ตอนที่ 68 ปะทะคารม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 68 ปะทะคารม

อาณาจักรต้าโจวให้ความสำคัญและแยกสถานะของภริยาเอกและอนุออกอย่างชัดเจน  บุตรีที่เกิดจากภริยาเอกเป็นเจ้านายอย่างแท้จริง ส่วนบุตรีที่เกิดจากอนุมีสิทธิเป็นเจ้านายเพียงครึ่งหนึ่ง ในทำนองเดียวกันภริยาเอกและอนุมีสถานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว  ไม่ว่าคนที่เป็นอี๋เหนียงจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าภริยาเอกก็ต้องก้มหัวให้

แต่ฮูหยินใหญ่อันเสียไปก่อน  ท่านโหวก็มิได้แต่งใครเข้ามารับตำแหน่งใหม่ในจวน หลี่ซื่อผู้ที่เป็นอี๋เหนียงผู้นี้จึงเข้ามาแทนที่ภริยาเอก และดูแลกิจการหลังบ้านมิว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก  ซึ่งย่อมร่วมไปถึงการอบรมสั่งสอนอันหลิงเกอบุตรสาวของภริยาเอกคนนี้ร่วมเข้าไปด้วย

แต่ก่อนพวกนางได้ยินมาเพียงว่า คุณหนูใหญ่จวนโหวนั้นขี้ขลาดและโง่เขลา มิสามารถมาออกงานเลี้ยงได้ และยังเคยแอบหัวเราะเยาะนางในใจอีกด้วย แต่พอมาเห็นตอนนี้ กลับมิได้เป็นเยี่ยงนั้นเลย

มิต้องพูดถึงอันหลิงเกอที่เป็นจุดสนใจอยู่ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ พูดถึงเพียงสิ่งที่เห็นในวันนี้ นางช่างดูอ่อนโยน สุภาพ สง่าผ่าเผยและใจกว้างถึงแม้จะพูดน้อย แต่ก็เผยให้เห็นอุปนิสัยที่ชาญฉลาด ไหนเลยจะมีลักษณะขี้ขลาดและโง่เขลาเยี่ยงข่าวลือที่ได้ฟังมา

บรรดาฮูหยินที่อยู่ในงานล้วนเป็นบุคคลที่ผ่านโลกมามาก เมื่อเห็นเยี่ยงนี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าข่าวลือเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร

อวี้สื่อฮูหยินเหลือบมองหลี่ซื่อแล้วแบะปาก พร้อมกับกล่าวเย้ยหยันออกไปว่า “เดิมทีข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวคนเล็กของจวนโหวนั้นฉลาดและมีไหวพริบ แต่กลับมิเคยรู้มาก่อนว่าบุตรสาวคนโตของท่านโหวนั้นจะเป็นคนที่สติปัญญาดียิ่งนัก แม้มิมีอาจารย์ชื่อดังมาสอน แค่ตนเองคลำเล่นเพลงนี้ก็สามารถเล่นออกมาได้ถึงเพียงนั้น คุณสมบัติเช่นนี้ เกรงว่าจะมิมีผู้ใดเทียบได้ “

“บุตรชายของข้ายังบอกกับข้าเลยว่า คุณหนูใหญ่อันเป็นคนพิเศษที่สุดที่เขาเคยพบเจอมา ถ้ามีบุญวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้ติดต่อกับนางให้มากกว่านี้”

คำกล่าวนี้แฝงไปด้วยความหมายมากมาย ช่างชูฮูหยินอดมิได้ที่จะปิดปากหัวเราะออกมาเบา ๆ สายตาแอบชำเลืองมองไปทางอันหลิงเกอ อย่างมีความหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย

หลี่ซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง  แทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้มิได้ นางรู้ดีว่าฮูหยินเหล่านี้ดูถูกความเป็นอนุของนาง ถึงได้กล่าวว่าอันหลิงอีสู้อันหลิงเกอมิได้ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเยี่ยงนี้ มันทำให้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เดิมทีงานเลี้ยงของวันนี้จัดขึ้นเพื่อจะป่าวประกาศการกลับมาของฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่น ๆ แต่ทันทีที่อันหลิงเกอมา สายตาของทุกคนต่างก็เอาแต่จับจ้องไปที่นางถึงกับลืมผู้อื่นไปโดยสิ้นเชิง

อันหลิงเฉ่วเองที่ได้ฟังเยี่ยงนั้นยิ่งรู้สึกมิสบายใจ เห็นได้ชัดว่านางก็เป็นบุตรสาวของภริยาเอกเช่นกัน

แค่เพราะนางเกิดกับบ้านหลังที่สาม พ่อของนางมิได้สืบทอดตำแหน่งโหวฐานะจึงต่ำกว่าอันหลิงเกอมาก

ตอนนี้นางกลับมาเมืองหลวงแล้ว แต่สายตาของฮูหยินพวกนั้นก็มิเคยชายมองมาที่นางเลย  นี่จึงทำให้อันหลิงเฉ่วที่หยิ่งทระนงในตัวเองมาโดยตลอด จะอดทนอีกต่อไปได้เยี่ยงไร ?

