ตอนที่ 69 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 69 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่

“น้องสี่มิรู้ ข้าสนิทสนมกับน้องรอง เพียงเพราะต้องการเรียนรู้จากนาง”

จากนั้นอันหลิงเกอกล่าวจบก็ถอดถุงเงินออกจากเอว  ทำให้งานปักอันประณีตงดงามบนถุงเงินปรากฏต่อสายตาของทุกคน

“น้องสี่ เจ้าดูงานปักนี้สิใช้เส้นไหมมากกว่าสิบชนิด ใช้วีธีการเย็บปักถักร้อยซูโจวที่ละเอียดและสวยงามมาก เพียงแค่เห็นข้าก็ชอบมันมากแล้ว”

นางเงียบไปสักพัก และหันไปยิ้มอ่อนโยนให้กับอันหลิงเหมิง

“ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าวิธีการปักผ้าเยี่ยงนี้จะมาจากฝีมือของน้องรอง ? นักพรตกล่าวไว้ว่า ในคนที่เดินอยู่สามคนจะต้องมีอาจารย์ของเราอยู่ น้องรองทั้งคล่องแคล่วและชาญฉลาดเยี่ยงนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องเข้าหาน้องรองมากกว่า เพื่อที่จะเรียนรู้ฝึกฝนทักษะนี้ เพราะมันมีประโยชน์”

อันหลิงเกอแก้ไขสถานการณ์ที่กลืนมิเข้าคายมิออกก่อนหน้าด้วยคำกล่าวมิกี่คำ ในขณะที่ยกย่องอันหลิงเฉ่ว แต่ก็แอบดูแคลนอันหลิงอีและอันหลิงเหมิงไปด้วย

เหล่าฮูหยินที่ได้ฟังก็ต่างพากันคิดว่าอันหลิงเกอนั้นเป็นคนถ่อมตัวและใฝ่เรียนเช่นนี้ ถึงได้เข้ากับอันหลิงเฉ่วได้ดี  แต่กลับมิเคยเข้ากับอันหลิงอีและอันหลิงเหมิงได้เลยนั้นมิใช่เพราะพวกนางมิมีประโยชน์หรอกรึ ?

อวี้สื่อฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วยกับอันหลิงเกอ พร้อมกับกล่าวชื่นชมออกมา

“คุณหนูใหญ่ทั้งฉลาดและใฝ่เรียน คุณหนูรองฉลาดเฉียบแหลม นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่จวนโหวมีคุณหนู 2 ท่านนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ที่มีบุญเสียจริง”

นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็แสดงสีหน้าท่าทีถ่อมตัวออกมา

“ที่ไหนกัน ก็แค่เด็กสองคนหยอกล้อกันเท่านั้น  ฮูหยินท่านก็กล่าวชมเกินไปแล้ว”

หลี่ซื่อขบกรามแน่นด้วยความคับแค้นใจ เมื่อได้ฟังอวี้สื่อฮูหยินกล่าว  คุณหนูใหญ่ฉลาดหัวดี  คุณหนูรองฉลาดคล่องแคล่วเยี่ยงนั้นรึ แล้วเอาอีเอ๋อของนางไปไว้ที่ใดกัน

เดิมทีอีเอ๋อของนางต่างเป็นจุดสนใจของทุกคนเสมอมา แต่ในตอนนี้มีอันหลิงเกอแย่งความสนใจของนางไปยังมิพอ อันหลิงเฉ่วบุตรีของสะใภ้เจิ้งคิดว่าตนเองคือใคร ถึงได้กล้ามาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับอีเอ๋อของนางได้ !

“ถ้าให้ข้ากล่าวนะ เด็ก ๆ พวกนี้ยังมิรู้จักมักคุ้นกันดีพอ ถ้าอยู่ด้วยกันไปสักระยะก็จะรู้นิสัยของกันและกันเอง”

หลี่ซื่อยิ้มและเอ่ยปากถามฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ด้านข้าง

“เด็กในวัยนี้อยู่นิ่งมิได้เป็นที่สุด สู้ปล่อยให้พวกนางออกไปเดินเล่นด้วยกันเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กันดีกว่าเจ้าค่ะ  ส่วนพวกเราก็พูดคุยกันตรงนี้ ดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็กล่าวออกไป

“ก็ดีเหมือนกัน เกอเอ๋อ เจ้าพาพวกน้อง ๆ ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ อย่าทำเสียมารยาทเข้าล่ะ”

