ตอนที่ 67 พบกับคนแปลกหน้าระหว่างทาง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 67 พบกับคนแปลกหน้าระหว่างทาง

จากนั้นอันหลิงอีโน้มตัวเข้าไปใกล้อันหลิงเหมิง และกระซิบกระซาบครู่หนึ่ง พลันใบหน้าของคนฟังก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน  เผยให้เห็นใบหน้าที่ลำบากใจอย่างมากออกมา

“ทำเรื่องเยี่ยงนี้มิค่อยดีหรอกกระมังเจ้าคะ ? “

“มีอันใดจักมิดี ก็แค่ออกแรงทำงานให้ข้านิดเดียวเท่านั้น  ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้เจ้าก็มิกล้าทำ เยี่ยงนั้นก็ช่างเถอะ”

อันหลิงอีทำเสียงฮึดฮัดมิพอใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังมิสบอารมณ์

แต่เพื่อประจบสอพลอเอาใจอันหลิงอีแล้ว ต้องไปทำร้ายคุณหนูใหญ่บุตรสาวภริยาเอก มันจะคุ้มหรือไม่ ?

อันหลิงเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าลงในที่สุด

“ตกลงเจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องนี้พี่หญิงสามขอร้องมา ข้าจะต้องทำมันออกมาอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”

นางสัญญากับอันหลิงอี เมื่ออันหลิงอีได้ยินก็ฉีกยิ้มออกมาและถอดกำไลทองจากข้อมือ

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายของอาสะใภ้รองมิค่อยดี ของสิ่งนี้ข้าขอมอบให้เจ้า”

ดวงตาของอันหลิงเหมิงเอาแต่จับจ้องไปที่กำไลข้อมือมิวางตาด้วยความรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง นางแสร้งทำเป็นปฏิเสธไปสองสามคำ ท้ายที่สุดก็ยอมรับกำไลข้อมือ จากการโน้มน้าวใจของอันหลิงอี

จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

แม้ว่างานเลี้ยงที่จวนโหวจะเชิญเพียงเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูของขุนนางระดับสูงมาเท่านั้น แต่งานก็ดูยิ่งใหญ่มาก

วันงานอันหลิงเหมิงมาถึงเรือนฉีอู๋ตั้งแต่เช้า ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“แขกเหรื่อมากันเกือบหมดแล้วเจ้าค่ะ อี๋เหนียงใช้ให้ข้ามาตามทุกคนให้ออกไปกันได้แล้วเจ้าค่ะ”

อันหลิงเหมิงนั้นเป็นคนที่มิได้มีเสน่ห์และไร้เดียงสาเหมือนอันหลิงอีและอันหลิงเฉ่ว ใบหน้าดูค่อนข้างจืดชืดอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามองดูใกล้ ๆ แล้วรูปลักษณ์หน้าตาก็มีเสน่ห์อยู่มาก ยิ่งตอนนี้ยิ้มอย่างสดใส มันทำให้คนมองรู้สึกดี

ปี้จูเพิ่งจะแต่งหน้าให้อันหลิงเกอเสร็จ เมื่อเห็นอันหลิงเหมิงมาหาแต่เช้าเยี่ยงนี้ แววตาก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ

อันหลิงเกอหันกลับมามองสำรวจดูนาง ในตอนที่พบกันครั้งแรก เด็กสาวคนนี้ยังมีท่าทีเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเขินอายที่เก็บซ่อนไว้ตัวบนของนางก็หายไป เปลี่ยนเป็นมีรอยยิ้มที่สดใสดูเหมือนนางจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขแล้วกระมัง

อันหลิงเกอยิ้มให้นาง นัยน์ตาลึก ๆ เกินคาดเดาอารมณ์มิออก

“น้องสี่มาได้พอดี  ข้ากำลังจะไปงานเลี้ยงอยู่เช่นกัน”

“งั้นก็พอดีเลยเจ้าค่ะ”

อันหลิงเหมิงยิ้มและคว้าข้อมือของอันหลิงเกอเอาไว้ ดูแล้วก็มิใช่คนที่มีนิสัยเก็บตัวเลยสักนิด

“พี่หญิงใหญ่เร็วเข้าเจ้าค่ะ  ปล่อยให้คนอื่นรอมันจะมิดีนะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอเดินตามนางออกไป แต่เมื่อนางผ่านสวนดอกไม้ไปก็พบกับคนผู้หนึ่งอย่างที่มิคาดคิด

คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าไหมที่ปักลายนกกระเรียนสีเขียวใบชา ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อผ้าไหมหยุนจินตัวใหญ่สีดำแบบดั้งเดิม ตอนนี้คนผู้นั้นกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็หันกลับมามองทางอันหลิงเกอ ใบหน้าที่หล่อเหลาที่มีบุคลิกท่าทางสง่างาม และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม

เมื่อเห็นอันหลิงเกอ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ใครได้เห็นแล้วต้องรู้สึกอบอุ่นใจและหลงใหล มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่สดใสเปล่งประกายเหมือนดวงดาว แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา ดูมิมีชีวิตชีวาอันใด

ดวงตาที่มิแยแสและเย็นชาเยี่ยงนี้ ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับพันมาทิ่มแทง อันหลิงเกอได้แต่อดทนต่อความรู้สึกแปลก ๆ เยี่ยงนี้เอาไว้ในใจเพียงเท่านั้น และแสร้งทำเป็นมองมิเห็นมู่จวินฮาน แล้วเดินตรงไปด้านหน้าต่อด้วยใบหน้าที่เฉยเมย

“คู่หมั้นของข้าเห็นข้าแล้ว ใยเจ้ามิทักทายเสียหน่อยเล่า ? ”

มู่จวินฮานเอ่ยถามตามหลังด้วยน้ำเสียงที่มิดังเกินไป และมันบังเอิญทำให้อันหลิงเกอได้ยินพอดี

อันหลิงเกอจึงหยุดสาวเท้า แล้วตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนและสุภาพ

“มู่ซื่อจื่อมาที่จวนมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? “

“หากมิมีเรื่องอันใด ข้ามาที่นี่มิได้หรอกรึ”

มู่จวินฮานเลิกคิ้วขึ้นอย่างดื้อรั้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิมีภาพลักษณ์ของคุณชายเจ้าเสน่ห์หลงเหลืออยู่แต่ดวงตาหงส์นั้นก็ยังคงเย็นชา

อันหลิงเกอมิรู้ว่ามู่จวินฮานกำลังคิดจะทำอันใดอยู่ จึงเอ่ยคล้อยตามเขาไป

“มิใช่เยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ ท่านมู่ซื่อจื่อมาได้หากท่านต้องการที่จะมา ทุกคนในจวนโหวยินดีต้อนรับท่านเสมอเจ้าค่ะ”

เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็เดินจากไปทันที

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานถึงได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และหันมาพูดคุยกับน้องชายของตนที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเฝ้ามองดูอันหลิงเกอที่เดินหายลับไปจากสายตาของเขา

“หญิงสาวผู้นั้นเป็นคือคู่หมั้นของพี่สามหรอกรึขอรับ”

จากนั้นน้องชายของมูจวินฮานเงยหน้าขึ้น ชะโงกหน้ามองไปทางอันหลิงเกอ

“ดูจากอุปนิสัยแล้ว ต้องเป็นสาวงามเป็นแน่ขอรับ ! พี่สาม เมื่อสักครู่ท่านทำเย็นชามิแยแสเช่นนั้น

จะต้องทำให้แม่นางผู้นั้นเสียใจเป็นแน่ขอรับ “

แววตาที่อันตรายของมู่จวินฮานจ้องมองน้องชายเขม็ง จ้องมองจนเขาขนลุก

“พี่… พี่สาม ? “

“อย่าได้คิดอันใดกับนาง”

มู่จวินฮานเตือนเขาเบา ๆ แต่สีหน้าท่าทีที่แสดงออกมาดูจริงจัง

ชายหนุ่มผู้นั้นถึงกับตกใจผงะราวกับได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มองมู่จวินฮานด้วยความแปลกใจอยู่พักหนึ่ง

“พี่สาม ท่านคงมิได้คิดจริงจังจริง ๆ หรอกใช่ไหมขอรับ ? งานแต่งพระราชทานหมายความว่าเยี่ยงไร ท่านกับข้าต่างก็รู้ดี  การแต่งงานครั้งนี้มิมีทางเป็นไปได้เลย”

ขณะที่เขาพูดออกมา สีหน้าท่าทีของมู่จวินฮานก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ

“มิว่าฮองเต้จะคิดเยี่ยงไร  จวนฮ๋องมู่ของเราก็รับพระราชโองการสมรสพระราชทานมาแล้ว

เสด็จพ่อก็ได้เจรจาแต่งงานกับจวนโหวแล้ว มิมีทางกลับคำแน่นอน”