เมื่อได้ยินคำกล่าวของช่างชูฮูหยินหมายถึงเรื่องใด ดวงตาของอันหลิงเฉ่วก็เป็นประกายขึ้นมา รอยยิ้มที่มีเสน่ห์และน่ารักก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“พี่หญิงใหญ่ช่างโชคดียิ่งนัก มิเพียงแต่มีวาสนาได้หมั้นหมายกับมู่ซื่อจื่อ แม้แต่คนอื่น ๆ ก็ยังอยากเป็นสหายกับพี่หญิงใหญ่ เยี่ยงนี้มิได้นะเจ้าคะ ถ้าเกิดพี่หญิงใหญ่ถูกผู้อื่นแย่งไปล่ะเจ้าคะ ก็คงมิมีผู้ใดมาเล่นเป็นเพื่อนกับเฉ่วเอ๋อร์อีกแน่เลยเจ้าค่ะ”

อันหลิงเฉ่วที่ได้เอ่ยถึงมู่จวินหานขึ้นมาลอย ๆโดยมิได้ตั้งใจ

หลี่ซื่อราวกับถูกเตือนสติ จึงหันไปยิ้มให้ฮูหยินเหล่านั้นอย่างจริงใจ แล้วกล่าวออกไปว่า “เฉ่วเอ๋อคงคิดผิดไปแล้ว  ที่เกอเอ๋อและมู่ซื่อจื่อสนิทกันมากนั้นก็เพราะมู่ซื่อจื่อเป็นว่าที่สามีของเกอเอ๋อ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ถ้าหากเข้าไปพัวพันกับชายอื่นเข้า มันคงมิใช่เรื่องดีแน่”

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นใบหน้าของช่างชูฮูหยินมีแววประหลาดใจ ความกระตือรือร้นในแววตาก็ค่อย ๆ หายไป ในเมื่อได้รับรู้ว่าอันหลิงเกอได้หมั้นหมายกับผู้อื่นไปแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นของบุตรชายนางคงมิสามารถกล่าวออกมาได้อีก

“ที่แท้คุณหนูอันหมั้นหมายไปแล้วหรอกรึ”

อันหลิงเกอพยักหน้ารับเล็กน้อย พร้อมกับก้มหน้าลงด้วยอาการเขินอาย มินานก็เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเขินอาย

“ถ้ากล่าวถึงความฉลาดและมีไหวพริบ น้องเฉ่วเอ๋อถึงจะเป็นคนที่งดงามอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ”

นางจับมือของอันหลิงเฉ่วไว้ และแนะนำให้ทุกคนรู้จัก

“เพียงเพราะน้องเฉ่วเอ๋ออยู่ที่บ้านเก่ามาตลอด  ทุกท่านจึงมิเคยได้ยินชื่อของนาง ถ้าพวกท่านได้รู้จักน้องเฉ่วเอ๋อมาก่อนหน้านี้ จะต้องชอบนางเช่นเดียวกับข้าแน่นอนเจ้าค่ะ “

การแสดงออกของอันหลิงเกอนั้นดูจริงใจ มิมีร่องรอยของความเสแสร้งปรากฏออกมาบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอันหลิงเกอริเริ่มแนะนำอันหลิงเฉ่วให้กับทุกคน ก็แสดงความพึงพอใจออกมาทางแววตา

อันหลิงเฉ่วตื่นตะลึงที่ถูกแนะนำออกไปและได้รับความรักและเมตตาอย่างคาดมิถึง จากนั้นก็โบกมือไปมาอย่างเขินอาย

“พี่หญิงใหญ่อย่าล้อข้าเล่น  ข้าฉลาดที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ”

อันหลิงเฉ่วที่หันไปพูดกับอันหลิงเกอบังเอิญเผยใบหน้าที่งดงามที่สุดออกมา

ช่างชูฮูหยินมองรูปลักษณ์ที่สวยงามนั้นของอันหลิงเฉ่ว ก็รู้สึกมีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง

“โธ่  คุณหนูรองที่นั่งข้างของข้ามานานช่างน่ารักออกเยี่ยงนี้ ข้ากลับมองมิเห็น”

นางแกล้งทำเป็นกลัดกลุ้มตบหน้าผากตนเอง  จากนั้นก็จับมืออีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น

“ทันทีที่ข้าเห็นเจ้าก็รู้สึกชอบเจ้ามาก ดูเหมือนว่าเจ้าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรสาวของข้านะ”

