ตอนที่ 105 คุณให้ฉันเรียนไวโอลินกับใครนะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“แซ่เฉิง” ในความทรงจำของหลินฉีไม่มีคนที่นามสกุลเฉิง แต่เขาก็ยังคงพูดว่า “ให้เขาเข้ามา”

 

 

ในอดีตมีผู้คนมากมายเข้ามาหาหลินฉี แต่ฉินอวี่และหลินจิ่นเซวียนก็ไม่แปลกใจอะไร

 

 

จนกระทั่งมีชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

“คุณหลิน คุณชายของเราบอกว่านี่คือคนที่พวกคุณต้องการ” เฉิงมู่ทำหน้ามึนงง ก่อนที่จะปล่อยมือผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง แล้วหันไปพยักหน้าให้หลินฉีและคนอื่นๆ “คนมาถึงที่แล้ว งั้นผมก็ขอตัวก่อน”

 

 

หลินฉีเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉินอวี่  

 

 

เขายืนขึ้นขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณครับ มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า…..”

 

 

หลินฉีไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฉินอวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาลุกพรวดขึ้นมา “อู๋เหยียน ทำไมเธอต้องตัดสายไวโอลินฉัน ฉันทำอะไรไม่ดีกับเธอหรอ”

 

 

ฉินอวี่มองอู๋เหยียน กลั้นความเย็นชาและความโกรธบนใบหน้าของเธอไว้ เธอบีบนิ้วมือตัวเอง บังคับให้ตัวเองใจเย็น

 

 

อู๋เหยียนทำแค่มองฉินอวี่แล้วยิ้มเยาะ และไม่ได้พูดอะไร

 

 

“สายไวโอลินอะไร” หลีนฉีแทรกขึ้นมา พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉินอวี่ ไวโอลินของลูกพังแล้วหรอ”

 

 

หลินจิ่นเซวียนรับรู้ถึงความผิดปกติ

 

 

เขาหยิบทิชชูมาเช็ดๆ ที่มุมปาก แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินอวี่พูด

 

 

ฉินอวี่ตาแดงก่ำ เธอไม่กล้าไปเรียนด้วยตนเองที่โรงเรียนในตอนกลางคืน เพราะกลัวว่าจะเห็นคนอื่นเยาะเย้ยหรือมองด้วยสายตาแปลกๆ

 

 

“วันนี้ที่งานฉลองโรงเรียน การแสดงของหนูถูกทำลาย เพราะเธอตัดสายของไวโอลินของหนูขาดค่ะ ” ฉินอวี่นิ้วมือกำแน่น พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น

 

 

ไวโอลินของฉินอวี่หลินฉีได้สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะให้เธอ ซึ่งมีค่ามาก

 

 

เงินแค่นี้สำหรับหลินฉีไม่ได้มากมายอะไร มือของเขาคีบบุหรี่แล้วพูดกับอู๋เหยียนด้วยสีหน้าจริงจัง “นักเรียนอู๋เหยียนใช่มั้ย ทำไมเธอต้องตัดสายไวโอลินของลูกสาวฉัน”

 

 

อู๋เหยียนไม่ได้พูดอะไร

 

 

หลินฉีสะบัดขี้เถ้าใส่ที่เขี่ยบุหรี่และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “เธอควรรู้ว่าไวโอลินของฉินอวี่ถูกสั่งทำขึ้นพิเศษ ถ้าเธอจงใจทำมันพังละก็ นั่นหมายความว่าเธอจะต้องชดใช้เป็นเงินห้าแสนแปดหมื่น”

 

 

ฉินอวี่มองไปที่อู๋เหยียนอย่างเจ็บใจและไม่อยากจะเชื่อ “หนูก็อยากรู้เหมือนกัน”

 

 

