หญิงชรากล่าวขึ้นภายใต้ดวงตาเรียบเฉย “การพบปะสังสรรค์ในวันธรรมดา จะดื่มสักสองสามแก้วคงมิใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแต่อย่าดื่มมากจนเกินไปกระทั่งมีกลิ่นสุราคละคลุ้งติดทั่วตัว ซึ่งจะทำให้ดูไม่ดีเราเป็นสตรียิ่งต้องระมัดระวังกว่าบรรดาบุรุษ ในเมื่อเจ้ารู้ผิดแล้ว ย่าก็ไม่ถือโทษเอาความอะไร วันหน้าวันหลงอย่าได้ทำผิดอีกแล้วกัน”
“หลานจำขึ้นใจแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม หญิงชราสั่งสอนได้อย่างถูกต้องทีเดียว บางคนด้วยความที่มีความสามารถในการดื่ม จนคนพากันเรียกขานว่าเทพีสุรา นักบทกวีที่ดื่มระหว่างแต่งกลอนนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดูสง่างาม หากผู้ดื่มเป็นนักรบผู้แข็งแกร่งนั่นเรียกว่าองอาจกล้าหาญ ส่วนสตรีจะดื่มน้อยดื่มมาก เกรงว่าจะเป็นได้แค่สตรีที่ถูกขนานนามว่าขี้เมาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อก่อนบรรดาศิษย์พี่จึงหยอกล้อนางอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นขี้เมากลับชาติมาเกิด ทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดังนั้นปกติแล้วนางจึงหลีกเลี่ยงการดื่มสุรามาโดยตลอด
แม่จู้ซึ่งอยู่ด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว “ฮูหยินรอง ฮูหยินใหญ่ ต้าเส้าเหยียและต้าเส้าหน่ายนายมาน้อมทักทายยามเช้าเจ้าค่ะ…”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ลุกขึ้นเถิด!”
หลินหลันจึงลุกขึ้นยืนแล้วเขยิบไปยืนด้านข้างของหญิงชรา
ทันทีที่ฮานชิวเยว่พ้นประตูเขามาแล้วพบว่าหลินหลันอยู่ก่อนแล้ว นัยน์ตาของนางก็สว่างไสวขึ้น ก่อนจะรีบสังเกตสีหน้าท่าทีของหญิงชราและเห็นว่าสีหน้าของหญิงชรายังคงเป็นไปดั่งเดิม หลินหลันนี่ช่างรู้จักประจบแจงเสียจริงถึงได้มาฉิ่งอานแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ นางนึกคิดในใจด้วยความหมั่นไส้
ทุกคนทยอยกันขึ้นไปเบื้องหน้าเพื่อคารวะ หลังจากไปนั่งประจำที่ฮานชิวเยว่ก็เอ่ยถามอย่างเอาอกเอาใจทันที “ท่านแม่ เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่เจ้าคะ หรือต้องการเพิ่มความหนาของเครื่องนอนอีกสักหน่อยไหมเจ้าคะ”
หญิงชราเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “แท่นสำหรับนั่งนอนนี้มันออกจะร้อนไปหน่อย ร้อนจนข้านอนไม่หลับ”
ฮูหยินใหญ่สกุลอวี๋กล่าวขึ้นมาบ้างเช่นกันภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเองก็ไม่คุ้นชินกับการนอนบนแท่นแบบนี้เลย พอตื่นมาตอนเช้าตรู่ในลำคอรู้สึกร้อนระอุไปหมด”
หมิงเจ๋อกล่าว “เป็นเพราะท่านย่าและท่านป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่คุ้นชินน่ะขอรับ ไว้นอนไปอีกสักระยะก็จะรู้สึกว่าบนแท่นนอนแบบนี้มันวิเศษมากเพียงใดขอรับ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ หากมิคุ้ยชินก็เปลี่ยนไปนอนบนเตียงนอนแล้วใช่แผ่นรองกำมะหยี่และปูทับด้วยผ้าไหมอีกชั้นก็อุ่นมากเช่นกันเจ้าค่ะ หลานเพิ่งทำขึ้นมาใหม่สองชุด โดยเดิมทีจะต้องมอบให้ท่านแม่ ถ้าอย่างไงเอามามอบให้ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ! ส่วนของท่านแม่นั้น ไว้ลูกค่อยทำขึ้นมาใหม่ ไม่กี่วันก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
