ตอนที่ 107 คนที่แตะต้องไม่ได้

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“เป็นอะไร” หลินฉีหยิบตะเกียบแล้วชำเลืองมองมาทางนี้

 

 

ป้าจางขมวดคิ้ว น้ำเสียงแสดงความเคารพเมื่อพูดกับหลินฉี “เป็นคุณท่านค่ะ ฉันฟังน้ำเสียงเหมือนกังวลมากเลย……”

 

 

พอได้ยินว่าเป็นคุณท่าน หลินฉีวางตะเกียบในมือลง สีหน้าจริงจัง

 

 

หลังจากรับโทรศัพท์จากป้าจาง หลินฉีก็พูดกับคุณท่านหลินสองประโยค

 

 

“จิ่นเซวียนขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อข้างบน ออกไปข้างนอกกับพ่อหน่อย” หลินฉีวางสายโทรศัพท์แล้วพูดอย่างจริงจัง

 

 

เพิ่งทานข้าวไปแค่ครึ่งเดียวก็ต้องหยุดทาน หลินจิ่งเซวียนรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามขณะขึ้นไปชั้นบน “ พ่อ เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“ลูกชายของประธานเฟิงอยู่ที่โรงพยาบาล” หลินฉีขมวดคิ้ว

 

 

เฟิงโหลวหลานต้องการขยายธุรกิจ มีกี่ตระกูลในอวิ๋นเฉิงที่จ้องเนื้อชื้นนี้ของเธออยู่ ไม่ง่ายเลยที่ตระกูลหลินจะได้รับโอกาสในการร่วมมือนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้จะผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวไม่ได้

 

 

เฉียนจิ่นอวี้ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลก็ควรจะไปเยี่ยมเสียหน่อย

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็มาถึงโรงพยาบาล

 

 

คุณท่านหลินอยู่ที่ทางเดิน ยังมีคนที่มีชื่อเสียงในวงการอีกมากบนทางเดิน ต่างพูดคุยทักทายกันดูเหมือนสนิทสนมกันแต่ก็ไม่ใช่

 

 

“พ่อ นี่มันเรื่องอะไร” หลินฉีเดินเข้ามาใกล้กดเสียงต่ำ

 

 

คุณท่านหลินเหลือบมองไปที่ห้องผู้ป่วย ดวงตาขุ่นแฝงไปด้วยความลับ “คุณชายเฉียนคนนั้นน่ะถูกคนทำร้ายที่อวิ๋นเฉิง พวกเรากับตระกูลเฟิงยังไม่ได้เซ็นสัญญากัน”

 

 

“ถูกคนทำร้ายที่อวิ๋นเฉิง?” หลินจิ่งเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ใครมันช่างกล้าขนาดนั้น กล้าทำร้ายเขาในอาณาเขตของบ้านเฟิง

 

 

ไม่ต้องพูดถึงทางด้านเฟิงโหลวหลานเลย มีเพียงเฟิงโหลวหลานผู้หญิงบ้าคนนี้ ในอวิ๋นเฉิงก็ไม่มีใครกล้าหือด้วย 

 

 

คุณท่านหลินส่ายหน้า ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ “ที่ถูกทำร้ายพร้อมกับเขาก็มีนักเลงอีกสองสามคน”

 

 

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน ประตูของห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก

 

 

ไม่ใช่เฟิงโหลวหลานที่ออกมา แต่เป็นผู้ช่วยของเฟิงโหลวหลาน

 

 

คนกลุ่มหนึ่งรีบกรูเข้าไปทันที

 

 

หลังจากผู้ช่วยของเฟิงโหลวหลานทักทายกับทุกคนเสร็จ จึงมองมาทางคุณท่านหลินแล้วชะงักไป “ประธานหลิน ไม่ทราบว่าพวกคุณพอจะรู้จักคน ๆ หนึ่งไหมคะ”

 

 

