ตอนที่ 115 เหตุใดเจ้าถึงนิสัยเสียขนาดนี้

ปฏิญญาค่าแค้น

เมื่อถึงช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม สมาชิกตระกูลหลี่จึงพร้อมเพรียงกันมายังโถงจาวฮุย และแน่นอนว่าหลิวอี๋เหนียงซึ่งเป็นเพียงอนุภรรยาคือคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์มาเข้าร่วมด้วย 

 

 

ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายพร้อมกับบุตรชายสองคนรวมกับบุตรสาวที่ปิดบังสถานะตัวตน ทั้งครอบครัวมีกันเจ็ดคน บวกกับนางอวี๋พี่สะใภ้ใหญ่ ตลอดจนอวี๋เหลียนที่พี่สะใภ้ใหญ่พามาด้วย แล้วยังมีข้ารับใช้หญิงชราที่คอยให้การปรนนิบัติ ส่งผลให้โถงจาวฮุยแออัดกันเลยทีเดียว ทุกคนต่างพูดคุยเยินยอไปเรื่อยเปื่อยเพื่อเอาใจหญิงชราให้มีความสุขจนเสียงหัวเราะดังระงม กลายเป็นภาพบรรยากาศอันแสนกลมเกลียวของคนสามรุ่นที่มาร่วมตัวกัน 

 

 

ประเด็นการพูดคุยหนีไม่พ้นไปจากเรื่องของคนที่บ้านเกิดทางนั้น และคำพูดส่วนมากก็ถ่ายถอดออกมาโดยนางอวี๋ 

 

 

เริ่มจากฉู่โจวข้าหลวงผู้ดูแลระดับมณฑลตั้งใจจะซ่อมแซมป้ายอาคารจอหงวนให้แก่หมิงอวิน จนมาถึงอาสามเตรียมถอยจากหน้าที่หัวหน้าครอบครัวแล้วให้พี่ชายคนโตเป็นผู้สืบทอด จากบุตรชายของถงจืออยากแต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลหลี่ ไปจนถึงภรรยาของพี่ฉินคลอดลูกฝาแฝดเมื่อปีที่แล้ว จนมาถึงก่อนออกเดินทางก็กำลังตั้งครรภ์ลูกอีกคน… 

 

 

ส่งผลให้นางฮานถึงกับต้องกล่าวด้วยความอิจฉา “ครอบครัวพี่เขยนับว่าจะมีลูกหลานมากมายทีเดียวเชียว!” 

 

 

นางอวี๋เผยรอยยิ้มภาคภูมิใจอย่างมีความสุข ทว่าปากกลับกล่าวอย่างถ่อมตอน “ลูกหลานเยอะก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ ต่อให้มีเป็นร้อยคนก็มิสู้หลานชายทั้งสองนี้หรอกจ้ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินยังคงเผยรอยยิ้มจางๆ ดั่งเดิมภายใต้ท่าทีสุขุม ขณะที่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย 

 

 

นางฮานยิ้มเจื่อนและแอบกรนด่าอยู่ในใจ เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าหมิงเจ๋อของข้าสอบไม่ผ่าน ยังมีหน้ามากล่าวชมหมิงอวินตรงนี้ นี่มิเท่ากับเป็นการจงใจฉีกหน้าข้าหรอกหรือ 

 

 

นางอวี๋ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนเองพูดจาไม่เหมาะสมออกไปจึงรีบกล่าวเสริม ทว่าการที่มีหมิงอวินผู้หล่อเหลาอยู่ด้วย หมิงเจ๋อจึงไม่มีอะไรชวนให้อยากเอ่ยปากชื่นชมเลยจริงๆ นางอวี๋ระดมความคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็นึกถึงข้อดีของหมิงเจ๋อขึ้นมาได้ “ลูกสะใภ้ทั้งสองของข้าก็มีความสามารถแค่ผลิตลูกเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังมองไม่เห็นเลยว่ามีดีอะไร เทียบกับภรรยาของหลานชายคนโตมิได้ เป็นทั้งแม่บ้านแม่เรือน มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังนิสัยใจคอเรียบร้อยอ่อนโยน…” นางอวี๋ประดิษฐ์คำเยินยอกล่าวเชยชม 

 

