหลายคนเดินเข้ามา มีทั้งชายและหญิง แต่ไม่มีใครเจ็บปวดเหมือนเธอ แต่ละคนมีท่าทางสงบ ดูเหมือนจะคาดเดาได้นานแล้ว

เธอก็ไม่ส่งเสียงอะไร ทำเพียงพยักหน้าพูดว่า “เป็นความผิดของฉันเอง เป็นความผิดของฉันทั้งหมด…ฉันทำให้พ่อต้องตาย”

เฉินชางอดพูดไม่ได้ว่า “นี่ถือเป็นการหลุดพ้น”

เฉินชางไม่รู้ว่าเขาพูดประโยคนี้ให้ชายชราฟัง พูดให้เด็กข้างๆ ฟัง หรือพูดให้ผู้หญิงคนนั้นฟัง

ในตอนที่ดึงท่อช่วยหายใจออก เฉินชางเห็นประกายสะท้อนออกมาจากดวงตาที่ไร้แววของชายชรา

มันคือแสงสะท้อนจากดวงไฟของห้องกู้ชีพ

เฉินชางหมุนตัวไป ตอนที่บอกลาญาติคนไข้ เขาเห็นหญิงคนนั้นทรุดตัวลงกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตาสองสาย…

เฉินชางถอนใจออกมาก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากไป

ในโรงพยาบาล เขาเห็นการเกิดแก่เจ็บตายมามาก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย เฉินชางก็ทำใจให้ชินไม่ได้

เมื่อเดินออกไปจากประตู เขาพบว่าเสี่ยวหลินยืนร้องไห้อยู่ในมุมหนึ่งเหมือนกับเด็กๆ มีเสียงสะอึกสะอื้นแว่วมา น้ำตาไหลเป็นสาย

หากตอนนั้นเธอฟังคำเตือนให้มากสักหน่อย ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่จะดีขนาดไหนกัน!