“เธออยากรู้ใช่ไหม ได้” อู๋เหยียนยักคิ้วเมื่อได้ยินราคาห้าแสนแปดหมื่น “ฉินอวี่ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าทำไมเธอต้องถ่ายรูปฉินหร่านกับลุงคนนั้นแล้วยุยงให้ฉันเอาไปโพสต์ลงในที่สาธารณะ แล้วทำไมถึงเป็นฉันที่โดนไล่ออกจากโรงเรียน แต่เธอยังอยู่ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

 

 

ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา ทั้งครอบครัวหลินก็ตกอยู่ในความเงียบทันที

 

 

“เธอพูดบ้าอะไร ฉันถ่ายรูปอะไร” ฉินอวี่ชะงักไป ปฏิกิริยาโต้ตอบของอู๋เหยียนตอนนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเธอ

 

 

หลินจิ่นเซวียนเอาทิชชูในมือที่ม้วนจนเป็นก้อนกลมๆ โยนทิ้งไปที่ถังขยะข้างๆเท้า 

 

 

เขาเงยหน้าหันมามองฉินอวี่ช้าๆ “เธอเป็นคนที่ถ่ายภาพนั้นเหรอ”

 

 

“ไม่ใช่ฉัน” ฉินอวี่ตื่นตระหนก “พ่อ พี่ชาย ทุกคนต้องเชื่อหนูนะ” 

 

 

“เธอเอาโทรศัพท์มาให้ฉัน แล้วจงใจเปิดภาพๆนั้นให้ดู ตั้งใจให้ฉันเห็นไม่ใช่เหรอ” เธอพูดพลางรีบหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา เปิดรูปภาพในคืนนั้นแล้วยื่นให้หลินฉี

 

 

ฉินอวี่จ้องไปที่โทรศัพท์ในมือของอู๋เหยียน

 

 

หลินฉีไม่ได้พูดอะไร เขาแค่รับมาแล้วดู

 

 

อู๋เหยียนใช้โทรศัพท์ตัวเองถ่ายหน้าจอโทรศัพท์ของฉินอวี่ โทรศัพท์ของฉินอวี่เป็นรุ่นที่หลินฉีเป็นคนเลือกให้เองกับมือ เป็นโทรศัพท์รุ่นลิมิเต็ด หาซื้อได้ก็แค่ไม่กี่เครื่อง แค่แว็บเดียวก็มองออกแล้ว

 

 

หลินฉีซ่อนความตกใจไว้ แล้วคืนโทรศัพท์ให้เงียบๆ แล้วหันไปทางป้าจาง “พานักเรียนอู๋เหยียนไปส่งที”

 

 

หลินจิ่นเซวียนไม่ได้ดูโทรศัพท์ของอู๋เหยียน แต่แค่มองสีหน้าของหลินฉีก็รู้ผลลัพธ์แล้ว

 

 

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ฉินอวี่หลับตาลง เธอไม่มีข้อแก้ตัวใดๆอีก

 

 

“พ่อ ถ้าพ่อเชื่อพวกเขา ถ้าคิดว่าเป็นหนู งั้นก็เป็นหนูเถอะ” ใบหน้าฉินอวี่ขาวซีด เธอหลับตาลง เธอไม่ได้ร้องไห้ แค่พูดอย่างเหนื่อยล้า

 

 

“ให้พ่อคิดให้ดีๆก่อน”  หลินฉีพูดแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป

 

 

**

 

 

มาถึงห้องหนังสือ หลินฉีก็เรียกหนิงฉิงให้เข้ามาก่อน

 

 

วันนี้ตอนเย็นที่หนิงฉิงกำลังกินข้าวก็รู้สึกเหม่อลอยนิดหน่อย ตอนนี้ถึงแม้จะถูกหลินฉีเรียกไปหา เธอก็ยังคงมึนงงอยู่บ้าง

 

 

เรื่องเมื่อตอนกลางวันเธอยังไม่ทันได้สติ

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ฉินหร่านยังเด็ก หนิงฉิงก็ไม่ค่อยสนใจเธอสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าฉินหร่านจะซ่อมกล้องวงจรปิดได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจและไฮเทคมากในสายตาของหนิงฉิง