 

ใบหน้าของติงหลั้วเหยียนกลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เวลานี้เองนางฮานถึงได้รู้สึกมีหน้ามีตากลับคืนมาบ้าง หมิงเจ๋อที่เดิมไม่รู้จะพูดอะไรก็สรรหาคำพูดขึ้นมาบ้าง “งั้นน้องสามล่ะขอรับ แต่งงานกับเขาแล้วหรือยัง” 

 

 

นางอวี๋แสดงอาการอับอาย “ยังเลยจ้ะ!” 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ มิใช่ว่าสามปีก่อนตกลงงานแต่งไว้แล้วหรือขอรับ” หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความประหลาดใจ 

 

 

นางอวี๋หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสร้อย “แม่หญิงบ้านนั้นดันแอบหนีตามผู้คุมรถม้าไปเสียแล้ว…” 

 

 

ทุกคนพากันตกตะลึง และมองไปยังนางอวี๋ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป 

 

 

หลี่จิ้งเสียนมองไปยังมารดาที่กำลังเผยสีหน้าไม่พึงพอใจ จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งใส่หมิงเจ๋อเป็นสัญลักษณ์แทนคำพูดที่ว่า ใครใช้ให้เจ้าปากมาก 

 

 

หมิงเจ๋อถึงกับเหงื่อตกเต็มหน้าผาก เขารีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “เป็นเพราะแม่หญิงนั่นมีตาหามีแววไม่ น้องสามเป็นผู้มีความสามารถแท้ๆ เรียนก็ดีเยี่ยม ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ น้องสามมักจะได้รับคำชมอยู่บ่อยครั้ง…” 

 

 

หลี่หมิงอวินเลิกคิดขึ้น ขณะเดียวกันนัยน์ตาของเขากำลังฉายแววเฉียบคมออกมาอย่างเห็นได้ชัด “พี่ใหญ่ตอนเด็กๆ เคยร่วมชั้นเรียนกับน้องสามด้วยหรือ” 

 

 

ทันทีที่ประโยคคำถามนี้หลุดออกไป ทั่วทั้งโถงจาวฮุยก็หยุดชะงักลงราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมา ฝาถ้วยน้ำชาในมือหลี่จิ้งเสียนเกือบจะร่วงหล่นซึ่งนางฮานก็แทบไม่ต่างกัน ทางด้านหญิงชราถึงกับมือไม้ชาไปชั่วขณะ และนางอวี๋กำลังอ้าปากค้าง จากบรรยากาศในโถงจาวฮุยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะกลับเงียบสงัดขึ้นทันใด 

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปยังหมิงเจ๋อด้วยสีหน้าอาการสงบนิ่ง รอให้เขาเอ่ยพูด 

 

 

ติงหลั้วเหยียนและอวี๋เหลียนมองไปที่ทุกคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ 

 

 

หลินหลันแอบนึกหัวเราะเยาะ เที่ยวเดินไปตามท้องถนนยามค่ำคืนอยู่บ่อยๆ สักวันก็คงได้เห็นผี พูดจาโกหกหลอกลวงมากๆ เข้าก็อดไม่ได้ที่จะเผลอปากออกมา มาดูกันสิว่าครั้งนี้เจ้าจะอธิบายอย่างไร 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อก้มหน้าไม่กล้าสบตากับหมิงอวิน เขาไม่รู้ว่าควรแก้ต่างอย่างไรกับเรื่องใหญ่ที่เพิ่งหลุดปากมาเมื่อครู่ ได้แต่แบกรับความรู้สึกวิตกกังวลจนเหงื่อไหลพราก 

 

 

ด้วยความอาวุโสซึ่งมากด้วยประการณ์รับมือ หลี่จิ้งเสียนจึงเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขาตวัดสายตาคู่ดุดันมองไปที่หมิงเจ๋อพลางสบถฮึแล้วกล่าวขึ้น “เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว พูดจาอะไรก็ยังไม่พูดให้ชัดเจน ได้ยินเขาพูดมาก็ควรจะพูดว่าได้ยินเขาพูดกันมา มิใช่เอ่ยว่าเป็นสิ่งที่เจ้าจำได้เมื่อครั้งเยาว์วัย ดูสมองคนอย่างเจ้าเข้าสิ จะสอบเป็นสิบครั้งก็คงสอบไม่ผ่านไปได้” 

