ตอนที่ 104 คุณเฉิงต้องการจะพบคุณ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

คนในห้องแต่งตัวยังไม่มีใครสักคนที่เข้าใจสิ่งที่เฉิงเจวี้ยนพูด เมื่อฉินหร่านได้สติกลับมา เธอก็สวมหมวกแก๊ปอีกครั้ง จากนั้นเธอก็พูดว่า “เพียงแค่เคยมีอยู่ ไม่ว่ามันจะเล็กขนาดไหนฉันก็สามารถเจอได้”

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองไปที่เธอ ก่อนที่จะพูดเพียงแค่ “อืม”

 

 

จากนั้นก็หันตัวหลบเพื่อเปิดทางให้เธอ “ระวังมือด้วย”

 

 

“ฉันรู้” ฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ก้มหน้าลงก่อนที่จะเริ่มนึกย้อนถึงข้อมูลตัวเลข

 

 

ในตอนนั้นในที่สุดฉินอวี่ก็เริ่มจะรู้ตัว “ฉินหร่าน เธอคงไม่คิดที่จะทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้งใช่ไหม?!”

 

 

เธอเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือยังไม่ทันโดนตัวฉินหร่าน ทันใดนั้นก็มีหวีผมที่เย็นยะเยือกถูกยื่นมาบังเอาไว้

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นไป ก็พบกับใบหน้าที่ดูงัวเงีย

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองไปที่เธออย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนที่เขาจะพูดด้วยใบหน้าราบเรียบ “คุณหนู กรุณาอย่าไปรบกวนเธอเลยนะ”

 

 

ฉินอวี่มองไปที่เขา เธอกำลังอ้าปาก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉิงเจวี้ยนก็หันตัวไป ก่อนที่จะโยนหวีไปไว้บนโต๊ะ โดยที่ไม่ได้มองเธอเลย

 

 

คนในห้องแต่งตัวไม่มีใครสักคนเข้าใจถึงสถานการณ์ตอนนี้

 

 

แต่เมื่อฉินหร่านเปิดตัวโปรแกรม นิ้วมือของเธอก็ขยับด้วยความชำนาญ

 

 

ในตอนที่มีตัวอักษรเรียงรายออกมา ทุกสิ่งอย่างก็โดนมือทั้งคู่ของเธอดึงดูดไป

 

 

ในขณะที่ฉินหร่านกำลังเขียนโปรแกรม มันก็เป็นเหมือนงานเลี้ยงแบบหนึ่ง

 

 

มีตัวอักขระมากมายออกมาเรื่อยๆ สายตาของเธอไม่ได้มองไปที่คีย์บอร์ดเลย

 

 

นิ้วมือของเธอรวดเร็วมาก

 

 

ในตอนแรกหนิงฉิงไม่รู้ว่าฉินหร่านกำลังทำอะไร แต่ตอนที่มือของฉินหร่านแตะที่คีย์บอร์ด บุคคลที่ดูเหมือนไม่เอาจริงเอาจังในตอนนั้นจู่ ๆ รอบตัวของเธอก็เต็มไปด้วยออร่า เมื่อหนิงฉิงได้สติเธอก็ชะงักไป

 

 

ขนาดคนที่พอจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างอย่างเฉียวเซิง สวีเหยากวง หรือแม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างหนิงฉิงและคนหน้าเด็กก็แทบจะไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฉินหร่านที่กำลังพิมพ์ตัวอักษรไปทีละตัว

 

 

ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ฉินหร่านก็ทำให้กล้องวงจรปิดกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

 

เธอหันหน้าจอโน้ตบุ๊กไปด้านข้าง ก่อนที่จะเลิกคิ้วมองไปยังเฉิงเจวี้ยน “กลับมาเป็นปกติแล้ว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเคยเห็นความสามารถที่เหนือมนุษย์ของเธอมาก่อนแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่ได้ตกใจมาก เขาทำเพียงแค่ยื่นโน้ตบุ๊กไปให้ผู้อำนวยการติง “คุณดูเถอะ”

 

 

คนอื่นๆที่อยู่ในห้องยังคงอยู่ตกอยู่ในอาการมึนงง

 

 

ต่างก็ยังไม่ได้เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

 

ผู้อำนวยการติงก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรับโน้ตบุ๊กไว้

 

 

โดยเฉพาะฉินอวี่ ในสายตาของเธอนั้นฉินหร่านไม่ได้เก่งมากมายเลย ขนาดเวลาสอบก็อยู่อันดับท้ายๆ เธอไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าฉินหร่านจะทำอะไรประเภทนี้ได้

 

 

ผู้อำนวยการติงไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่กดดูวิดีโอที่กลับมาเป็นปกติแล้ว ก่อนที่จะเอาโน้ตบุ๊กวางลงบนโต๊ะ

 

 

เปิดวิดีโอขึ้นมา ภาพบนจอเห็นเพียงสีดำจากกล้องวงจรปิด

 

 

เมื่อขยายขนาดภาพในจอ คนที่ยืนอยู่ในห้อง ต่างก็มองเห็นร่างของคนที่อยู่ในจอได้อย่างชัดเจน ในมือของหญิงสาวคนนั้นถือมีดไว้ ก่อนที่เธอจะตัดสายไวโอลินของฉินอวี่อย่างระมัดระวังตัว

 

 

ไม่ถึงหนึ่งนาที หญิงสาวคนนั้นก็หันกลับมา

 

 

ใบหน้าของเธอปรากฏบนจออย่างชัดเจน

 

 

เฉียวเซิงร้องออกมาด้วยความตกใจ ”อู๋เหยียน?! ทำไมถึงเป็นเธอ?!”

 

 

ในห้องแต่งตัวไม่มีใครรู้จักอู๋เหยียนเลย แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าคนคนนั้นไม่ใช่ฉินหร่าน

 

 

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องมีใครมาพูดอีก

 

 

“ดังนั้น ไม่ใช่ฉินหร่านจริงๆ” ผู้อำนวยการติงหาเสียงของตนเองเจอแล้ว เขาพูดอย่างราบเรียบ

 

 

ปรากฏว่าไม่มีใครให้ความสำคัญกับเขาเลย

 

 

ในเวลานั้น ทั้งเฉียวเซิงและหนิงฉิงต่างก็เบนความสนใจจากคอมพิวเตอร์ไปหาฉินหร่าน โดยเฉพาะหนิงฉิง เธอคาดไม่ถึงว่าฉินหร่านจะกู้ข้อมูลกลับมาได้ด้วยซ้ำ

 

 

เธอมองดูฉินหร่านและหรี่ตาลง สุดท้ายในแววตาของเธอเหลือแค่เพียงความสับสนและความประหลาดใจเหมือนกับเพิ่งได้เจอผีมา

 

 

เฉียวเซิงใช้มือของตนเองจับไปที่คาง ในขณะที่เขายกมือขึ้น เขาไม่รู้ตัวเลย

 

 

ฉินอวี่สัมผัสได้ถึงสายตาที่คนอื่นมองฉินหร่าน เธอคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ยุ่งกับสายไวโอลินของเธอจะไม่ใช่ฉินหร่าน และคิดไม่ถึงด้วยว่าฉินหร่านจะกู้ข้อมูลคืนได้ คาดไม่ถึงเลยว่าฉินหร่านจะมีฝีมือขนาดนี้!

 

 

บรรยากาศน่าอึดอัดมาก ถ้าฉินหร่านอยู่นานกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียว ตัวเธอได้ระเบิดแน่

 

 

เธอใช้มือจับไปที่หมวกแก๊ป และจับชายเสื้อของเฉิงเจวี้ยน ก่อนที่จะพูดขึ้นเบาๆว่า ” พวกเราไปกันเถอะ “

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า มองมือเรียวขาวที่จับชายเสื้อของตนเองไว้ 

 

 

เมื่อมองจากมุมนี้ เขาเห็นเพียงแค่หมวกและริมฝีปากของเธอ

 

 

แม่ของฉินหร่านนั้นเคยถูกเฉิงเจวี้ยนสั่งสอนมาก่อน

 

 

ตอนที่มาถึงดวงตาทั้งสองข้างของฉินหร่านแดงก่ำ เขาพอจะเดาออกว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น และฉินหร่านจะต้องเจอกับอะไรบ้างก่อนที่เขาจะมาถึง

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ออกไป

 

 

เขาเพียงแค่กวาดสายตามองพวกคนในห้องแต่งตัว พร้อมเอ่ยปากพูดอย่างมีมารยาท “งั้นก็แสดงว่าพวกคุณจะไม่ขอโทษใช่ไหม? คนเยอะแบบนี้ กล่าวหาผู้หญิงคนหนึ่งแบบไม่มีหลักฐาน คิดว่าเจ๋งมากงั้นหรอ? “

 

 

คำพูดนี้ดูไร้แรงโน้มถ่วง

 

 

แต่ผู้อำนวยการติงและสวีเหยากวงกับรู้สึกตกใจ

 

 

สองคนนี้ไม่พูดอะไรเยอะแยะ พวกเขาทั้งสองรีบขอโทษฉินหร่านทันที

 

 

จริงๆก็ควรที่จะขอโทษอยู่แล้ว การพาหญิงสาวไปห้องแต่งตัวโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ มันก็เป็นเหมือนการกลั่นแกล้ง

 

 

หลังจากที่สวีเหยากวงพูดขอโทษ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองฉินหร่านอีกครั้ง

 

 

ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงนะ ว่าเฉิงเจวี้ยนจะรู้จักกับฉินหร่าน เพราะสองคนนี้แตกต่างราวกับฟ้ากับเหว แค่รู้จักก็เพียงพอแล้ว ทำไมยังต้องมาปกป้องเธอขนาดนี้ด้วย?

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ฉินอวี่ก็ยังงงๆ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าอู๋เหยียนเป็นคนทำลายสายไวโอลินของเธอ

 

 

เฉิงเจรี้ยนพาฉินหร่านออกไป ก่อนจะไป สวีเหยากวงก็ไม่วายที่จะชำเลืองมองไปยังฉินอวี่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับพานหมิงเย่ว์คุยกันไม่กี่ประโยค

 

 

ที่จริงแล้วเหมือนลู่จ้าวอิ่งพูดอยู่คนเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบพานหมิงเย่ว์พูดอยู่ไม่กี่คำ

 

 

รถก็จอดอยู่ข้างถนน

 

 

เฉิงเจวี้ยนจอดรถไว้แต่ไม่ได้เข้าไป เขาใช้คางชี้ไปยังทางรถ บอกเป็นนัยให้ฉินหร่านเข้าไปก่อน

 

 

ฉินหร่านค่อยๆเดินไปที่รถ 

 

 

เมื่อฉินหร่านขึ้นรถไปแล้ว เฉิงเจวี้ยนถึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรออก รอสายไม่นานปลายสายก็รับ

 

 

มือข้างหนึ่งเฉิงเจวี้ยนล้วงกระเป๋าไว้ ดวงตามองไปยังผู้คนที่อยู่ไกลๆ ก่อนที่จะค่อยๆพูดขึ้น ” อาจารย์ใหญ่สวีครับ ช่วยผมหาคนคนหนึ่งหน่อย……”

 

 

ในขณะที่พูด ดวงตาทั้งคู่ของเขาแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจน

 

 

หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ เขาก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม

 

 

เขาเดินไปที่รถอย่างไม่รีบร้อน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเอามือวางไว้บนเบาะรถยนต์ เขาเอียงหัว ยิ้มกวนๆก่อนจะถาม “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอมัวไปทำไรอยู่ ทำไมเพิ่งจะมาเอาตอนนี้?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่เพิ่งเปิดประตูรถฝั่งขวา เขาก็ได้ยินเสียงของลู่จ้าวอิ่ง เขาเงยขึ้นมองพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ลู่จ้าวอิ่ง”

 

 

“หืม?” ลู่จ้าวอิ่งตอบกลับ

 

 

“อย่าพูดมาก ฉันจะพัก” เฉิงเจวี้ยนนั่งลง เขานวดตาแล้วพูดขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “……”

 

 

รถออกตัวอย่างช้าๆ

 

 

สถานที่ที่ผู้บัญชาการเฉียนเลือกครั้งนี้ไม่ใช่สโมสรแล้วก็ไม่ใช่ห้องอาหารส่วนตัว แต่มันคือโรงแรมที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้ว่าฉินหร่านชอบทานอะไรบ้าง

 

 

แต่วันนี้เขากลับสั่งอาหารที่วันนั้นผู้บัญชาการเฉียนสั่งแล้วยกเลิกอย่างเนื้อหมูตุ๋นให้กับเธอ

 

 

ฉินหร่านนั่งตรงฝั่งซ้ายมือของเฉิงเจวี้ยน และอีกข้างของเธอคือผู้บัญชาการเฉียน 

 

 

ในมือของเธอถือตะเกียบไว้ เธอก้มหน้าลงคีบไปที่จานอาหารข้างๆอย่างเหม่อลอย ผมดำของเธอปรกหน้าเธอไว้ ดวงตาเธอดูเหม่อลอย ดูเหมือนเธอจะไม่มีสติ จนกระทั่งพนักงานมาเสิร์ฟเนื้อหมูตุ๋น ฉินหร่านถึงนั่งตัวตรง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรอคนนั่งทานอาหาร ทุกวันนี้ไปมาหาสู่กันจนจะสนิทกันแล้ว

 

 

“ผู้บัญชาการเฉียน คุณรู้จักฉินเสี่ยวหร่านได้ยังไง”  ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลย ถึงแม้เขาจะถือตะเกียบไว้ แต่เขาก็ไม่กิน กลับเงยหน้ามองผู้บัญชาเฉียน

 

 

แค่ได้ฟังคำพูดของลู่จ้าวอิ่ง หูของเฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวก็ผึ่งขึ้นทันที

 

 

ผู้บัญชาเฉียนมองลู่จ้างอิ่ง ทำท่าครุ่นคิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “รู้จักกันเพราะคดีคดีหนึ่ง”

 

 

ลู่จ้างอิ่งตาลุกวาว “คดีอะไร”

 

 

ผู้บัญชาเฉียนไม่ตอบ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว กลับไปเป็นผู้บัญชาการเฉียนที่แสนเย็นชาเหมือนเดิม

 

 

“โอเค งั้นเรามาคุยกันเรื่องแก๊งหมาป่า” ลู่จ้าวอิ่งพิงเก้าอี้อย่างเบื่อหน่าย “ผู้บัญชาการห่าว พวกคุณหาที่ซ่อนตัวของพวกมันเจอหรือยัง”

 

 

ผู้บัญชาการห่าว ส่ายหน้า “ยังไม่เจอ พวกเราไปหากันทั้ง 3 สถานที่แล้ว พวกเขาย้ายออกไปก่อนตลอดเลย”

 

 

ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

 

 

เฉิงมู่ไม่กล้าพูดอะไร ก็เลยส่งวีแชทหาผู้บัญชาการห่าว ——【นายรู้สึกได้ไหมว่าผู้บัญชาเฉียนให้เกียรติคุณฉินมาก】

 

 

ปู้บัญชาห่าว 【นิดหน่อย】

 

 

เฉิงมู่ส่งข้อความอีก【นายไม่รู้สึกแปลกบ้างหรอ ครั้งก่อนที่ผู้บัญชาการเฉียนได้ที่หนึ่ง ก็เป็นเพราะเขามีความสามารถ ก่อนหน้านั้นมีคนอยากย้ายเขาไปทำงานที่อื่น ถึงแม้คุณฉินจะเก่งคอมมากๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาต้องทำแบบนี้หรือเปล่า 】

 

 

ผู้บัญชาการห่าว 【นายน้อยลู่ถามแล้ว ผู้บัญชาการเฉียนปิดปากเงียบสนิท】

 

 

ทานข้าวเสร็จก็เกือบสองทุ่มแล้ว

 

 

ฉินหร่านกลับไปทบทวนที่ห้อง หลังจากเฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์ ก็ไม่กลับมาที่ห้องพยาบาลอีกเลย

 

 

เฉิงมู่รู้สึกตั่วสั่นขึ้นมาเหลือบไปสบตากับดวงตาอันเย็นเยือกของเฉิงเจวี้ยน

 

 

 

 

บ้านตระกูลหลิน

 

 

วันนี้ฉินอวี่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอกลุ้มใจมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดกับหลินฉีและหลินจิ่นเซวียน

 

 

หนึ่งกลัวเขาสองคนจะผิดหวัง สองกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่าฉินหร่านเป็นคนกู้ไฟล์จากกล้องวงจรปิดคืน

 

 

ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนที่ฉินหร่านกู้ไฟล์จากกล้องวรจรปิดคืนได้ เธอตกใจมากขนาดไหน 

 

 

“อวี่เอ่อร์ เธอโอเคไหม “หลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนปรึกษาหารือกันเรื่องงานเปิดตัวบริษัท ตอนที่หลินฉีไปเอาแก้ว เขาก็เห็นหลินอวี่

 

 

เธอถือมือถือไว้ ไม่พูดไม่จา เหมือนกำลังเหม่ออยู่

 

 

ฉินอวี่ได้สติ ก็รีบพูดไปว่า”ฉันคิดว่าจะไปหาปรมาจารย์เว่ยหลิน ไปถามหาคำตอบสักหน่อย”

 

 

หลินฉียิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมปลอบโยนเธอ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบขนาดนั้น ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน”

 

 

ณ ตอนนี้เอง ป้าจางกลับมาจากข้างนอกพอดี “คุณท่านคะ มีคนแซ่เฉิงรอพบคุณท่านอยู่ข้างนอกค่ะ”