ตอนที่ 106 ใครบอกเธอว่าฉันจะไปพึ่งตระกูลหลิน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หลินฉีพูดย้ำอีกครั้ง

 

 

จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้านิ่งไปชั่วขณะ

 

 

หลินฉีนึกย้อนไป เมื่อกี้หลินฉีพูดถึงเรื่องไวโอลิน จึงทำให้ฉินหร่านมีสีหน้าท่าทางแบบนี้?

 

 

ผ่านไปหนึ่งนาที ฉินหร่านถึงได้สติกลับมา ก่อนเอ่ยปากพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่ดีกว่าค่ะ”

 

 

ตอนเธอเล่นไวโอลิน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินอวี่ไปอยู่ที่ไหน

 

 

หลินฉีเงยหน้ามองฉินหร่าน และรู้สึกประหลาดใจในคำตอบของเธอ

 

 

เขาไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะเลือกวิธีนี้

 

 

“เห็น…แม่หนูบอกว่า หนูพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ครอบครัวหลินก็มีอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อยู่ไม่น้อย หนูลองไปทำงานที่บริษัทดูได้นะ” หลินฉีพูดเสนออีกทาง

 

 

“ขอบคุณคุณอานะคะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” ฉินหร่านปฏิเสธอีกครั้ง

 

 

“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธกันเลย นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วนะ” หลินฉีนิ่งไปพักใหญ่ด้วยสีหน้าสับสน “อาให้เวลาหนูไปคิดสองสามวัน ถ้าหนูเปลี่ยนใจมาเลือกวิธีนี้ ก็โทรหาอาได้เลยนะ”

 

 

พูดจบ หลินฉีก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ เธอได้ยื่นมือไปรับอย่างช้าๆ

 

 

หลินฉีช่างพูดช่างคุยเมื่ออยู่กับลูกค้า แต่พออยู่กับผู้หญิงตรงหน้าที่เอามือล้วงกระเป๋าอยู่ข้างหนึ่ง เอาแต่ก้มหน้าก้มตา และท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ของเธอ ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องอะไร

 

 

เขาหยิบมือถือเดินลงบันไดไป

 

 

ที่ชั้นล่างนั้น อาจารย์หลี่อ้ายหรงที่เฝ้าดูนักเรียนห้องหนึ่งจากหน้าต่างห้องเรียนเห็นหลินฉีกำลังเดินลงมา จึงหรี่ตาลง เพราะรู้สึกคุ้นหน้ามาก

 

 

**

 

 

ฉินหร่านกลับไปที่ห้องเก้า วิชาทบทวนหนังสือช่วงบ่ายกำลังจะหมดชั่วโมงแล้ว

 

 

เฉียวเซิงที่สลับที่นั่งกับเพื่อนข้างหน้า เห็นฉินหร่านกลับมา ก็นั่งเอียงตัวหันกลับมาถามด้วยเสียงเบาว่า “อาจารย์เรียกเธอไปทำไมเหรอ?”

 

 

ฉินหร่านโยนนามบัตรลงบนโต๊ะ ก่อนพิงกำแพงอย่างขี้เกียจ “บอกให้ฉันตั้งใจเรียนน่ะ”

 

 

พอพูดถึงเรื่องการเรียนของฉินหร่าน เฉียวเซิงก็หัวเราะในใจ “เขาเนี่ยนะบอกให้เธอตั้งใจเรียน”

 

 

เฉียวเซิงรู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา เขาหยุดคุยเล่นกับคนข้างหน้า แล้วกลับมาถามฉินหร่านอย่างสงสัยว่าอาจารย์เกาหยางได้พูดอะไรอีกไหม

 

 

พอถามไปได้สักพัก เขาสังเกตเห็นนามบัตรที่ถูกฉินหร่านโยนทิ้งไว้ใกล้ๆ พอหยิบขึ้นมาดูก็ถึงกับอึ้ง จึงถามด้วยเสียงเบาอีกว่า “หลินฉีมาหาเธอเหรอ”