 

 

ตอนที่หลินฉีถามเธอ เธอก็พูดเรื่องอะไรบางอย่าง

 

 

“กู้ไฟล์วงจรปิดได้” หลินฉีผงะแล้วพูด “เธอเคยเรียนคอมพิวเตอร์เหรอ”

 

 

“น่าจะเป็นอย่างนั้นมั้ง” หนิงฉิงนึกอะไรบางอย่างออก “พ่อของฉัน ตาของหรานหร่านเป็นโปรแกรมเมอร์เก่า เธอคงจะหลงใหลตามตาของเธอ”

 

 

“เข้าใจแล้ว” หลินฉีพยักหน้า กุมขมับอย่างเหนื่อยล้า แล้วปล่อยหนิงฉิงออกไป

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็โทรหาหลินหว่านเพื่อพูดเรื่องนี้

 

 

“คุณเฉิงคนนั้นเขาเป็นใคร ในจิงเฉิงมีมหาเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง” หลินหว่านยืนอยู่ในส่วนดอกไม้ อยู่ดีๆก็นึกถึงครอบครัวเฉิง เธอระลึกถึงก่อนที่จะยิ้ม “แต่ว่าคนพวกนั้นไม่มีทางไปไกลจากบ้าน ช่างเถอะ พี่ชาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำแบบนี้” หลินฉีเงียบ

 

 

“เธอลองเลือกมาสิ” ตั้งแต่เรื่องครั้งที่แล้วหลินหว่านก็ไม่ค่อยชอบฉินหร่านสักเท่าไหร่ “ถ้าอย่างนั้นคนแซ่เฉิง คงเป็นคนที่ฉินหร่านพามา เด็กสาวก็อายุไม่น้อยแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง สุดท้ายก็ยกเรื่องนี้มาพูดต่อหน้า แต่คงเป็นเพราะอายุน้อย ก็เลยไม่เหลือหนทางไว้ให้ตัวเองเลย”

 

 

ฉินอวี่เป็นคนของครอบครัวหลิน แล้วก็มีเธอเป็นที่พึ่งตอนที่อยู่ในจิงเฉิง ต่อมาปรมาจารย์เว่ยหลินเห็นว่าเธอนั้นมีความสามารถอยู่ไม่น้อย

 

 

ส่วนฉินหร่าน หลินหว่านรู้ว่าเธอมีคะแนนที่ไม่ค่อยจะดีนัก และก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนไวโอลิน บนตัวเธอนั้นก็มีเพียงแค่หน้าตาเท่านั้นที่ดูดี อนาคตของเธอเทียบไม่ได้กับฉินอวี่เลย สถานการณ์ไม่ดีแน่นอน

 

 

ถ้าฉินหร่านฉลาดมากพอ ชวดโอกาสที่หาประโยชน์จากครอบครัวหลิน เธอจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อฉินอวี่

 

 

หลินหว่านไม่อยากรู้เรื่องของฉินหร่าน “ตอนนั้นได้ยินอวี่เอ่อร์บอกว่าฉินหร่านก็เรียนไวโอลินเหมือนกันไม่ใช่หรอ ฉันเคยถามคุณท่านว่า ปรมาจารย์เว่ยหลินไม่มีทางรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์แน่นอน แต่ถ้าหากหาครูสอนไวโอลินคนอื่นๆก็คงไม่มีปัญหา แต่ว่าช่วงนี้เธอก็ลองให้ฉินหร่านไปเรียนไวโอลินกับอวี่เอ่อร์ดู ครูพวกนั้นไม่ได้เป็นถึงผู้ชำนาญขนาดนั้น ไม่ว่าใครก็รับเป็นศิษย์หมดแหละรับ็

 

 

 

 

 

 

 

 

**

 

 

ไม่ไกลจากบ้านครอบครัวหลิน

 

 