อันหลิงเกอลุกขึ้นคำนับและพาน้องสาวทั้งสามคนนั้นออกไป

ขณะที่อันหลิงเกอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาว  จู่ ๆ ก็มีเท้าหนึ่งยื่นออกมาจากใต้ชายกระโปรง

และเหยียบเข้าที่ชายกระโปรงของนางโดยมิได้ตั้งใจ

อันหลิงเกอจึงหยุดเดิน  แต่คนผู้นั้นกลับเดินเข้ามาชนนาง แสดงคนผู้นี้จงใจที่จักให้นางล้มลง

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงได้เอ่ยเตือนออกไป

“น้องสี่เป็นอันใดไป ? เจ้าเดินระวังหน่อย”

นางหันกลับมามองอันหลิงเหมิงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

อันหลิงเหมิงหน้าแดงขึ้น มุมปากกระตุก แล้วอึกอักกล่าวอันใดมิออก เมื่อเห็นสายตาที่ข่มขู่ของอันหลิงอีที่จ้องมองมา  นางจึงทำได้เพียงรีบพยักหน้า

“พี่หญิงใหญ่พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าใจลอยไปหน่อยจึงเดินมิดูทาง”

“เหตุใดแม้แต่เดินยังเดินได้มิดี  อาสะใภ้รองมิสอนเจ้ามาเยี่ยงนั้นรึ”

อันหลิงอีพูดเยาะเย้ย แล้วปิดปากหัวเราะเยาะเบา ๆ

“อ้อ ข้าลืมไปท่านแม่ของเจ้าเป็นเพียงหนึ่งในอนุที่ท่านอามิโปรดปราน อาสะใภ้รองมิใช่แม่แท้ ๆ ของเจ้า  จึงมิเห็นเจ้ามีตัวตนด้วยซ้ำไป ก็เป็นธรรมดานะที่จะมิอบรมสั่งสอนกริยา มารยาทแก่เจ้า”

ดวงตาของอันหลิงเหมิงแดงก่ำ  ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายและรู้สึกโกรธ

“เหตุใดพี่สามถึงกล่าวเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ แม่ของท่านก็เป็นเพียงอนุคนหนึ่งเช่นกัน เหตุใดท่านถึงวิจารณ์และเยาะเย้ยข้าถึงเพียงนี้ ? “

“นังสารเลว เจ้ากล้าเทียบกับข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”

 อันหลิงอีโกรธจัดยกมือขึ้นสูง จะตบหน้าอันหลิงเหมิง

ทันใดนั้นอันหลิงเหมิงก็รีบหลบ และดูเหมือนจะดึงแขนเสื้อของอันหลิงเกอเข้าโดยมิได้ตั้งใจ

ทางเดินมีขอบรั้วกั้นอยู่แค่ครึ่งเดียว ด้านล่างเป็นทะเลสาบใสสามารถเห็นปลาคราฟหลายตัวว่ายวนอยู่รอบ ๆ ถ้าใครตกลงไปในน้ำเยี่ยงนี้ ถ้ามิจมน้ำตายก็คงทรมานมาก

อันหลิงเกอรีบจับเสาไม้แดงที่อยู่ด้านข้าง และเหลือบไปเห็นใบหน้าที่สาแก่ใจของอันหลิงอี ก็รู้ทันทีว่าเหตุใดทั้งสองคนถึงดูผิดปกติเช่นนี้

ทั้งสองแกล้งทะเลาะกัน เพื่อถือโอกาสตอนที่โกลาหลผลักตัวเองให้ตกลงไปในทะเลสาบ ท้ายที่สุดพอเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว ก็จะกล่าวได้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าจะตำหนิพวกนางมากแค่ไหน ก็จะเห็นแก่อันหลิงเฉ่วหลานสาวสุดที่รักที่อยู่ในงาน มิมีทางลงโทษพวกนางอย่างรุนแรงแน่นอน

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น นางก็เอียงตัวบิดเอวหลบมือของอันหลิงเหมิง และเหยียดเท้าข้างหนึ่งไปด้านข้าง บังเอิญไปเตะเท้าของอันหลิงอีเข้าพอดี

อันหลิงอีรู้สึกเจ็บก็ก้มลงถูขาของตัวเองโดยมิทันได้ระวังตัวว่าเบื้องหน้าอันหลิงเหมิงที่เสียหลักกำลังพุ่งเขามาหาตน

“หลบไป ! “

อันหลิงอีกรีดร้องยื่นมือออกไปผลักหลิงเหมิงให้หลบไป แต่มันมิทันการแล้ว  เป็นเหตุให้อันหลิงอีตกลงไปในน้ำพร้อมกับอันหลิงเหมิง

“น้องสาม น้องสี่ ! ”

อันหลิงเกอและอันหลิงเฉ่วร้องออกมาพร้อมกัน ใบหน้าของทั้งสองซีดเผือดเหมือนตกใจกับภาพตรงหน้ายืนนิ่งอยู่กับที่

สองคนที่ตกลงไปในน้ำยังคงดิ้นรนไขว่คว้าไปมา เสียงร้องขอความช่วยเหลือเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

อันหลิงเกอตะโกนเสียงดังออกมาด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล

“เร็วเข้า ! เร็วเข้า ! น้องสามและน้องสี่ ตกลงไปในน้ำแล้ว ! ”

สาวใช้สองสามคนด้านข้างที่ว่ายน้ำเป็นบริเวณนั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็รีบกระโดดลงไปช่วยทันที

หากคุณหนูสามและคุณหนูสี่เกิดเป็นอันใดขึ้นมา  ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องมิปล่อยพวกนางเอาไว้แน่นอน

จากนั้นบ่าวรับใช้ สองสามคนก็วิ่งกรูกันเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงและรีบพากันกระโดดลงไปในน้ำ และว่ายเข้าไปหาทั้งสองคนที่ตกลงไปในน้ำ

ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนเช่นกัน จึงรีบพากันมาดู

หลี่ซื่อหลังจากที่เห็นอันหลิงอีนอนหมดสติอยู่บนพื้น ก็เข่าอ่อนถอยหลังไปทันที มีใบหน้าและท่าทีทำอันใดมิถูก

“ยังจ้องมองหาอันใดกันอีก !  รีบไปตามหมอมาสิ ! ”

ดวงตาของนางเต็มไปความโกรธเกลียวและดุร้าย ทำราวกับกำลังจะกินคน ทำเอาบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างตกใจกลัว รีบวิ่งไปตามหมอมา

โชคดีที่ทั้งสองคนสำลักน้ำออกมาหลายอึก นอกจากความเย็นที่ได้รับตอนตกลงไปในน้ำแล้ว นอกนั้นก็มิได้เป็นอันใดมาก

อวี้สื่อฮูหยินถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

“มิเป็นไรก็ดีแล้ว ”

ฮูหยินผู้เฒ่ามองมาที่พวกนางอย่างขอโทษขอโพย

“วันนี้เดิมทีเป็นงานรื่นเริง แต่ที่จวนกลับเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น ทำให้ทุกท่านตกใจแล้ว”

“ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ฮูหยินผู้เฒ่าต่างหากล่ะที่ตกใจ”

ช่างชูฮูหยินเหลือบมองคนที่นอนอยู่บนพื้น ด้วยแววตาที่รังเกียจ แต่ยังคงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้ฮูหยินผู้เฒ่า

“ฮูหยินผู้เฒ่าจัดการกับธุระสำคัญดีกว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็มิรบกวนแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงใช้ให้คนไปส่งพวกนางกลับ  หลังจากนั้นใบหน้าและท่าทีก็ดูเคร่งขรึมลงทันที

“กล่าวมาสินี้มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”

ในเรืองชิงเฟิงฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สีแดงด้วยใบหน้าเกรี้ยวโกรธ

ดวงตาที่แก่ชราแต่ทว่ายังคงคมกริบกวาดมองไปที่ทุกคน

อันหลิงอีและอันหลิงเหมิงฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่กลับมิได้นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง แต่กลับถูกเรียกมาสอบถามความผิดที่เรือนชิงเฟิง เช่นเดียวกับอันหลิงเกอและอันหลิงเฉ่ว

เมื่อได้ยินคำเอ่ยถามนี้ อันหลิงอีก็ร้องไห้ออกมาทันที ใบหน้าที่ดื้อรั้นแสดงออกถึงการมิได้รับความเป็นธรรม จากนั้นมือชี้ไปที่อันหลิงเกอ แล้วกล่าวฟ้องออกไป

“ท่านย่าเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ต้องการทำร้ายข้าเจ้าค่ะ ! ”