 

 

“อืม” ฉินหร่านค่อยๆควานหาหนังสือที่อยู่ในเก๊ะ

 

 

“เขามาหาเธอทำไม”

 

 

ฉินหร่านจึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ

 

 

“เดี๋ยวนะ เธอเคยเรียนไวโอลินเหรอ?”เฉียวเซิงที่อึ้งอยู่ถามต่อ “ ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้ และไม่เคยเห็นเธอเล่นล่ะ”

 

 

“เคยเรียนตอนเด็กๆ น่ะ” ฉินหร่านเอามือเท้าคาง แล้วพูดอย่างราบเรียบ

 

 

เฉียวเซิงเมื่อเห็นท่าทีของเธอตอนนี้ จึงนึกเองเออว่าเธอคงเล่นไวโอลินไม่เก่งหรอก

 

 

เพราะเธอไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ถ้าเธอเล่นเก่งจริงๆ ไม่มีทางที่เธอจะไม่บอกหรอก

 

 

“แล้วทำไมเธอไม่ตกลงไปล่ะ” เฉียวเซิงเอามือวางไว้ที่โต๊ะข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็หยิบหนังสือภาษาอังกฤษมาบังหน้าไว้ แล้วค่อยๆ หันหลังกลับมา “อันที่จริงที่อาหลินพูดก็ถูกนะ ดีกว่าให้เธอไปหางานที่อื่นทำตั้งเยอะ แบบนี้เธอกับครอบครัวหลินก็จะได้มีสัมพันธภาพที่ดีด้วย อาหลินก็แค่ยอมก้าวออกมาก้าวหนึ่งน่ะ”

 

 

เฉียวเซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ อีกอย่างนะ เธอปฏิเสธเขาไปอย่างนั้นแล้วต่อไปจะทำยังไง ครอบครัวหลินค่อนข้างมีหน้ามีตาในอวิ๋นเฉิงเลยละ เธอทำแบบนี้ แล้วจะให้อาหลินคิดยังไง”

 

 

ที่เฉียวเซิงพูดมันก็ฟังดูมีเหตุผล

 

 

ตอนนี้ฉินหร่านเป็นลูกบุญธรรมของหลินฉี ปากบอกว่าเป็นลูกบุญธรรม แต่ความจริงคือเทียบกับฉินอวี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉินอวี่เติบโตมาในบ้านนั้น ไม่ว่ายังไงคนในบ้านก็ต้องรักฉินอวี่มากกว่าอยู่แล้ว

 

 

เธอจะอยู่ในอวิ๋นเฉิงได้อย่างไม่มีปัญหาเลย ถ้ามีชื่อของครอบครัวหลินคอยคุ้มครองอยู่ โดยเฉพาะคนธรรมดาอย่างฉินหร่าน

 

 

ข้อเสนอของหลินฉีทั้งสองทาง ก็คิดในมุมของฉินหร่านเผื่อไว้แล้ว และดูเหมือนว่าเฉียวเซิงก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร

 

 

ฉินหร่านไม่รู้ว่าเฉียวเซิงคิดเยอะขนาดนี้ เธอพลิกหน้าหนังสือก่อนมองเฉียวเซิงแล้วพูดพลางหัวเราะว่า “ใครบอกนายว่าฉันจะอยู่ที่อวิ๋นเฉิง และไปพึ่งครอบครัวหลินด้วย”

 

 

เฉียวเซิงชะงักไป ใจเต้นตึกตัก ราวกับถูกจับได้ว่าทำผิดอย่างไรอย่างนั้น “เดี๋ยวๆ เธอพูดว่ายังไงนะ”

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ “เปล่านี่”

 

 

เฉียวเซิงพูดต่อ “อย่ามาทำเหมือนเธอฉลาดกว่าฉันนะ…”

 

 

เธอสอบได้คะแนนไม่ถึงหนึ่งในสามของฉันด้วยซ้ำ

 