ตอนที่เฉิงมู่กลับมา ลู่จ้าวอิ่งก็กำลังยืนอยู่ข้างๆรถ สีหน้าดูอึมครึมมาก เขาเตะไปที่รถอย่างรุนแรง

 

 

เขามองไปที่เฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ในรถ “ทำไมนายถึงเอาเธอมาส่งไว้ที่บ้านหลินล่ะ ไม่ทำให้พวกเขาคลั่งแล้วหรอ”

 

 

ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งไม่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนไปหาผู้อำนวยการสวีเพราะเรื่องของฉินหร่าน

 

 

รอให้เฉิงมู่ไปที่บ้านครอบครัวหลิน เขาถึงได้คำตอบจากเฉิงเจวี้ยน

 

 

ก็เลยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในหอประชุมวันนี้กับฉินหร่าน

 

 

ดูจากลักษณะที่เขาปกป้องฉินหร่านขนาดนั้น เขาอยากที่จะย้อนเวลากลับไป ไปที่ห้องแต่งตัวและฆ่าทุกคนซะ

 

 

“นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว” ประตูรถด้านหลังเปิดออก เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ลงจากรถ เขาพิงเบาะรถไว้ ตอนนี้ดูค่อนข้างที่จะผ่อนคลาย ไม่รีบไม่ร้อน “จะต้องให้พวกเขาเป็นคนเลือก”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ค่อยได้สืบเรื่องของฉินหร่าน แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าพ่อเลี้ยงและพี่ชายของเธอเป็นนั้นคนดี แต่ทั้งแม่และน้องสาวค่อนข้างจะแย่

 

 

เมื่อหลินจิ่นเซวียนและหลินฉีพัวพันอยู่ตรงกลาง มันเป็นเรื่องยากสำหรับฉินหร่านที่จะแยกออกจากพวกเขาจริงๆ

 

 

ตอนนี้มันเป็นสถานการณ์วิกฤต บังคับให้คนในครอบครัวหลินเลือกหนึ่งในสอง

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดรายละเอียด ลู่จ้าวอิ่งใช้เวลานานถึง10นาทีถึงจะเข้าใจ สุดท้ายเขาก็หันไปทางเฉิงเจวี้ยน “คนที่โหดเ**้ยมที่สุดก็คือนายเฉิงเจวี้ยน”

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองไปที่เขา ก่อนที่จะมองข้ามไป

 

 

เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง เปิดกระจกรถ ก่อนที่จะหยิบบุหรี่ขึ้นมา ในแววตาของเขาดูว่างเปล่า “กลับกันเถอะ”

 

 

**

 

 

วันถัดมา

 

 

วิชาทบทวนบทเรียนในช่วงบ่าย

 

 

มือทั้งสองข้างของเกาหยางไขว้อยู่ด้านหลัง เขาเดินไปตรงหน้าฉินหร่าน เคาะไปบนโต๊ะของเธอ บอกให้เธอไปที่ทางเดินก่อนที่จะพูดชื่นชมเธอ

 

 

“ฟังครูสอนฟิสิกส์ของเธอพูดมาว่า เธอสอบได้เกือบ 40 คะแนน มีพัฒนาการที่ดีมาก ”เกาหยางมองไปตรงหน้า น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นมิตรมาก “อีก 7 เดือนก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ครูเชื่อว่าเธอจะสอบติดมหาลัยที่มีชื่อในประเทศ”

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงที่ในมือถือหนังสือเดินผ่านมา เมื่อได้ยินแบบนี้ก็เบื่อที่จะบ่น

 

 

40 คะแนนก็สมควรที่จะได้รับคำชม

 

 

เธอยิ้มแบบไม่สุดมองไปทางเกาหยาง “อาจารย์หลี่อ้ายหรง ฉันคิดว่าคุณควรจะเห็นว่าคะแนนเฉลี่ยของชั้นเรียนของคุณลดลงอย่างไรบ้าง ระวังตอนสอบกลางภาคจะได้คะแนนที่สุดท้ายล่ะ”