สีหน้าของเธอแปลกไป

 

 

คุณท่านหลินแปลกใจ “ว่ามาสิ”

 

 

“เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อฉินหร่าน จากอีจง ” ผู้ช่วยของเฟิงโหลวหลานหรี่ตามอง

 

 

คุณท่านหลินอยากจะบอกไม่รู้ก็เห็นหลินฉีที่อยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เธอเป็นอะไร”

 

 

“ไม่ปิดบังพวกคุณแล้วกันนะคะ เมื่อกี้ฉันได้ยินประธานเฟิงคุยโทรศัพท์ว่าเธอทำให้คุณชายเฉียนเข้าโรงพยาบาล” เธอโค้งศีรษะให้หลินฉีแล้วจากไป

 

 

สีหน้าของหลินฉีหมองลงเล็กน้อย

 

 

 

 

คุณท่านหลินหรี่ตามองหลานชาย “แล้วฉินหร่านเป็นใครล่ะ”

 

 

หลินฉีแยกออกมาจากตระกูลหลินเมื่อไม่กี่ปีก่อน

 

 

ตอนที่หนิงฉิงพาฉินหร่านกลับมาก็ได้รายงานกับหลินฉีไปแล้ว แต่ทางคุณท่านกลับไม่ได้เคยบอก

 

 

ที่จริงแล้วฉินหร่านก็ไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไร หลินฉีรายงานเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับคุณท่านได้ที่ไหน จนถึงตอนนี้คุณท่านก็ไม่รู้จักฉินหร่านด้วยซ้ำ

 

 

ฟังหลินฉีอธิบายจบสีหน้าของคุณท่านหลินก็หมองลง

 

 

“ฉินหร่านนั่น ฟังแล้วดูจะไม่เรียบร้อยเหมือนฉินอวี่เลยนะ คุณคิดจะทำอย่างไร” หลังจากนั้นไม่นานคุณท่านหลินก็เอ่ยปาก

 

 

“เรื่องนี้ไม่น่าใช่ความผิดของเธอ เฉียนจิ่นอวี้คนนั้นเฝ้ามองเธอมาตั้งนานแล้ว” หลินฉีชะงักไปและถอนหายใจ “พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ได้มีความคิดที่จะยอมรับเธอฐานะลูกเลี้ยง ”

 

 

ตอนที่ฉินอวี่มาที่ตระกูลหลินครั้งแรก ทุกคนในตระกูลหลินต่างยอมรับเธอ จัดงานเลี้ยงฉลอง หลังจากที่ฉินหร่านมา เพราะหลินฉีพิจารณาในแต่ละด้านเลยไม่ได้มีความคิดนี้

 

 

**

 

 

ฉินหร่านไม่รู้ว่าการตีกับคนกลุ่มหนึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย

 

 

ตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน

 

 

การเรียนรู้ด้วยตัวเองภาคค่ำวันนี้ไม่มีสอบ คนที่ไปห้องเรียนเพื่อเรียนด้วยตัวเองเลยมีน้อย 

 

 

เฉิงมู่เปลี่ยนถ้วยชาให้ฉินหร่าน วางมันไว้ข้าง ๆ มือของเธอ เมื่อเห็นฉินหร่านยังคงถือหนังสือภาษาเยอรมันเอาไว้เขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องดวงตาของฉินหร่าน 

 

 

ฉินหร่านพลิกหน้ากระดาษพลางช้อนตามอง “มีอะไร”

 

 

“ไม่มีอะไร ก็คิดว่าเธอหลับไปแล้ว” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

 

 

“ฉันอ่านหนังสืออยู่” ฉินหร่านเอามือเท้าคางพร้อมตอบอย่างเหนื่อยนาย

 

 

“จริงอะ” เฉิงมู่ชำเลืองมองหนังสือเล่มนั้น ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ

 

 

ประเด็นก็คือตอนที่เขาไปเรียนก็เคยทำเรื่องแบบนี้ ซื้อหนังสือสืบสวนสอบสวนมาสิบเล่มทำเป็นวางไว้เท่ ๆ ในห้องพัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยอ่านจบเลยสักหน้า 

 

 

เฉิงมู่ออกมาเงียบ ๆ แล้วชงชาต่อ

 

 

เฉิงเจวี้ยนชำเลืองมองเขา อยู่ ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาเคาะโต๊ะแล้วมองไปที่ฉินหร่าน “เธอคิดจะเปลี่ยนงานพาร์ตไทม์ไหม”

 

 

ฉินหร่านเดาว่าเขากำลังพูดกับตัวเอง เงยหน้าขึ้นแล้วถามอย่างลวก ๆ “เปลี่ยนอะไร” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนยกชาที่อยู่ข้างตัวเองขึ้นมา จิบช้า ๆ หนึ่งอึก น้ำเสียงดูเย็นชา “ก็ช่างเทคนิคไง อวิ๋นเฉิงยังขาดช่างเทคนิคอยู่”

 

 

“หือ” ฉินหร่านไม่อ่านหนังสือแล้ว เธอเอนหลังพิงพนักและเลิกคิ้ว

 

 

“ดีกว่าร้านชานมนั่นของเธออีก” เฉิงเจวี้ยนตื๊อสุด ๆ

 

 

ฉินหร่านลูบคางพร้อมยิ้มให้เขา คิ้วที่อยู่ภายใต้แสงไฟนั้นงดงามและน่ามอง “ได้เงินไหม”

 

 

มือของเฉิงเจวี้ยนชะงัก เขามองฉินหร่าน หยุดอยู่สองสามวินาทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทักษะคอมพิวเตอร์ของเธอเป็นไงบ้าง”

 

 

“ก็พอได้” ฉินหร่านถ่อมตัวสุด ๆ

 

 

ตอนนี้เธอพูดประโยคนี้ออกมาไม่รู้ว่าความมั่นใจที่อยู่ในคิ้วของตัวเองพรั่งพรูออกมา 

 

 

เฉิงเจวี้ยนวางถ้วยชาลง เอนหลังพิงพนักพิงพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

 

 

“พอได้ก็โอเค” ลู่จ้างอิ่งได้ยินเรื่องที่ตัวเองสนใจ ก็มาลากเก้าอี้ไปหนึ่งตัวแล้วลงนั่ง “พี่ให้ผ่าน” 

 

 

เฉิงมู่มือสั่น เกือบจะทำกาน้ำชาที่อยู่ในมือแตก มองลู่จ้าวอิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

ให้ผ่านเนี่ยนะ

 

 

“หรือว่าไม่ดีกว่า” ฉินหร่านกลับไม่สนใจแล้วชักสายตากลับ “น่าเบื่อชะมัด”

 

 

“ฉินเสียวหร่าน โอกาสครั้งนี้เธอก็รู้ว่าจิงเฉิงมีคนต่อแถวตั้งเท่าไหร่ที่ฝันอยากจะเข้ามา” ลู่จ้าวอิ่งเลิกคิ้ว โน้มน้าวเธอ

 

 

“ว่ากันตามตรง หลายคนในจิงเฉิงก็ล้วนอยากได้ฉันกันทั้งนั้น” ฉินหร่านไขว่ห้าง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสำลักพร้อมกับพูดอย่างมีเลศนัย “เธอรู้จักสมาคมแฮกเกอร์ไหม ฉันสามารถพาเธอเข้าไป……”

 

 

“อ่อ” ฉินหร่านหยิบหนังสือขึ้นมา ไม่ได้สนใจนัก “ฉันรู้จัก”

 

 

รู้จักกับผีน่ะสิ!

 

 

“ได้” ลู่จ้าวอิ่งสำลักอีกครั้ง เขาค้ำมือไว้กับโต๊ะเอียงศีรษะมองเฉิงเจวี้ยน “ท่านเจวี้ยน ฉันช่วยไม่ได้แล้ว นายพูดเองเถอะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนส่งเสียง “อืม” ออกมา รู้สึกว่าเย็นชาเกินไปอีกแล้ว เขาหาวหวอด ๆ พร้อมกับอธิบาย “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก ต่อไปก็ยังมีโอกาสอีก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนม.หกก็คือการเรียน”

 

 

ฉินหร่านหันมองเขาและเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ฉันก็คิดว่าฉันต้องตั้งใจเรียน”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งขบฟัน “ก็ใช่ เธอตั้งใจเรียนก็อาจจะสอบได้สักสองสามคะแนน”

 

 

เฉิงมู่มองคนสองสามคนอย่างว่างเปล่า

 

 

เขาไม่กล้าพูด

 

 

ได้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมา

 

 

ส่งแล้วหนึ่งข้อความ “รู้ไหมว่ามีคนปฏิเสธคำเชิญของนายน้อยลู่ด้วย! ถ้าหลังจากนี้เธอรู้ว่าเธอปฏิเสธอะไรไปจะอยากกลับมาวันนี้แล้วบีบคอตัวเองไหม! ”

 

 

นินทาจบ ทางนั้นไม่มีการตอบกลับ

 

 

เฉิงมู่เก็บโทรศัพท์ สีหน้ายังคงนิ่งเหมือนเดิม

 

 

เพียงสายตาที่อดไม่ได้ที่จะมองฉินหร่าน ผู้หญิงคนนี้เกิดมาพร้อมความทึ่มหรือไงกัน

 

 

สนิทกับท่านเจวี้ยนและนายน้อยลู่มานานขนาดนี้ ยังไม่เคยรู้สึกว่าสถานะของสองคนนี้แท้จริงแล้วมันไม่ธรรมดา

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

 

 

เฉิงเจวี้ยนกลับคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วส่งให้เฉิงมู่ดู

 

 

เฉิงมู่เดินตามเฉิงเจวี้ยนออกมาจากห้องพยาบาลแล้วหยุดอยู่ที่ลานกว้าง

 

 

“หลินซือหรานบอกว่าคุณหนูฉินเหมือนจะไปมีเรื่องมา” เฉิงมู่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนต้องการจะถามอะไร เอ่ยปากเสียงเบา

 

 

เฉิงเจวี้ยนหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งพลางหรี่ตาเบา ๆ “มีเรื่อง? กับใคร”

 

 

“ไม่รู้ชื่อ” เฉิงมู่ส่ายศีรษะ

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า “อืม เข้าไปเถอะ”

 

 

**

 

 

เช้าวันที่สอง

 

 

หลินฉีกลับมาคืนวันก่อน ตอนที่หนิงฉิงตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นเขา

 

 

พอลงมาชั้นล่าง เธอพบว่าคุณท่านหลินนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง

 

 

หนิงฉิงตื่นตระหนกไปทั้งร่าง เธอลงไปข้างล่างอย่างระมัดระวัง จับมืออย่างเลี่ยงไม่ได้ “ท่านมาได้อย่างไรคะ”

 

 

“ประเด็นคือจัดการกับเรื่องของลูกสาวคุณ” คุณท่านหลินหรี่ตา เปี่ยมด้วยอำนาจ

 

 

แผ่นหลังของหนิงฉิงเย็นวาบ คุณท่านหลินปกติเรียกฉินอวี่ว่า “อวี่เอ๋อร์” แต่ครั้งนี้เรียก “ลูกสาวของคุณ” เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

 

 

แทบไม่ต้องคิด หนิงฉิงรู้ว่าฉินหร่านก่อเรื่องอีกแล้วแน่ ๆ

 

 

ฉินหร่านยังไม่เลิกเรียนคาบเช้าในตอนที่ได้รับโทรศัทพ์จากหลินจิ่นเซวียน ฉินหร่านเปิดประตูห้องน้ำแล้วนั่งบนชักโครก

 

 

“เรื่องบ้าอะไร ฉันจะถูกคนฆ่าเนี่ยนะ” ฉินหร่านใส่หูฟังเข้าไปในหู มือแก้สายหูฟังอย่างไม่ยี่หระ

 

 

ในมือนับคนสองสามคนที่อยากจะฆ่าตัวเอง

 

 

คนพวกนั้นจะว่ามีก็มี แต่ก็ 

 

 

หลินจิ่นเซวียนเงยหน้าขึ้นมองนอกรถ พูดเสียงเบา “คนของตระกูลเฟิง พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ ฉันลากับหัวหน้าห้องเธอให้แล้วนะ เธอออกไปก่อน ฉันจะไปรอเธออยู่ที่ประตูโรงเรียน ให้ปู่ของเธอช่วยจัดการเรื่องนี้ก่อน”  

 

 

 หลินจิ่นเซวียนไม่รู้ว่าฉินหร่านไปมีเรื่องได้อย่างไร

 

 

ทว่ามั่นใจอยู่หน่อยว่าถ้าเฟิงโหลวหลานต้องการขยี้นักเรียนมัธยมคนหนึ่งในอวิ๋นเฉิงให้ตาย มันง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ

 

 

ทำได้แค่ปล่อยให้คุณปู่จัดการก่อน ส่วนธุรกิจกับตระกูลเฟิง……กลัวว่าจะค้างคา

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่บนชักโครก คิดอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็นึกถึงเฉียนจิ่นอวี้

 

 

แม้ว่าเธอจะอารมณ์ร้อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะชอบลงมือตามอำเภอใจ

 

 

เรื่องนั้นเมื่อวานเธอไม่ได้ทำรุนแรง พวกเฉียนจิ่นอวี้สองสามคนนั้นนอนพักบนเตียงสองวันก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าหลินจิ่นเซวียนจะมาหาถึงบ้าน

 

 

คิดดูแล้วเฉียนจิ่นอวี้น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลหลินโดยตรง ฉินหร่านอยากจะเข้าใจจุดสำคัญ

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ ส่งข้อความไปหาหลินซือหรานว่าไม่ได้กลับไปชั้นเรียนแล้วลงไปหาหลินจิ่นเซวียนข้างล่าง

 

 

เธอไม่กลัวเฉียนจิ่นอวี้ แต่เมื่อวานที่หลินซือหรานปรากฏตัว ฉินหร่านกลัวว่าหลินซือหรานจะมีส่วนเกี่ยวข้อง

 

 

**

 

 

ตอนที่ฉินหร่านกับหลินจิ่วเซวียนมาถึงโรงพยาบาลยังไม่เก้าโมง

 

 

หลินจิ่นเซวียนพาเธอไปที่ห้องผู้ป่วยทันที

 

 

ประตูของห้องผู้ป่วยปิดอยู่ คุณท่านหลินอยู่ตรงทางเดิน

 

 

ตอนที่เธอไป หนิงฉิงถือกระเช้าดอกไม้เดินตามเธอไปด้วย

 

 

“ได้ยินหว่านเอ๋อร์บอกว่าช่วงนี้เธอต้องซ้อมไวโอลิน ไม่ต้องฟุ้งซ่านนะ” คุณท่านหลินมองไปที่ฉินอวี่แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

ฉินอวี่เม้มปาก ไม่กล้าพูดอะไร

 

 

เธอกับคุณท่านหลินไม่ได้ติดต่อกันมากนัก รู้แค่เพียงว่าคนคนนี้เป็นคนที่ก่อตั้งตระกูลหลินด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด

 

 

อยู่ตอหน้าคุณท่านหลิน อย่าพูดถึงหนิงฉิง แม้แต่เธอก็ไม่กล้าพูดกล้าทำมากนัก

 

 

หลินจิ่นเซวียนพาฉินหร่านเข้ามา “คุณปู่ครับ นี่น้องฉินหร่านครับ”

 

 

ฉินหร่านเพิ่งได้รู้ว่าตระกูลหลินยังมีคุณท่านหลินอีก

 

 

เธอพูดแบบมีมารยาทสุด ๆ “คุณปู่หลิน”

 

 

ตอนที่ยังไม่เจอตัว คุณท่านหลินเคยได้ยินฉินหร่านในหลากหลายรูปแบบ

 

 

เวลานี้ได้เห็น เขามองหัวจรดเท้า

 

 

ผู้หญิงคนนี้ใส่ชุดนักเรียน ถกแขนเสื้อขึ้น ใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าดูดีกว่าฉินอวี่เสียอีก หน้าตาเจือด้วยความรู้สึกแบบเด็กวัยรุ่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

 

 

“อืม” คุณท่านหลินตอบกลับเบา ๆ น้ำเสียงเย็นชา แล้วหันไปมองหลินจิ่นเซวียน “พอแล้ว พวกเธอไปรออยู่ข้างนอก ฉันกับจิ่นเซวียนจะเข้าไปถามประธานเฟิงเอง”

 

 

เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของคุณท่านหลินไม่ใกล้เคียงกับฉินหร่านเลย

 

 

ฉินอวี่ก้มศีรษะ เก็บความไม่ชอบใจที่มุมปากเอาไว้

 

 

หนิงฉิงสบโอกาสเดินมาประชิดตัวฉินหร่าน พูดอย่าง ร้อนรน “เธอไปทำร้ายคุณชายเฉียนทำไม รู้ไหมว่าเฟิงโหลวหลานนั่นมีเส้นสาย ถึงตอนนั้นเธอตายไปก็ไม่รู้ว่าตายยังไง ”

 

 

พวกนี้คือข้อมูลของตระกูลเฟิงที่ฉินอวี่เพิ่งตรวจสอบมา แล้วมารายงานกับหนิงฉิง

 

 

หนิงฉิงไม่ค่อยเข้าใจประสบการณ์ชีวิตมากนัก

 

 

ในสายตาของเธอ เฟิงโหลวเฉิงกับคนตระกูลเฟิงล้วนเป็นบุคคลอันตราย เธอวางตัวอย่างระแวดระวังมานานหลายปี กลัวทำให้ใครขุ่นเคือง

 

 

ฉินหร่านมองโทรศัพท์ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

 

 

หนิงฉิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก แต่เห็นคุณท่านหลินที่เพิ่งเข้าไปไม่นานออกมากับประธานเฟิง 

 

 

ระหว่างคิ้วของเฟิงโหลวหลานเมื่อยล้า ทว่ากลับปกปิดความเฉลียวฉลาดและเก่งกาจไม่มิด

 

 

ฉินอวี่นอบน้อมและมีมารยาทสุด ๆ “ประธานเฟิง”

 

 

แววตาคมของเฟิงโหลวหลานชำเลืองมองแล้วดึงกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจ

 

 

“ครอบครัวของประธานเฟิงนอกจากคุณชายเฉียนแล้ว มีแต่จะทำอะไรรวดเร็ว หยิ่งยโสโอหัง หรือก็คือปู่ของฉันสามารถคุยกับเธอได้ ” หลินจิ่นเซวียนอธิบายเบา ๆ ที่ข้างหูฉินหร่าน

 

 

เฟิงโหลวหลานรู้คุณธรรมของลูกชายตัวเอง ไม่ได้คิดจะเจาะลึกเข้าไป กำลังจะให้คุณท่านหลินไปพอดี

 

 

ตอนที่พบกับฉินหร่าน ฝีเท้าหยุดชะงัก “เธอคือ……คุณหนูฉิน?”