 

แน่นอนว่าประโยคหลังเขาทำได้แค่พูดในใจ

 

 

**

 

 

วันต่อมา ในเวลาเลิกเรียน

 

 

ฉินหร่านกับหลินซือหรานกำลังเตรียมตัวไปร้านหนังสือที่ศูนย์การค้ากลางเมืองหลังเลิกเรียน

 

 

อาจารย์หลี่อ้ายหรงสั่งการบ้านในหนังสือแบบฝึกหัดที่ออกใหม่ และจะสุ่มให้อธิบายคำตอบในวันพรุ่งนี้

 

 

“ฉันต้องต่อรถอีกคันน่ะ”ฉินหร่านเอามือถือแนบหู คุยสายกับเฉิงเจวี้ยนอยู่และเดินลงรถประจำทางไป “รอฉันอีก 20 นาทีนะ”

 

 

เธอกับหลินซือหรานต้องเดินผ่านมุมตลาดก่อนถึงอีกสถานีหนึ่ง

 

 

หลินซือหรานที่เดินนำหน้าหยุดเดินอย่างเฉียบพลัน

 

 

ฉินหร่านกดวางสาย เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นกลุ่มผู้ชายรูปร่างกำยำประมาณ 7-8 คน

 

 

และนี่ก็กำลังจะเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว ซึ่งอาการไม่ได้ร้อนขนาดนั้น คนทั่วไปก็ต้องหาเสื้อนอกใส่สักตัวหนึ่ง

 

 

แต่ชายกำยำกลุ่มนี้ใส่แค่เสื้อกล้าม แถมโผล่ให้เห็นลายสักยันต์ที่แขนกับอกด้วย ช่างดูโหดเ**้ยมและน่ากลัว

 

 

ในมือก็ถือมีดกับท่อนเหล็ก ดูก็รู้ว่าเป็นอันธพาล

 

 

หลินซือหรานหยุดเดิน และถอยหลังมาก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

 

 

หันมามองฉินหร่านอย่างตกใจกลัว

 

 

“นายน้อยของเราเชิญให้ไปพบหน่อยน่ะ” คนที่เป็นหัวหน้ากัดบุหรี่พูด และมองชุดของฉินหร่านก่อนพูดต่อ “เด็กจากโรงเรียนอีจงนี่นา เป็นเด็กเรียนสินะ”

 

 

ฉินหร่านเก็บมือถือลงในกระเป๋า แล้วมองนักเลงพวกนั้น ก่อนพูดด้วยเสียงเบาอย่างราบเรียบ “แต่ฉันไม่อยากเจอ ขอทางหน่อย ขอบคุณ”

 

 

เธอเห็นหลินซือหรานตกใจกลัว ก็ยื่นมือไปแตะบ่าก่อนที่จะตบเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนเธอ

 

 

“รถจอดอยู่แค่ปากซอยตลาดข้างหน้าน่ะ” ผู้ชายคนเดิมก้าวเดินออกมาแล้วชี้ไปที่รถสปอร์ตที่จอดอยู่หน้าตลาด ด้วยท่าทีที่ข่มขู่

 

 

ฉินหร่านมองขึ้นไปข้างบน ก่อนถูข้อมือไปมา แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “สงสัยจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องสินะ”

 

 

**

 

 

ณ ร้านหนังสือในศูนย์การค้ากลางเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ร้านหนังสือครอบคลุมไปเกือบทุกชั้นของห้าง

 

 

เฉิงมู่ถือโทรศัพท์ยืนอยู่ข้างชั้นหนังสือ และกำลังคุยกับคนในสายอยู่ “ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง129เท่าไรหรอก เพราะเพิ่งมาอวิ๋นเฉิงได้ไม่นาน คุณไปถามคุณชายลู่ดีกว่า”

 

 

ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไรบ้าง

 

 