 

 

หลังจากพูดจบ เธอไม่รอให้เกาหยางได้ตอบโต้ หลี่อ้ายหรงก็เดินจากไปทันที

 

 

อดไม่ได้ที่จะดีใจ โชคดีที่ทนแรงกดดันของครูใหญ่ได้ในตอนแรก ไม่อย่างนั้นเงินรางวัลและรางวัลครูดีเด่นของปีหน้าเธอก็คงจะไม่ได้รับ

 

 

เกาหยางยังคงยิ้ม เขาค่อนข้างที่จะอ้วน มันทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร

 

 

ไม่ได้สนใจหลี่อ้ายหรงเลย

 

 

“ช่างเถอะ รักษามาตรฐานไว้นะ พยายามต่อไป ไปที่ห้องพักผ่อนเถอะ คุณอาของเธอมาหาน่ะ” เกาหยางทำท่ายื่นมือไป

 

 

ให้ฉินหร่านไปที่สำนักงาน

 

 

ฉินหร่านอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เกาหยาง

 

 

“ทำไมล่ะ” เกาหยางสังเกตเห็นสายตาของเธอ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้ม “ยังมีเรื่องอะไรที่จะถามอาจารย์อีกไหม”

 

 

“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านส่ายหน้าก่อนตอบช้าๆ

 

 

เธอเดินไปที่ห้องสำนักงาน

 

 

ก่อนที่จะมาในห้องพักผ่อน เธอคิดว่าน่าจะเป็นเฟิงโหลวเฉิงหรือไม่ก็ผู้บัญชาการเฉียน….ไม่ก็อาจจะเป็นคนอื่นที่มาหาเธอ

 

 

แต่เธอคิดไม่ถึงเลย ว่าคนที่มาหาเธอจะเป็นหลินฉี

 

 

“คุณอาหลิน” ฉินหร่านค่อยๆเดินเข้ามา ก่อนที่จะพูดออกด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน

 

 

วันนี้เธอแต่งตัวสวมชุดนักเรียนอย่างเรียบร้อย ท่อนล่างใส่กางเกงสีดำ วันนี้เธอดูเชื่อฟัง

 

 

หลินฉีจ้องมองไปที่ดวงตาของเธอ เขาชะงักไป ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่อามาหาหนูวันนี้ ก็เพื่อจะมาขอโทษ และมาพูดเรื่องบางอย่างกับหนู”

 

 

ฉินหร่านเคารพหลินฉีมาก เธอดันเก้าอี้ไปข้างหน้าเพื่อให้หลินฉีนั่ง “เชิญพูดค่ะ”

 

 

“ก็คือ อาอยากรู้ว่าหนูยังคิดเรื่องไวโอลินอยู่ไหม แม่ของหนูบอกว่าหนูเหมือนกับน้องสาว มีความสามารถด้านไวโอลินทั้งคู่” หลินฉีครุ่นคิดก่อนที่จะพูดว่า “อาอยากจะส่งหนูไปเรียนไวโอลินที่อวิ๋นเฉิง คุณครูที่ที่อวิ๋นเฉิงค่อนข้างที่จะเข้มงวด ถ้าหากว่าหนูสนใจ หนูก็ลองไปสอบดู แน่นอนว่า ถาหนูยอมไป อาจะให้อวี่เอ่อร์สอนหนูก่อนสักสองสามวัน ได้ข่าวมาว่าคุณท่านค่อนข้างที่จะชอบบทประพันธ์ของเธอ”

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ!

 

 

ฉินหร่านคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป เธอจับไปที่หู ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน “คุณอาหลิน เมื่อกี้นี้คุณอาพูดว่าอะไรนะคะ หนูได้ยินไม่ชัด”

 

 

เมื่อครู่นี้หลินฉีพูดอะไรไปนะ จะให้เธอไปเรียนไวโอลินกับฉินอวี่