นางอวี๋ยกมือขึ้นปิดปากขณะยิ้มเล็กยิ้มน้อยและกล่าวขึ้นด้วยความอิจฉา “น้องสะใภ้จ๊ะ! ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ที่มีหลานสะใภ้กตัญญูขนาดนี้”
ติงหลั้วเหยียนถูกเอ่ยชม ทว่าใบหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก ขณะที่หมิงเจ๋อดีอกดีใจเป็นอย่างมาก หัวเราะคิกคักยกใหญ่ราวกับรู้สึกภาคภูมิใจที่ภรรยาตนเองได้รับความเชยชมมากเสียยิ่งกว่าตนเองได้รับคำเชยชม
“พี่สะใภ้ใหญ่ก็หาได้น้อยหน้ากว่ากันไม่ ภรรยาของพี่ปั๋วและภรรยาของพี่ฉินนั่นสิถึงเรียกได้ว่ากตัญญูรู้คุณ ในทุกๆ วันตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างขยันขันแข็ง และเชื่อฟังเป็นอย่างดี” ฮานชิวเยว่กล่าวภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม
รอยยิ้มของนางอวี๋เผยให้เห็นความภูมิใจอยู่ไม่น้อย และไม่ลืมที่จะตบท้ายด้วยการเยินยอหญิงชรา “นี่คงเป็นไปมิได้หากมิใช่น้ำพักน้ำแรงของคำสั่งสอนเรื่องการปกครองบ้านจากเหล่าไท่ไทน่ะเจ้าค่ะ”
ขณะหลินหลันรับฟังสะใภ้คนบ้านเดียวกันทั้งสองท่านซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น จึงนึกถึงวันคืนของตนเองในตอนนี้คงยากลำบากขึ้นไม่น้อย หลินหลันได้แต่แอบทอดถอนหายใจอยู่เงียบๆ
“หากพูดถึงเรื่องปกครองบ้าน จะมีอะไรมากไปกว่าการเข้มงวดและความยุติธรรม หลินหลัน…”
หลินหลันที่กำลังเหม่อลอยถูกเรียกขึ้นมาอย่างกะทันหันจนเกือบจะเอ่ยคำว่า ‘อยู่นี่’ ตะโกนออกไป
ขณะนั้นเองนางจึงก้าวไปเบื้องหน้า
“นำกฎระเบียบประจำบ้านที่ข้าร่างขึ้นมาใหม่ให้แม่สามีเจ้าดูทีสิ ลองดูสิว่าเหมาะสมหรือไม่ มีอะไรจำเป็นต้องแก้ไขหรือเปล่า ทุกคนจะได้ปรึกษาหารือกัน”
คำพูดดังกล่าวนี้เป็นเพียงคำพูดไร้สาระ มีหรือที่ฮานชิวเยว่จะกล้าเอ่ยว่ากฎระเบียบที่แม่สามีร่างขึ้นมาไม่เหมาะสม ถึงในใจจะไม่พอใจแต่ปากก็ต้องพูดว่าพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่กล้าเปิดเผยสีหน้าอารมณ์ไม่ชอบใจออกมาด้วยแม้แต่น้อย
ชั่วครู่ต่อมา หญิงชรากล่าวขึ้น “เช่นนั้นหลังจากนี้ก็ยึดปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้แล้วกัน หลินหลัน รบกวนเจ้าหน่อย ช่วยคัดลอกขึ้นมาอีกสักสามสี่ฉบับ จะได้ให้แต่ละบ้านเอาไว้ดูกัน”
หลินหลันรับหน้าที่อย่างเต็มใจ นางอดไม่ได้ที่จะตั้งหน้าตั้งตารอคอย ในเมื่อกฎระเบียบนี้ไม่ได้มุ่งมาที่นางลำพัง แต่ยังรวมไปถึงแม่มดชรา คู่สามีภรรยาหมิงเจ๋อและหมิงจูอีกด้วย ฮ่าๆ สุดท้ายก็ลงเรือลำเดียวกันอยู่ดี
หลังจากฉิ่งอานเสร็จสิ้น หญิงชราให้ทุกคนกลับไปก่อนยกเว้นก็แต่นางฮาน หลินหลันจงใจเดินท้ายสุด เมื่อออกพ้นโถงจาวฮุยและเห็นแม่จู้จึงพูดคุยกับนาง “ทางภาคเหนืออากาศแห้ง ดังนั้นช่วงกลางคืนสามารถวางน้ำไว้ในห้องของท่านย่าสักสองกะละมัง พอช่วงเช้าชงชาเขียว ชาฮงฉา หรือชาดอกไม้ ให้ท่านย่าดื่ม จะช่วยดับอาการร้อนในแล้วยังสามารถเพิ่มความอยากอาหารได้อีกด้วย”
แม่จู้เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลินหลันยิ้มอ่อน “อาจเพราะความเคยชินของการเป็นหมอกระมัง!”