เฉิงมู่ถึงกับตึงไปทั้งหน้า และเงยมองไปทางเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่หน้าชั้นวาง และกำลังเลือกหาหนังสือทบทวนสำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่อยู่บนชั้นอย่างตั้งใจ ถ้าหากพบเจอก็จะหยิบออกมาอ่านบ้าง

 

 

เขาอ่านอยู่เงียบๆ อย่างตั้งใจ ที่ชั้นวางใกล้ๆ ก็มีผู้หญิงหลายคนเดินไปมาอยู่นานแล้ว และยังไม่ยอมไปไหนเสียที

 

 

“ท่านเจวี้ยนทำอะไรอยู่เหรอ” เฉิงมู่ลูบหน้าก่อนพูดอย่างหมดสภาพว่า “คุณจิน เชื่อเถอะ ว่าคุณไม่ได้อยากรู้หรอก”

 

 

เฉิงมู่พูดสายอยู่นาน กว่าจะวางหูได้

 

 

จากนั้นหยิบตะกร้าขึ้นมา และเดินตามเฉิงเจวี้ยนอย่างนอบน้อม พร้อมคอยรับเอาหนังสือที่เฉิงเจวี้ยนเลือกใส่ลงตะกร้า

 

 

เฉิงมู่มองดูหนังสือที่อยู่ในตะกร้า

 

 

เขาคิดในใจ ใครจะไปรู้ว่าผู้ที่โด่งดังและไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อย่างคุณชายเฉิงแห่งจิงเฉิง จะมาอยู่ในร้านหนังสือของอวิ๋นเฉิงในตอนนี้ เพื่อเลือกหนังสือเตรียมสอบให้คนอื่นน่ะ

 

 

“เฉิงจินเหรอ” เฉิงเจวี้ยนวางหนังสือลงในตะกร้า ก่อนจะหันมาถาม

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า “เขามาสืบเรื่องแก๊งหมาป่าน่ะ หลังจากที่แก๊งหมาป่ารับคำสั่งจากเราครั้งก่อน ก็สร้างปัญหาให้จิงเฉิงไม่น้อย”

 

 

“เขารับคำสั่งจากเราคนเดียวเหรอ” เฉิงเจวี้ยนหันกลับมา สีหน้าดูปกติ

 

 

“เฉิงจินบอกว่า หลังจากที่แก๊งหมาป่าหนีไปกบดานอยู่ปีหนึ่ง เขาก็กลับมารับคำสั่งจากเรา” เฉิงมู่พูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงว่า “ตอนนี้ที่จิงเฉิงมีคนสืบเรื่องเราไม่น้อยเลย”

 

 

แต่ 129 รักษาความลับได้ดี จึงยังไม่มีความลับที่แพร่งพรายออกไป

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

เขาหยิบหนังสือเตรียมสอบมาอีกเล่ม เปิดดูสารบัญกับเนื้อหา ไฟในร้านสว่างมากพอ ไม่ได้ทำให้แสบตาแต่อย่างใด แต่กลับส่องให้นิ้วเรียวขาวของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น

 

 

เขาหรี่ตาอ่านหนังสืออย่างใจลอย ท่าทางที่ดูขี้เกียจ กลับเต็มไปด้วยความเป็นผู้ดีที่ให้ความรู้สึกห่างเหิน

 

 

นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้

 

 

เฉิงเจวี้ยนรออยู่ได้ไม่นาน ฉินหร่านกับหลินซือหรานก็มาถึงแล้ว

 

 

“หนังสือสองเล่มนั้นฉันหยิบมาให้พวกเธอแล้วนะ” เฉิงเจวี้ยนสั่งให้เฉิงมู่เอาตะกร้าให้ฉินหร่านดู ก่อนพูดต่ออีกว่า “ฉันหยิบหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ด้วย”

 

 