นี่เป็นการถามไถ่เกี่ยวกับอายุของนาง เหตุใดอันหลิงเฉ่วถึงจะมิรู้

แววตาอันหลิงเฉ่วฉายแววเหยียดหยัน แต่ยังคงมีสีหน้าไร้เดียงสาและมีเสน่ห์ แล้วกล่าวตอบไปอย่างนอบน้อม

“เฉ่วเอ๋ออายุน้อยกว่าพี่หญิงใหญ่ 2 ปี ตอนนี้อายุ 13 ปีพอดีเจ้าค่ะ”

13 ปีเป็นวัยที่หมั้นหมายได้แล้ว

ช่างชูฮูหยินพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม

อันหลิงอีที่ถูกคนอื่นเมินเฉยอยู่ด้านข้าง  กัดริมฝีปากอย่างอดมิได้ นางขยิบตาให้อันหลิงเหมิง อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กล่าวขึ้นมาว่า “พี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงรองเข้ากันดีที่สุด ทำเอาข้ารู้สึกอิจฉาไปเลยเจ้าค่ะ”

ความรู้สึกที่มีตัวตนอยู่ในจวนของอันหลิงเหมิงมีอยู่น้อยมาก ราวกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง  ตอนนี้จู่ ๆ นางก็เอ่ยปากพูดออกมา แม้แต่ฮูหยินเฒ่าก็ยังมองมาด้วยความแปลกใจ

อันหลิงเกอฟังคำพูดที่ออดอ้อนอย่างสนิทสนมของนางเช่นนี้  ใบหน้าและแววตาก็ยังคงเหมือนเดิม

แค่มีรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“แม้ว่าน้องสี่และน้องรองจะเติบโตขึ้นมาจากบ้านเก่ามาตั้งแต่ยังเล็ก  แต่พวกเจ้าก็ล้วนเป็นน้องสาวของข้า  ข้าก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเจ้าเหมือนกัน มีอันใดที่น้องสี่มิพอใจรึ ? ”

“พี่หญิงใหญ่โกหก”

อันหลิงเหมิงแบะปากออก ด้วยความรู้สึกอิจฉา

“พวกเรากลับมาถึงจวนกันนานมากแล้ว  แต่พี่หญิงใหญ่ก็เอาแต่เล่นกับพี่หญิงรองเท่านั้น มิเคยมาหาข้ากับพี่หญิงสามเลย”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเหมิงกล่าว กลับกลายเป็นว่าอันหลิงเกอมีปฎิสัมพันธ์กับแค่อันหลิงเฉ่วที่เป็นบุตรีภริยาเอก มิสนใจนางและอันหลิงอีที่เป็นบุตรีอนุเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออันหลิงเกอที่ดูอ่อนโยนและใจกว้าง ความจริงนางเป็นเพียงผู้หญิงที่หน้าซื่อใจคดปากมิตรงกับใจเพียงเท่านั้น

อันหลิงอีที่นั่งอยู่ด้านข่างของอันหลิงเหมิง แสร้งทำราวผิดหวังมาก และกล่าวขัดอันหลิงเหมิงออกมา

“น้องสี่อย่าพูดจาเหลวไหล พี่หญิงใหญ่ดีต่อเจ้าและข้าเสมอมา มิเคยทำเมินเฉยต่อพวกเรา..”

อันหลิงอีกล่าวออกมาพร้อมกับคิดเย้ยหยันภายในใจว่านางเสียหน้ามาแล้วตั้งกี่ครั้งจากน้ำมือของอันหลิงเกอ ในที่สุดวันนี้นางก็สามารถเก็บงำนิสัยที่เย่อหยิ่งของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนและได้เรียนรู้ว่าการจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้อื่นนั้นถึงจะทำให้คำพูดดูได้เปรียบ

หลี่ซื่อเองที่ได้ฟังอันหลิงอีกล่าว แล้วแสร้งตบลงหลังมือของอันหลิงอีอย่างน่าสงสาร แล้วกล่าวเสริมออกไปว่า “ใช่  นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเจ้าพี่น้อง  เหมิงเอ๋อกล่าวออกมาเยี่ยงนี้

มิใช่ว่าอยากทำให้ฮูหยินทุกท่านหัวเราะเยาะเอารึ ? ”

ถึงแม้จะเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่คำพูดของหลี่ซื่อก็เหมือนยืนยันคำกล่าวของอันหลิงเหมิง

สายตาของช่างชูฮูหยินมองไปที่อันหลิงเกอด้วยสีหน้าท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

สายตาของอันหลิงเกอว่องไวและเฉียบแหลม  จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ถือถุงเงินตรงเอวไว้แน่น