ภายในห้อง หญิงชราเอ่ยกับนางฮานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าอย่าได้เพราะต้องเอาอกเอาใจสามี จนเกรงกลัวว่าการเป็นแม่เลี้ยงจะยากลำบากจึงไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น เจ้าดูสิว่าบ้านเจ้าถูกเจ้าดูแลจนกลายเป็นสภาพเยี่ยงไรแล้ว สามีเอาแต่อยู่กับอนุภรรยาทุกค่ำคืนเจ้าก็หาสนใจไม่ ระหว่างหมิงอวินก็เกิดความเคลือบแคลงใจกันมากขนาดนั้น แล้วข้าจะพูดคำว่าเข้มงวดและยุติธรรมได้เต็มปากได้อย่างไร ในเมื่อเจ้ายังทำไม่ได้เลย โชคดีที่เจ้ายังได้เป็นนายหญิงของบ้านนี้ หากเจ้าสามารถวางตนได้อย่างเป็นกลาง มีจิตใจที่เคร่งครัดซื่อสัตย์และกระทำทุกสิ่งอย่างด้วยความยุติธรรมและเป็นกลาง แล้วยังจะมีผู้ใดว่ากล่าวเจ้าได้อีกหรือ”
นางฮานกล่าวด้วยอาการหวาดหวั่น “จริงอย่างที่ท่านแม่สั่งสอนเจ้าค่ะ เป็นลูกเองที่ไร้ความสามารถ…”
“มิใช่เจ้าไร้ความสามารถ แต่ความสามารถเจ้านำไปใช้ในทิศทางที่ผิดแล้วต่างหาก” หญิงชรากล่าวอย่างไม่เกรงใจ แม้ว่านางจะไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดที่จิ้งเสียนเอ่ยเมื่อคืนนี้ ทว่าก็คงมีมูลเหตุอยู่บ้าง มิเช่นนั้นจะกล่าวขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยได้อย่างไรกัน นางฮานคงต้องมีบางส่วนที่ทำไม่ถูกอย่างแน่นอน เช้าวันนี้นางเรียกข้ารับใช้หญิงชราผู้หนึ่งของจวนเข้ามาถามถึงกฎระเบียบของจวน และพบว่านางฮานต่อรองได้ง่ายดายมาก และปล่อยปะละเลย จะมีก็เพียงธรรมเนียมการฉิ่งอานนี่ที่ยังดำรงอยู่ ทว่านางฮานก็ตามใจพวกเขา จะมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แล้วจะยังหลงเหลือความสง่างามน่าเกรงขามของนายหญิงประจำบ้านได้อย่างไรกัน
นางฮานยิ่งทำทีโศกเศร้าจนน้ำตาแทบจะไหลริน “ลูกไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะว่าควรทำอย่างไรถึงจะดี หากลูกสามารถคอยอยู่ปรนนิบัติเคียงข้างท่านแม่ตลอดเวลา ก็ยังพอจะได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากท่านแม่ไม่น้อย ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เฉกเช่นทุกวันนี้…”
หญิงชรารู้สึกเจ็บปวดหัวใจเมื่อได้ยินดังกล่าว ก่อนจะทอดถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์หดหู่ “ช่างเถอะ ข้าก็เข้าใจส่วนที่ยากลำบากของเจ้า หลังจากนี้ข้าจะช่วยเจ้าดูแลเรื่องการปกครองบ้านนี้แล้วกัน ส่วนเจ้าเองก็ทำตนให้เสมือนนายหญิงใหญ่ของบ้านเสียด้วย”
นางฮานพยักหน้ารัวๆ ภายใต้ความรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก “ลูกคงต้องฝากความหวังไว้ที่ท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”
รอจนกระทั่งนางฮานออกไป แม่จู้ถึงนำน้ำผึ้งที่สะใภ้รองของบ้านมอบให้แก่นางไว้ส่งให้นายหญิงชรา อีกทั้งยังนำคำพูดของสะใภ้รองที่บอกกล่าวนางถ่ายถอดให้หญิงชราฟัง
เมื่อหญิงชราได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงชายตามองไปที่น้ำผึ้งขวดนั้น นางขมวดคิดแน่นและจมดิ่งลงเข้าสู่ห้วงแห่งการครุ่นคิดโดยเงียบไปพักใหญ่
จากการกระทำของหลินหลันในวันนี้ มันออกจะน่าทึ่งอยู่เล็กน้อย ทว่านั่นคือสิ่งที่นางเจตนาทำหรือไม่ยังคงไม่อาจทราบได้ จิตใจคนเราลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มิใช่แค่มองแวบเดี๋ยวก็จะสามารถมองออกได้ หรือมองได้ทะลุปรุโปร่ง ในเมื่ออนาคตยังอีกยาวไกล ไว้วันหลังคอยสังเกตดูอีกแล้วกัน!