“จุ๊ ๆ  ท่านกล่าวเสียเด็ดขาดและองอาจถึงเพียงนี้  คิดว่าจะหลอกข้าได้เยี่ยงนั้นรึ”

ชายหนุ่มส่ายหัว ทำหน้าตาราวกับผู้ใหญ่แล้วกล่าวเสริมออกไปว่า “นิสัยเยี่ยงพี่สาม ถ้ามิชอบแล้วล่ะก็ คงคิดหาวิธีถอนตัวจากการแต่งงานครั้งนี้ไปนานแล้ว”

แม้แต่คนข้างกายเขายังรู้เลยว่าเขานั้นชอบอันหลิงเกอ

มู่จวินฮานยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยตนเอง ถึงแม้เขานั้นจะชอบอันหลิงเกอมาเพียงใด แต่อันหลิงเกอนั้นค่อยแต่อยากจะผลักใสเขาให้ห่างจากนางยิ่งไกลยิ่งดี

เมื่อคิดถึงตอนนี้มู่จวินฮานก็เงียบไปและมิปฏิเสธคำกล่าวของน้องชายออกไป แต่ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าหมองลงอย่างมิทราบสาเหตุ

อีกด้านหนึ่งอันหลิงเกอเดินตามอันหลิงเหมิงมาจนถึงศาลา ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซื่อและคนอื่น ๆ ต่างก็มาถึงกันแล้ว

หลี่ซื่อกำลังพูดคุยฮูหยินผู้หนึ่งของตระกูลขุนนาง  เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นให้

“นี่คือบุตรสาวที่ฮูหยินใหญ่อันทิ้งไว้ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหวังเฟยตอนสาว ๆ เป็นอย่างมาก

หน้าตาดูสะสวยมากยิ่งนัก”

“มิใช่แค่รูปลักษณ์เพียงเท่านั้น  แต่อุปนิสัยก็ดีมิเป็นสองรองใครเหมือนกัน”

ฮูหยินอีกท่านกล่าวเสริมขึ้น จ้องมองอันหลิงเกอด้วยความพึงพอใจ

ดูเหมือนอันหลิงเกอจะมิได้ยินคำชมของพวกนาง ดังนั้นอันหลิงเกอจึงได้แต่เพียงโค้งคำนับให้ผู้อาวุโส และนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบ ๆ

“คุณหนูอันบรรเลงบทเพลง《หนีชางหวู่》ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ จนทำเอาลืมมิลงเสียจริง มิทราบว่าคุณหนูอันเรียนมาจากผู้ใด ? ”

ฮูหยินที่พูดก่อนหน้านั้นเอ่ยถามขึ้นมา  ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเงี่ยหูฟัง

อันหลิงเกอส่ายหน้า แล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “เกอเอ๋อก็แค่อ่านมาจากตำราเล่มหนึ่งเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วบรรเลงไปตามใจชอบ มิได้มีครูบาอาจารย์อันใดเลยเจ้าค่ะ”

แค่อ่านตำราและบรรเลงเพลงไปตามใจชอบ ก็สามารถบรรเลงเพลงที่น่าทึ่งเยี่ยงนั้นออกมาได้เชียวรึ ?

เห็นได้ชัดว่าทุกคนมิเชื่อในคำพูดของอันหลิงเกอ เช่นนั้นอันหลิงเกอจึงอธิบายไปว่า “อี๋เหนียงยุ่งอยู่กับงานบ้านตลอดทั้งวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาอาจารย์มาให้ข้าได้กันเจ้าคะ ? “

คำกล่าวของอันหลิงเกอนั้นมีความหมายแฝงบอกให้รู้ว่าหลี่ซื่อเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง แต่กลับเข้ามาควบคุมอำนาจในจวนโหว ถ้าตามกฎหมายของต้าโจวแล้ว เป็นการข้ามเส้นแล้วและยังบอกอีกว่าหลี่ซื่อ มิมีเวลาหาอาจารย์ให้ตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าการร่ายรำของอันหลิงอีนั้นได้รับการฝึกฝนมาจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ถึงได้เป็นที่สนใจในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิได้

เมื่อรวมสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็รับรู้ได้ทันทีถึงความคิดของหลี่ซื่อ

นั่นคือเลี้ยงดูบุตรสาวของอันหวังเฟยให้เป็นคนที่ทำอันใดมิเป็น แล้วให้บุตรสาวของตัวเองแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้อย่างราบรื่น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาทุกคู่ก็จ้องมองมาทางหลี่ซื่อก็แฝงไปด้วยความหมายที่มิอาจคาดเดาได้