 

 

แม้ว่าการปกปิดเรื่องที่เล็ดลอดออกมาจะเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าฮานชิวเยว่รู้สึกว่าผู้เป็นสามีของตนตำหนิอย่างรุนแรงเกินไป นางจึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่กล่าวออกมาจึงฟังดูอึดอัดจนน่าประหลาด “น้องรองของเจ้าเป็นถึงจอหงวน ความรู้ความสามารถนั้นสูงยิ่งกว่าภูเขา ลึกล้ำยิ่งกว่าท้องทะเล คราวหน้าคราวหลังต่อหน้าน้องรองของเจ้าต้องรู้จักระมัดระวังคำพูดเอาไว้ให้มากๆ ” 

 

 

เดิมทีอยากช่วยให้บรรยากาศเป็นไปอย่างผ่อนคลาย แต่กลับเปิดเผยความลับสำคัญ จนถูกตำหนิเสียยับเยิน หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจไม่เอ่ยปากพูดใดๆ ขึ้นอีก 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย คล้ายอมยิ้มเบาๆ เขาใช้สองมือประคองถ้วยน้ำชาแล้วค่อยๆ ใช้มือหนึ่งข้างเปิดฝาถ้วยน้ำชาออกภายใต้อากัปกิริยาสบายๆ ราวกับรู้ดีอยู่เต็มอก แต่อีกมุมหนึ่งก็ราวกับเขาไม่แยแสเลยสักนิด 

 

 

ในใจของหมิงจูกำลังปะทุความคับข้องใจ ท่านพ่อท่านแม่ต้องเกรงกลัวพี่รองขนาดนี้เชียวหรือ ต่อให้พี่รองรู้แล้วจะเป็นไรไป คิดหรือว่าพี่รองจะป่าวประกาศออกไป หากท่านพ่อขายหน้า เขาเองจะได้ประโยชน์อันใด 

 

 

ต่อหน้ากลุ่มคนชั้นสูงเหล่านี้อวี๋เหลียนซึ่งเผยท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นการง่ายมากสำหรับผู้ที่มีนิสัยอ่อนแอจะเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอด้วยกัน ดังนั้นนางจึงมองไปยังบุตรชายคนโตของบ้านที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาลูกเดียวหลังจากพูดตำหนิสั่งสอนด้วยความรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก 

 

 

หญิงชราแอบถอนหายใจ ช่างเป็นเวรกรรมจริงๆ ! ชั่วครู่ต่อมานางเอ่ยปากถามแม่จู้ซึ่งอยู่ด้านข้าง “อาหารมื้อค่ำทำเสร็จแล้วหรือยัง” 

 

 

แม่จู้กล่าวทันควันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ รอเพียงเหล่าไท่ไทสั่งการเท่านั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

หญิงชราจับมือของแม่จู้เพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน “นี่ก็มืดค่ำมากแล้ว รับประทานอาหารกันเถอะ!” 

 

 

มื้อค่ำถูกจัดเรียงไว้ในห้องรับรองที่เชื่อมติดกัน หญิงชราเข้าไปนั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะ โดยมีหลี่จิ้งเสียนนั่งลงในตำแหน่งด้านข้างรองลงมา 

 

 

“ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสคอยปรนนิบัติท่านแม่เสียที วันนี้ให้ลูกคอยปรนนิบัติท่านแม่ระหว่างรับประทานอาหารนะเจ้าคะ!” นางฮานเลือกที่จะยืนอยู่ด้านข้างของหญิงชรา 

 

 

เมื่อนางฮานไม่นั่งลง หลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อจึงทำได้เพียงยืนอยู่เช่นกัน 

 

 

หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้านั่งลงเถอะ อย่าทำให้เด็กๆ เขากินข้าวปลากันอย่างอึดอัดเลย” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างอ่อนหวาน “เรื่องปรนนิบัติท่านย่า ยังมีหลานสะใภ้อยู่ทั้งคนเจ้าค่ะ! ท่านแม่นั่งลงเถอะนะเจ้าคะ!” 