ทันทีที่หลินหลับกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายก็ก้มหน้าก้มตาคัดลอกกฎระเบียบประจำบ้านโดยมีหยินหลิ่วคอยช่วยฝนหมึกอยู่ด้านข้าง เมื่อนางมองเห็นกฎระเบียบประจำบ้านปึกหนา จึงกล่าวขึ้นด้วยความหวาดหวั่น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เหล่าไท่ไท่เอาจริงหรือเจ้าคะ”
หลินหลันตวัดสายตามองนาง “เจ้าคิดว่าเหล่าไท่ไทล้อเล่นหรือไร หลังจากนี้อย่าว่าแต่นายหญิงของพวกเจ้าอย่างข้าที่จะต้องเคารพกฎระเบียบเหล่านี้เลย พวกเจ้าเองก็ต้องเคารพกฎระเบียบนี่ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาหาข้อจับผิดเอาได้ ข้าช่วยพวกเจ้าไม่ได้หรอกนะจะบอกให้”
หยินหลิ่วกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ท่านหญิงชราผู้นี่ก็ใจร้อนเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เพิ่งมาถึงเมื่อวานแท้ๆ พอวันนี้ก็ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาเสียแล้ว”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนใจ “กฎระเบียบจะเข้มงวดหรือไม่เข้มงวดถือเป็นเรื่องรอง ประเด็นสำคัญคือเหล่าไท่ไทจะสามารถวางตนเป็นกลางได้หรือไม่ หากสามารถวางตนอย่างเป็นกลางได้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลไป จะอย่างไรก็ตาม พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตื่นตัวเอาไว้หน่อย เหล่าไท่ไทเพิ่งมาถึง ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในเวลานี้ผู้ใดไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งเข้าปลายกระบอกปืนก็คือการหาที่ตาย”
หยินหลิ่วตระหนกตกใจจนตัวสั่นเทิ้มพร้อมกับพยักหน้าระรัว
หลินหลันใช้เวลาไปกว่าชั่วโมงถึงได้คัดลอกระเบียบประจำบ้านเสร็จสิ้นทั้งสี่ฉบับ หนึ่งฉบับสำหรับแม่มดชรา หนึ่งฉบับให้อนุภรรยาหลิว หนึ่งฉบับให้คู่สามีภรรยาหมิงเจ๋อ และอีกหนึ่งฉบับสำหรับหมิงจู โดยทุกตัวอักษรเขียนได้อย่างตัวบรรจงเป็นระเบียบ ซึ่งเสมือนกฎระเบียบของหญิงชราที่เป็นระบบระเบียบ ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว
หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลินหลันจึงเรียกแม่โจวให้เข้าพบเพื่อให้นางสั่งการลงไปว่า ให้คนของหลั้วเซี๋ยจายระมัดระวังเอาไว้ให้มากๆ อย่าได้กลายเป็นผู้เด่นดังซึ่งกลับกลายเป็นความโชคร้ายในช่วงเวลาเช่นนี้
วันนี้หลี่หมิงอวินกลับมาแต่หัววันเป็นพิเศษ โดยเพิ่งจะบ่ายสามโมงเขาก็กลับมาถึงแล้ว
ป๋ายฮุ่ยรีบส่งผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ ให้ เพื่อให้นายน้อยเช็ดหน้าเช็ดมือ ก่อนจะเติมไฟในเตาผิงไฟให้แก่เขาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
หมิงอวินยกมือขึ้นโบกปัดๆ “ไม่เป็นไร” แต่กลับรับชาร้อนๆ ที่หลินหลันยื่นส่งมาให้ประคองไว้ในมือเพื่อซึมซับความอุ่น
ขณะที่หลินหลันกำลังคิดจะเอ่ยถามว่าเหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาไวขนาดนี้
หลี่หมิงอวินกลับชิ่งถามขึ้นมาเสียก่อน “วันนี้ท่านย่าให้เจ้าอยู่ต่อ นางพูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือ” วันนี้ตลอดทั้งวันเขาจิตใจไม่เป็นอันสงบสุข ทำอะไรก็ผวาภวังค์ไปหมด ดังนั้นจึงขอตัวกลับมาแต่หัววัน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ให้ข้าช่วยเขียนกฎระเบียบประจำบ้านให้ฉบับหนึ่ง โดยข้าเขียนตามที่นางพูด” หลินหลันหยิบกฎระเบียบที่ว่าส่งให้หมิงอวินดู
หมิงอวินมองดูพลางกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “เมื่อก่อนก็พอได้ยินมาบ้างว่าท่านย่าเข้มงวดเรื่องการปกครองบ้านอย่างมาก ตอนนี้ได้เห็นกับตาเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว”
“งั้นท่านย่าทำเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรมไหม” นี่คือเป็นเด็นสำคัญที่สุดสำหรับหลินหลัน
หลี่หมิงอวินมีสีหน้าเคร่งเครียดด้วยรู้สึกยากที่จะอธิบาย “ประเด็นนี้ข้าเองก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตามในเมื่อตั้งกฎระเบียบในบ้านขึ้นมาแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามๆ กันไป หากวางตนไม่เป็นกลาง มิเท่ากับเป็นการตบปากตนเองหรอกหรือ”
หลินหลันกล่าวด้วยความคันปาก “ข้าก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่หลังจากนี้ต้องไปฉิ่งอานท่านย่าทุกวัน แล้วยังต้องไปฉิ่งอานและไปเอาอกเอาใจนางแม่มดชราอีก ข้าไม่ชอบเลย”
หลี่หมิงอวินเหลือบไปเห็นกองกระดาษหนาบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเขียนเยอะขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินหลันพยักหน้า “ท่านย่าให้ข้าเขียนสำหรับแต่ละเรือน เรือนละหนึ่งฉบับ”
หลี่หมิงอวินวางกระดาษในมือ แล้วคว้ามือของหลินหลันมากอบกุมเอาไว้ก่อนจะช่วยนางนวดอย่างเบามือ “เด็กน้อย เหตุใดถึงไม่รอข้ากลับมาค่อยเขียน”
หลินหลันบ่นอุบอิบ “นี่เป็นเรื่องที่ท่านย่าสั่งให้ข้าทำ แล้วจะให้เจ้ามาเขียนแทนได้อย่างไรกัน หากท่านย่ารู้เข้า จะมาว่าข้าเอาได้ว่าขี้เกียจสันหลังยาวน่ะ! เจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ข้าตกใจแทบแย่”
หลี่หมิงอวินหน้าเสียไปเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลและกอบกุมมือหลินหลันแน่นขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ท่านย่าน่ะสิ ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ดีๆ ก็เอ่ยถามข้าขึ้นมากะทันหันว่า ‘เมื่อคืนดื่มมาไม่น้อยเลยสินะ’ เล่นซะข้าตกใจจนเสียหลัก ก็เลยลงไปคุกเข่าสารภาพผิดแก่นาง” หลินหลันกล่าว
หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ข้าเลยยอมรับผิดแล้วนางยังจะยังไงได้อีกนอกเสียจากตักเตือนข้าสองสามประโยคแล้วก็ช่างมันไป นี่! ท่านย่าสายตาหลักแหลม รู้จักสังเกตอย่างละเอียด เห็นทีว่าหลังจากนี้ตอนอยู่ต่อหน้านางข้าต้องทำตัวเป็นเด็กดีไว้หน่อยถึงจะเป็นการดี” หลินหลันด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวใจ
หลี่หมิงอวินแอบรู้สึกโล่งอก “ข้ารู้เพียงแค่ท่านพ่อกับท่านลุงต่างก็ยำเกรงท่านย่า”
หลินหลันเอ่ยอย่างคับข้องใจ “ข้ากำลังคิดว่ามันน่าแปลกประหลาด เรื่องในบ้านท่านย่าเข้มงวดเสียขนาดนี้ แล้วเหตุใดตอนแรกถึงได้…”
ประกายนัยน์ตาของหลี่หมิงอวินวูบดับลงชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับเหนื่อยใจ “อาจเพื่อตระกูลหลี่กระมัง!”
หลินหลันตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน ดูทีท่าที่ผู้เป็นย่าปฏิบัติต่อแม่มดชราตลอดจนหมิงเจ๋อก็รู้ได้ทันทีว่าที่ท่านย่ามองพวกเขาทั้งสองเป็นญาติมิตรเสมอมา อาจเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจกระมัง! เช่นนั้นกับท่านแม่ของหมิงอวินล่ะ เหตุใดถึงเย็นชาใส่กันขนาดนั้น ครอบครัวหลี่ของนางได้ดีก็มิใช่เพราะพึ่งพาตระกูลเยี่ยหรอกหรือ นี่สิควรจะรู้สึกละอายใจ! ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจของท่านย่าคิดอย่างไร นางมักจะพูดเรื่องความยุติธรรม ทว่าตราชั่งในใจของนางกลับไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด