ตอนที่ 119 ฟืนแห้งกับไฟที่ลุกโหม

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 119 ฟืนแห้งกับไฟที่ลุกโหม

“ข้ายังไม่หายดี เจ้าแทงไม่ได้แล้วจริง ๆ” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าก็ไม่ถึงกับต้องทำแบบนั้นแล้วสักหน่อย… ใช่ไหม ?”

กงจี้กัดฟันกรามแน่น เขาส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ความสัมพันธ์ของเรารึ ? เจ้าลองพูดขยายความสิว่าอะไรคือความสัมพันธ์ของเรา ? ก่อนหน้านี้เจ้ายังทำตัวห่างเหินกับข้าอยู่เลยไม่ใช่รึ ?” ในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเหน็บแนม ทว่าถ้าตั้งใจฟังก็จะฟังออกถึงการประณามโทษของฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงพับเสื้อที่เปื้อนน้ำลายของนางอย่างคล่องแคล่วแล้วนำไปพาดไว้บนแขน จากนั้นก็ขยับไปตรงหน้ากงจี้และพูดขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “เจ้า… ข้านั้นให้ความร่วมมือกับการรักษามาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์กันแล้วใช่หรือไม่ ? …ส่วนเรื่องความเกรงใจ เพราะข้าเกรงใจเจ้ามากและไม่สามารถทำให้เจ้าด่างพร้อยได้!  ดังนั้นเจ้าอย่าโกรธเลยนะ ข้าจะนำเสื้อผ้านี้กลับไปซักแล้วค่อยนำมาคืนเจ้า ตอนคืน ข้ารับรองว่ามันจะต้องสะอาดและหอมฉุยอย่างแน่นอน”

ฝูฉูพูดอยู่ด้านข้าง “แม่นางเจียง ข้าซักให้เจ้าก็ได้ เจ้าเป็นหมอของท่านชาย อย่าได้แบ่งความสนใจมาให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เลย”

กงจี้อึมครึม “ฝูฉูเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ให้นางซักนั่นแหละดีแล้ว”

สามารถถลกหนังกระต่ายเพื่อส่งให้ไอ้หนุ่มชนบทคนนั้นนำไปทำเป็นถุงมือได้ เหตุใดนางจะซักเสื้อให้เขาไม่ได้  เจียงป่าวชิงรับรองว่านางจะซักเสื้อนี้ให้สะอาดด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ

อาจเป็นเพราะได้นอนหลับไปถึงสองครั้ง ความเหนื่อยล้าที่เดิมทีปรากฏอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงจึงหายไปมากแล้ว นางดูมีชีวิตชีวามากขึ้น กงจี้เห็นแล้วก็สบายใจขึ้นไม่น้อยเลย

หลังจากเหตุการณ์น้ำลายไหลเปื้อนเสื้อก่อนหน้านี้ ฉากกำบังที่แปลกประหลาดระหว่างกงจี้กับเจียงป่าวชิงก็ได้พังทลายลงอย่างเงียบ ๆ

เจียงป่าวชิงก้มหน้าลงเพื่อดึงเข็มให้กงจี้อย่างตั้งใจ พร้อมกับพูดไปด้วย “คุณชายกง ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า”

“อือ เจ้าว่ามา” กงจี้อารมณ์ดี ทว่าเขาพูดขึ้นอย่างเซื่องซึม “พูดมาสิ”

เจียงป่าวชิงใส่เข็มเงินที่ดึงออกลงในภาชนะ เข็มเงินเหล่านี้ที่ใช้สำหรับกงจี้โดยเฉพาะ มันจึงต้องผ่านการฆ่าเชื้อทุกวัน นางวางเข็มและแอบมองสีหน้าของกงจี้ไปด้วย เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขายังดีอยู่ นางถึงจะพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “วันนี้ข้าไปที่อำเภอมาแล้วเจอกับหานอิงฉีที่รังแกพี่ชายของข้าเข้า ข้าได้หยิบยกเอาเจ้าออกมาเพื่อทำให้เขาตกใจกลัว… เจ้า… เอ่อ… อย่าโทษข้าที่แอบอ้างชื่อเสียงของเจ้านะ”

กงจี้ใช้มือค้ำหน้าผากขวาและพูดอย่าเซื่องซึมว่า “ดูท่าทางของเจ้าแล้วก็ไม่เหมือนกับคนที่เสียเปรียบอะไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว แต่น้องชายของเมียน้อยขุนนางอำเภอเล็ก ๆ คนนั้นอวดดีจนข้าคิดว่าเขาเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์อะไรเสียอีก… เหอะ! แต่เขาลิงโลดได้ไม่นานหรอก”

เจียงป่าวชิงใจกระตุก นางอยากถามกงจี้ให้ลึกกว่านี้หน่อย แต่กงจี้กลับหลับตาลงแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้

เจียงป่าวชิงกัดฟันกราม …กงจี้ในวันนี้ยังคงทำให้คนอื่นรังเกียจได้ง่ายเหมือนเดิม

ดังนั้น ตอนที่เจียงป่าวชิงกลับมาที่บ้านของตัวเอง นางจึงถือเสื้อสีเขียวเปลือกไม้ไผ่กลับมาด้วย เมื่อเจียงหยุนชานเห็นเข้า เขาก็ตกใจอยู่เล็กน้อย เจียงป่าวชิงจึงต้องอธิบายให้เขาฟังอีกครั้งว่านางไปทำเสื้อผ้าของคุณชายคนนั้นสกปรกโดยไม่ระวัง จึงต้องเอากลับมาซักที่บ้าน

เจียงหยุนชานยังคงมีความกังวลเล็กน้อย “ป่าวชิง คุณชายคนนั้นบุคลิกสง่า เปี่ยมไปด้วยความสูงส่งและเขายังไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ใช่ว่าอยู่ร่วมกันยากหรือเปล่า ?”

“อืม เขาก็นิสัยเสียนิดหน่อย สีหน้าก็ไม่ค่อยจะดี แล้วยังชอบทำท่าทางอยากฆ่าข้าให้ตายอยู่บ่อยครั้ง…” เจียงป่าวชิงรำลึกถึงและพูดไปด้วย นางเห็นพี่ชายตกใจจนมีสีหน้าหวาดกลัวกับคำอธิบายของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงลุ่มลึกขึ้น “พี่ไม่ต้องห่วง อันที่จริงแล้วข้าคิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยล่ะ”

เจียงหยุนชานพยักหน้าอย่างเป็นกังวล

ณ บ้านข้าง ๆ  ได้ยินการสนทนาของสองพี่น้องลอยมาตามทิศทางลม กงจี้จึงหันกลับมาถามไป๋จี “ไป๋จี ข้านิสัยเสียรึ ?”

ไป๋จี “เอ่อ… นายท่าน…”

กงจี้ถามอีกครั้ง “สีหน้าของข้าไม่ดีรึ ?”

ไป๋จี “เอ่อ…”

กงจี้เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างต่อเนื่อง “ข้าชอบทำท่าทางอยากฆ่าเจียงป่าวชิงให้ตายบ่อย ๆ รึ ?”

ไป๋จีแทบจะร้องไห้เพราะคำถามของนายท่านอยู่รอมร่อ เขาจึงต้องเปลี่ยนทิศทางและพูดอย่างอ้อมค้อม “นายท่าน แม่นางเจียงก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางคิดว่านายท่านเป็นคนดีมากคนหนึ่ง”

ชายหนุ่มที่งดงามและสูงส่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจในความสำรวมของไป๋จี

……

เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานใช้ชีวิตอย่างออกรสออกชาติ แต่ในหมู่บ้าน ที่บ้านของท่านปู่เจียงกลับค่อนข้างวุ่นวายอยู่พอสมควร  ช่วงนี้เจียงโหย่วฉายทำร้ายเด็กในหมู่บ้านจนได้รับบาดเจ็บไปหลายคนและมีการนองเลือดเกิดขึ้นมากมาย คนในบ้านของเด็กพวกนั้นจึงมาหาท่านปู่เจียงเพื่อขอคำอธิบาย

บางคนสามารถปัดความผิดได้ หลีโผจื่อกับโจซื่อก็จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กสองคนจะเล่นกันและได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ แต่เป็นเด็กของบ้านพวกเขาเองที่กระแทกและแตะต้องไม่ได้ แบบนี้ต่อไปใครจะกล้าเล่นกับเด็กของบ้านพวกเขากันเล่า ? เป็นเช่นนี้ก็สามารถรักษาค่าชดเชยไว้ได้แล้ว

บางคนไม่สามารถปัดความผิดได้ ก็จะมาทะเลาะกันที่บ้านตระกูลเจียง เอาเสียจนหลีโผจื่อกับโจซื่อหมดทั้งแรงกายและแรงใจ และยังต้องจ่ายทองแดงเล็กน้อยอยู่บ่อยครั้งถึงจะจบสิ้น มากกว่าหนึ่งครั้งที่หลีโผจื่อกับโจซื่อลากเจียงโหย่วฉายมาพูดปากเปียกปากแฉะว่าไม่ให้เขาไปต่อยคนอื่นแล้ว

เจียงโหย่วฉายเด้งตัวขึ้นมาโต้แย้งอย่างฉุนเฉียว “ข้าเล่นกับพวกเขา ไม่ได้ต่อยคนสักหน่อย!”

หลีโผจื่อรีบพูดโอ๋หลานหัวแก้วหังแหวนทันที “ใช่ ๆ พี่ฉายของเราไม่ต่อยคน งั้นตอนที่พี่ฉายเล่นกับพวกเขา พี่ฉายก็ลงมือให้เบา ๆ หน่อยสิ อย่างน้อยก็อย่าให้ได้เลือดตกยางออก เจ้าดูสิ คนที่บ้านพวกเขาแต่ละคนถือหางให้ท้ายลูกตัวเองขนาดนั้น พอได้เลือดนิดหน่อยก็ต้องวิ่งมาโวยวายที่บ้านเรา น่ารำคาญมาก พี่ฉายว่าไหม ?”

เจียงโหย่วฉายถึงจะรับปากอย่างเสียไม่ได้

โจซื่อยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย หลังจากที่เจียงโหย่วฉายออกไปเล่นอย่างบ้าคลั่งแล้ว นางถึงจะพูดกับหลีโผจื่อเสียงเบา “แม่ ช่วงนี้พี่ฉาย…”

หลีโผจื่อรู้ว่าโจซื่อจะพูดอะไร นางจ้องโจซื่อเขม็งและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าน่ะหุบปากไปเถอะ! มีใครไม่อิจฉาที่พี่ฉายของเราร่างกายบึกบึนบ้าง พอถึงเจ้ากลับกลายเป็นมีปัญหาเสียอย่างนั้น ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าเป็นแม่ของพี่ฉายหรือเปล่า หากว่าเจ้าไม่อยากเป็นแม่ของพี่ฉาย ข้างนอกมีพวกสาวเล็กสาวใหญ่ที่อยากเข้ามาเป็นแม่ของพี่ฉายของเราเยอะแยะ”

เหมือนมีอะไรมากระทบอยู่ในใจของโจซื่อ นางรีบก้มหน้าก้มตาและไม่กล้าพูดอะไรอีก

ทางนี้เจียงโหย่วฉายก่อความวุ่นวาย ทางนั้นเจียงต้ายาเองก็ไม่ทำตัวให้คนที่บ้านสบายใจด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่ร่างกายของเจียงต้ายาหายดีแล้ว นางก็แอบหนีออกไปเป็นครั้งคราว เพื่อไปหาหม่าเฉิงหยวนที่ทำนางท้องและต้องการเงินค่าสินสอดห้าตำลึงถึงจะยอมแต่งงานกับนางคนนั้นยังไงล่ะ

ต้องบอกก่อนว่าหม่าเฉิงหยวนคนนี้ พูดคำที่หวานไพเราะเก่งมาก ถึงขนาดหลอกจนเจียงต้ายาเชื่อว่าเขาถูกบีบบังคับไม่ให้แต่งงานกับนาง และที่พวกเขาไม่ได้แต่งงานกัน ทั้งหมดเป็นความผิดที่ตระกูลเจียงไม่ยอมออกค่าสินสมรสเป็นเงินห้าตำลึง

เจียงต้ายามาคิด ๆ ดูแล้ว นางก็คิดว่าอาจจะเป็นแบบที่เขาพูดจริง ๆ นางเองก็มีส่วนผิดสำหรับการตั้งท้องครั้งนี้เช่นกัน และควรออกสินสมรสสักเล็กน้อย อีกอย่าง ตระกูลเจียงจ่ายเงินมากกว่าห้าตำลึงเพื่อเจียงโหย่วฉายได้ แต่เหตุใดพอถึงตาของนาง พวกเขากลับไม่เต็มใจที่จะเอามันออกมาจ่ายเล่า ?

ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของตระกูลเจียง ไม่เกี่ยวกับหม่าเฉิงหยวนของนางสักหน่อย!

การที่เจียงต้ายากับหม่าเฉิงหยวนได้กลับมาเจอกันครั้งนี้ก็เหมือนกับฟืนที่แห้งแล้วได้มาเจอกับไฟที่ลุกโหมอีกครั้ง ความรู้สึกก็แข็งแกร่งมากขึ้น ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาจะอดไม่ได้ที่จะพากันไปมีอะไรกันอีกครั้ง

ตอนนี้คนในหมู่บ้านกำลังเริ่มทยอยเก็บข้าวสาลีแล้ว สถานที่ที่กองฟางซ้อนกันบนทุ่งหญ้าจึงไม่ได้มีคนมาสนใจมากนัก มีคนไปมาหาสู่กันแค่ในบางครั้งเท่านั้น และเรื่องของเจียงต้ายากับหม่าเฉิงหยวนเกิดขึ้นบ่อยครั้งแล้ว แน่นอนว่ามันจะต้องมีสักครั้งที่พวกเขาปรากฏร่องรอยอย่างไม่ระวังและทำให้ผู้คนจับเบาะแสได้

นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวที่ใครหลายคนต่างรู้กัน

แต่วันนี้ มีเด็กที่ถูกเจียงโหย่วฉายรังแกบ่อย ๆ ได้หยิบยกเรื่องนี้ไปยั่วยุเจียงโหย่วฉาย

“เจียงโหย่วฉาย พี่สาวของเจ้ามันหน้าไม่อาย กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ แต่กลับไปมีอะไรกับคนอื่นเพื่อทำเรื่องเกิดลูกแบบนั้น พี่สาวของเจ้าเป็นหญิงเลวทรามต่ำช้า เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับนางหรอก”

คำพูดนี้ทำให้เจียงโหย่วฉายระเบิดความโกรธออกมาอย่างถึงที่สุด เขาจับเด็กที่พูดคำพูดนี้กดลงบนพื้นและต่อยอย่างเหี้ยมโหด เขาต่อยจนเด็กคนนั้นไม่ส่งเสียงร้องไห้แล้วถึงจะปล่อยมือออก

.