 

 

ขณะนี้เองนางฮานถึงยอมนั่งลงด้านข้างของผู้เป็นสามี ทางด้านหลินหลันในเวลานี้รู้สึกอัดอัดอย่างมาก หญิงชรากำหนดกฎระเบียบว่าหลังจากนี้ทุกคนจะต้องร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เช่นนั้นนางมิต้องค่อยยืนให้การปรนนิบัติอยู่ตลอดและรอจนกระทั่งพวกเขากินอาหารกันเรียบร้อยแล้วถึงได้กินเศษอาหารเย็นชืดที่เหลืองั้นหรือ แม้ว่ามีติงหลั้วเหยียนคอยสมบทด้วย แต่นางก็มิได้เต็มใจเช่นกัน จะว่าไปกฎระเบียบที่ว่านี้ช่างไร้มนุษยธรรมสิ้นดี เป็นสะใภ้ก็ต้องอยู่ต่ำระดับหนึ่งหรือ เหตุใดถึงไม่เรียกลูกชายและหลานชายคอยให้การปรนนิบัติกันเล่า และจะว่าไปแล้ว จะเลี้ยงดูข้ารับใช้ไว้ทำไม แค่เรียกให้มาทำหน้าที่ตรงนี้ก็สิ้นเรื่องไปมิใช่หรือ 

 

 

ถึงจะไม่พึงพอใจเพียงใดทว่าบนใบหน้าจำเป็นต้องแสดงออกอย่างเต็มใจ เพราะติงหลั้วเหยียนเอ่ยออกมาก่อนแล้วว่านางจะช่วยปรนนิบัติหญิงชรา หลินหลันจึงเดินไปยืนด้านข้างแม่มดชราอย่างรู้งาน นางใช้มือหนึ่งม้วนแขนเสื้อเสื้อ หยิบตะเกียบเงินขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่งแล้วคีบกับข้าวให้แม่มดชรา 

 

 

สะใภ้สาวทั้งสองต่างก็กำลังยืนอยู่ อวี๋เหลียนรู้ตัวดีว่าไม่มีที่นั่งของตน จึงเดินไปยืนอยู่ด้านข้างผู้เป็นป้าเพื่อคอยให้การปรนนิบัติ 

 

 

หญิงชราแอบชายตามองไปยังหลานสะใภ้ทั้งสอง ติงหลั้วเหยียนมาจากต้นตระกูลขุนนาง ทั้งกิริยามารยาทจึงไร้ที่ติเป็นธรรมดา ที่ทำให้หญิงชราถึงรู้สึกทึ้งนั่นก็คือหลินหลัน นางไม่ได้มองมาที่ติงหลั้วเหยียนเลยแม้แต่น้อย ทว่าการคีบอาหารนั่น ทุกท่าทางการเคลื่อนไหวล้วนเป็นไปอย่างถูกต้อง ดูเป็นธรรมชาติแต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม ซึ่งมองออกว่าเคยได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี 

 

 

ระหว่างมองดูหลินหลันคีบอาหารให้แม่มดชราอย่างว่านอนสอนง่าย ในใจของหลี่หมิงอวินกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผสมปนเปไปหมด เขาไม่รับรู้รสชาติของอาหารด้วยซ้ำ รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ นอกจากนั้นยังรู้สึกโมโหและรู้สึกผิดหวัง เหตุใดถึงทำให้หลินหลันต้องแบกรับความไม่ยุติธรรมเช่นนี้ไปได้ 

 

 

หมิงจูแอบซะใจอยู่ลึกๆ หลังจากนี้เจ้าคงต้องเป็นสาวใช้ที่ว่านอนสอนง่ายโดยคอยให้การปรนนิบัติท่านแม่ไปอย่างซื่อๆ บื่อๆ แล้วสินะ! มื้อนี้หมิงจูจึงกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ 

 

 

เป็นเพราะตอนแรกที่ตั้งกฎระเบียบขึ้นมา หญิงชราไม่ได้นึกถึงปัญหาหรือความวุ่นวายที่อาจตามมา จึงทำให้หลานสะใภ้ทั้งสองต้องคอยปรนนิบัติจนกระทั่งประทานอาหารเสร็จสิ้น นางจึงสั่งการให้แม่จู้นำอาหารร้อนๆ มาเพิ่มอีกสองชุดและคอยปรนนิบัตินายหญิงสะใภ้ทั้งสองท่านระหว่างรับประทานอาหาร 