ฉินหร่านมองจ้องไปที่หนังสือ “คณิตศาสตร์เพิ่มเติม” ที่วางอยู่บนสุดในตะกร้า เธอนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนพูดอย่างเหนื่อยใจว่า “อืมได้”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเดินดูในร้านจนได้หนังสือครบแล้ว จึงหันตัวมาถามเธอสองคนว่า “ยังมีหนังสืออย่างอื่นที่ต้องการอีกไหม”

 

 

ระหว่างถาม เขามองมาที่ฉินหร่านโดยอัตโนมัติ เขาจึงสังเกตเห็นว่าเสื้อเธอมีรอยยับเล็กน้อย

 

 

“ซือหรานยังมีหนังสือที่ต้องการอีกสองเล่ม นายรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันไปส่งเพื่อนเอง” ฉินหร่านไม่ให้เฉิงเจวี้ยนตามมาด้วย

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่ดูเหินห่าง ก็ทำให้หลินซือหรานทำตัวไม่ถูกเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ แค่เห็นเขาก็รู้สึกอึดอัดมากๆ

 

 

“ได้ เดี๋ยวฉันไปรอที่เคาน์เตอร์นะ” เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า ก่อนเดินจากไปพร้อมกับเฉิงมู่

 

 

เฉิงมู่วางตะกร้าลงบนเคาน์เตอร์ แต่ยังไม่ได้ให้คิดเงิน รอให้หลินซือหรานกับฉินหร่านมาก่อน

 

 

“เฉิงมู่ หาวิธีไปถามหลินซือหรานหน่อย” เฉิงเจวี้ยนทิ้งตัวพิงบนเคาน์เตอร์ เอามือมาปิดที่ปาก ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ระหว่างทางมาที่นี่เกิดอะไรกับพวกเธอหรือเปล่า”

 

 

“ได้” เฉิงมู่พยักหน้ารับคำสั่งอย่างไม่มีความสงสัยใดๆ

 

 

**

 

 

ส่วนฉินหร่านกับหลินซือหรานนั้น

 

 

หลังจากเดินดูหนังสือได้พักหนึ่ง หลินซือหรานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “หรานหร่านเธอกับคุณเฉิงเป็นอะไรกันเหรอ”

 

 

ฉินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เขาเป็นเจ้านายฉันน่ะ”

 

 

หลินซือหราน “……” เธอรู้สึกไม่ค่อยเชื่อ

 

 

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

หลินซือหรานหยิบหนังสือที่ต้องการมาสองเล่ม ฉินหร่านก็หยิบหนังสือภาษาต้นฉบับมาด้วยสองสามเล่ม

 

 

แน่นอนว่าคุณชายเฉิงไม่มีทางชำระเงินด้วยตัวเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเฉิงมู่ที่ทั้งดูเซ่อซ่า และซื่อบื้อ

 

 

ไม่อย่างนั้น เฉิงเจวี้ยนก็คงไม่พาเขามาทำงานต่างถิ่นด้วยแค่คนเดียวหรอก

 

 

เฉิงมู่รับเอาหนังสือจากฉินหร่านและหลินซือหราน ก่อนชำระเงินด้วยกันทั้งหมด

 

 

ระหว่างที่ยื่นหนังสือที่เหลือให้พนักงานคิดเงิน เฉิงมู่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง

 

 

เขาดูออกในทันที ว่านี่เป็นหนังสือภาษา d เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัย วิชาโทของเฉิงจินก็คือภาษา d เฉิงมู่พออ่านภาษา d ได้ จึงรู้ว่านี่เป็นหนังสือบทกลอนฉบับแปลจากภาษา d

 

 

เล่มที่เหลือยังมีหนังสือภาษาต้นฉบับจากภาษาอังกฤษด้วย

 

 

“คุณหนูฉิน เธอหยิบหนังสือผิดหรือเปล่า” เฉิงมู่หยิบหนังสือพวกนั้นออกมา ก่อนหันมาถามฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านมองหนังสือพวกนั้น ก่อนตอบว่า “ถูกแล้วละ ฉันต้องการสามเล่มนี้แหละ”

 

 

“อืม” เฉิงมู่พยักหน้า เขาไม่ใช่คนเซ้าซี้อะไร

 

 

แค่คิดในใจว่าคงมีคนฝากฉินหร่านซื้อ หรือไม่ก็แค่เอามาโชว์ให้ดูเล่นๆ

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น

 

 

ห้องอาหารร้านหนึ่งในอวิ๋นเฉิง

 

 

“คุณเฟิง นี่คือข้อเสนอของทางเรา” ชายชราที่หน้าตาดูอบอุ่นภายใต้ ดวงตาขุ่นมัวของเขาแฝงไว้ซึ่งความสดใส เขายื่นแฟ้มให้คนตรงหน้า “ ลองอ่านดูสิ”

 

 

ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามใส่สูทสีดำ ผมสั้นเทียบหู การแต่งตัวและท่าทางของเธอ ช่างดูเป็นคนเอาจริงเอาจังและวางท่าด้วย

 

 

เธอก็คือน้องสาวของเฟิงโหลวเฉิง เฟิงโหลวหลานนั่นเอง

 

 

เธอเอามือวางไว้บนแฟ้ม แต่ไม่ได้เปิดดู ก่อนเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “คุณท่านหลิน คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันคุยกับลูกชายคุณแล้วเมื่อสองวันก่อน ธุรกิจมากมายในอวิ๋นเฉิง ฉันอยากทำแค่ธุรกิจของบ้านครอบครัวหลิน…”

 

 

ในขณะที่คุยกันอยู่

 

 

มีเสียงเคาะประตูดัง “ตึง ตึง”

 

 

คนที่เข้ามาคือเลขาของเฟิงโหลวหลาน เธอเดินเข้ามาพร้อมมือถือส่วนตัวของเฟิงโหลวหลานด้วยสีหน้าตกใจ

 

 

เลขาของเฟิงโหลวหลานถูกคัดมาอย่างดี และเธอก็ทำงานกับเฟิงโหลวหลานมานานนับสิบปี ซึ่งเฟิงโหลวหลานค่อนข้างไว้วางใจเลย และโดยปรกติแล้ว เธอไม่มีทางวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในเวลาคุยงานแบบนี้แน่

 

 

“ขออภัยค่ะ” เฟิงโหลวหลานกล่าวขอโทษต่อคุณท่านหลิน

 

 

คุณท่านหลินยกแก้วชาขึ้นมา แล้วพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

“คุณเฟิง” เลขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยื่นมือถือให้เฟิงโหลวหลาน “ตอนนี้คุณชายเฉียนเข้าโรงพยาบาล!”

 

 

เสียงครืดคราดดังขึ้น

 

 

เฟิงโหลวหลานรีบลุกขึ้น และสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปในทันที “อะไรนะ”

 

 

เธอรีบคว้ากระเป๋าแล้วออกจากห้องอาหารไป

 

 

คุณท่านหลินที่เพิ่งคุยงานด้วย นึกจะกลับตอนนี้ก็รู้สึกไม่เหมาะสม จึงตามไปที่โรงพยาบาลด้วย

 

 

**

 

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

 

คนในบ้านครอบครัวหลินทั้งหมดนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ซึ่งสองสามวันมานี้ก็ดูเงียบกันเป็นพิเศษ

 

 

หนิงฉิงใจลอย และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

เสียงโทรศัพท์จากห้องนั่งเล่นดังขึ้นมา

 

 

เป็นเรื่องน่าแปลกที่มีสายโทรเข้าโทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติแล้วมีคนโทรเข้ามาน้อยมาก เพราะทุกคนก็มีมือถือเป็นของตัวเอง

 

 

ป้าจางเช็ดมือเมื่อเห็นว่ามีสายโทรเข้ามา ก่อนรับสายด้วยความนอบน้อม “ค่ะ คุณท่าน”

 

 

ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร แต่สีหน้าป้าจางก็เปลี่ยนไป