 

 

คนอื่นๆ กลับไปนั่งดื่มชาพูดคุยกันอีกครั้ง หลินหลันและติงหลั้วเหยียนนั่งรับประทานอาหารโดยหันหน้าเข้าหากัน 

 

 

เศษซากอาหารที่หลงเหลือบนโต๊ะเบื้องหน้า ส่งผลให้หลินหลันกินไม่ลง และเมื่อมองดูติงหลั้วเหยียนจึงเห็นได้ว่าสีหน้าของนางก็ไม่ต่างจากตนเองเท่าไหร่นัก นางคีบเม็ดข้าวอยู่อย่างนั้นด้วยอาการกินไม่ลง 

 

 

หลินหลันอยากถามไถ่ติงหลั้วเหยียนเป็นอย่างมากว่า…ที่ตระกูลของเจ้ามีกฎระเบียบประเภทนี้หรือไม่ ทว่าด้วยแม่จู้ที่ยืนคอยให้การปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ปัญหาประเด็นนี้จึงได้แต่กลืนมันกลับลงไปดั่งเดิม 

 

 

การฉิ่งอานครั้งนี้กินเวลานานจนกระทั่งครบเวลา หลินหลันกลับไปถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย นางนอนคว่ำลงบนเตียงทันทีที่เข้าห้องไป แล้วคว้าเอาหมอนหนุนศีรษะมาทาบทับศีรษะไว้ ขณะที่ภายในใจอยากจะกรีดร้องออกมา…ด้วยความอึดอัดใจแทบแย่! 

 

 

หลี่หมิงอวินสั่งการหรูอี้ด้วยน้ำเสียงบางเบา “ให้กุ้ยซ่าวช่วยทำของชอบของเอ้อร์เส้าหน่ายนายมาทีสิ” 

 

 

หรูอี้เข้าใจได้ทันทีแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

หยินหลิ่วและคนอื่นๆ ต้องการเข้ามาปรนนิบัติแต่ก็ถูกหลี่หมิงอวินส่งออกไปจนหมด 

 

 

หลี่หมิงอวินเดินไปข้างเตียงนอนแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียง ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปดึงหมอนออกจากศีรษะของหลินหลัน “นี่เจ้าต้องการทำให้ตนเองขาดอากาศหายใจตายหรือ” 

 

 

หลินหลันพลิกตัวหงายกลับมาแล้วทำแก้มป่อง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

ดวงตาของหลี่หมิงอวินแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง “ทำให้เจ้ารู้สึกแย่อีกแล้ว” 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างกลัดกลุ่ม “เอาไงดีเอาไงดี กฎระเบียบนอกคอกนี่ข้ารับไม่ไหวแล้ว ต้องมองดูแม่มดชรากินอย่างสุขใจเช่นนั้น ข้าล่ะอยากจะหยิบกับข้าวขึ้นมาราดลงบนหัวนางให้มันรู้แล้วรู้รอด 

 

 

เรื่องอะไรข้าต้องคอยปรนนิบัติรับใช้แม่มดชราด้วย! สะใภ้ใหญ่เป็นลูกสะใภ้แท้ๆ ของนาง เหตุใดถึงไม่ให้นางคอยปรนนิบัติล่ะ! น่าโมโหชะมัด ข้าอัดอัดจะแย่งอยู่แล้ว” หลินหลันบ่นอุบด้วยความหงุดหงิด หลังจากนั้นนางก็คว้าหมอนกลับคืนมาทาบทับศีรษะของตนลงไปอีกครั้ง แล้วยังไม่วายส่งเสียงอู้อี้ตามมา “ข้าขอสาปแช่งให้แม่มดชรากินอาหารที่ข้าคีบให้แล้วอาหารไม่ย่อย ท้องไส้ปั่นป่วน ขอให้นางท้องเสียตายไปเลย…” 

 

 

หลี่หมิงอวินเห็นนางมีท่าทีโมโหและกลัดกลุ้มในเวลาเดียวกัน ในใจของเขาก็ไม่อาจทนได้เช่นกัน ถึงขั้นคิดว่าจะละทิ้งทุกอย่าง ไม่ต้องการแก้แค้นอีกแล้ว อยากจะพานางหนีออกไปให้ไกลเสียตอนนี้เลย 

 

 

ขณะที่เขากำลังคิดไม่ตกว่าควรปลอบใจนางอย่างไรดี ทันใดนั้นก็เห็นหลินหลันพลิกหมอนออกแล้วลุกพรวดขึ้นมานั่ง นัยน์ตาคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับโดยแฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์ “ข้ามีวิธีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมผงสลอดไปสักหน่อย พอตอนคีบอาหารให้แม่มดชราก็ค่อยแอบโรยลงไป ฮ่าๆๆๆๆ …” นางกล่าวและตามด้วยเสียงหัวเราะ 

 

 

หลินหลันหัวเราะอย่างพึงพอใจ 

 

 

หลี่หมิงอวินกลับมองนางด้วยความกังวลใจอย่างมาก อย่าได้โกรธจนบ้าไปแล้วเชียวนะ 

 

 

หลินหลันหัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนจะสังเกตเห็นว่าหลี่หมิงอวินมองมาที่นางด้วยนัยน์ตาแห่งความกังวลเป็นพิเศษ จึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าก็แค่พูดไปงั้นแหละ ไม่ทำจริงหรอกน่า ข้าคิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไปช่วงชิงยืนข้างท่านย่าเข้าไว้” 

 

 

หลี่หมิงอวินมองนางภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม “อันที่จริงก็มีวิธีทีหนึ่ง” 

 

 

หลินหลันรีบแสดงทีท่ากระตือรือร้นที่จะรับฟัง 

 

 

“เจ้าก็แค่เลือกคีบอาหารที่แม่มดชรานางไม่ชอบ เช่นพวกเนื้อติดมัน พริกสดอะไรพวกนี้ แม่มดชราเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านย่า แน่นอนว่าจะไม่พูดว่านางไม่ชอบกินอาหารพวกนี้ออกมา ในเมื่อนางทำให้เจ้ากินข้าวไม่ลง เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้นางกินไม่ลงเช่นกันเสียเลยสิ เจ้ากินไม่ลงยังสามารถกลับมากินที่บ้านเราได้ ทว่านางถึงจะกินไม่ลงก็ต้องจำใจกินลงไป” หลี่หมิงอวินกล่าว 

 

 

ดวงตากลมโตของหลินหลันจ้องไปยังบุรุษรูปหล่อเหลาผู้นี้อยู่เนิ่นนาน 

 

 

หลี่หมิงอวินรู้สึกไม่เป็นตัวเองเมื่อถูกนางจับจ้องอยู่เช่นนี้ “บนใบหน้าข้าไม่มีดอกไม้ติดอยู่สักหน่อย เหตุใดเจ้าต้องจ้องมองขนาดนั้น” 

 

 

หลินหลันรำพึงรำพันในใจ เข้าดูงดงามกว่าดอกไม้ตั้งเยอะเหอะ 

 

 

นางส่ายหน้าพลางแสดงทีท่าราวกับเหนื่อยใจต่อตนเอง “หลี่หมิงอวิน ข้าคิดว่าตัวข้าเองก็นิสัยเสียมากพอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงนิสัยเสียยิ่งกว่าข้าเสียอีก จะมองดูยังไงเจ้าไม่ก็ดูไม่เหมือนคนนิสัยเสียเลยสักนิด…” 

 

 

หลี่หมิงอวินยกสองนิ้วขึ้นแล้วเคาะลงไปที่กลางหน้าผากของนางเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเองดูเหมือนคนนิสัยเสียหรือไร” 

 

 

หลินหลันกุบหน้าผากของตนเองและกล่าวอย่างขุนเคือง “เจ้าเขกหัวข้าอีกแล้ว…” อย่าคิดว่าจะหนีไปได้ แค้นนี้ต้องชำระ 

 

 

หลี่หมิงอวินจับมือของนางเอาไว้ เขาเอนกายลงบนที่นอนขณะหลบหลีก และด้วยความที่หลินหลันออกแรงมากเกินไปจึงทาบทับลงไปบนเรือนรางของเขาอย่างเต็มแรง