ตอนที่ 108 ลูกสาวของคุณโดดเด่นกว่าใคร ๆ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

คนทั้งทางเดินต่างให้ความสนใจกับท่าทางของเฟิงโหลวหลาน

 

 

พอเธอหยุด สายตาของทุกคนก็มองไปที่เธอ

 

 

คุณท่านหลินนึกไม่ถึงว่าอยู่ ๆ เฟิงโหลวหลานจะหยุด เขาคิดว่าเฟิงโหลวหลานเห็นฉินหร่านคนที่ทำร้ายเฉียนจิ่นอวี้ เอียงตัวพลางแอบขมวดคิ้ว

 

 

หลินฉีเคยบอกเขาเกี่ยวกับฉินหร่าน….. เขาหวังว่าฉินหร่านจะไม่สร้างปัญหาในตอนนี้

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ คุณท่านหลินมองไปที่ฉินหร่านด้วยสีหน้าเย็นชา

 

 

เฟิงโหลวหลานเป็นหญิงแกร่ง คิ้วหนาแบบที่ไม่ได้ตั้งใจเขียน หน้าตาดุดันที่หาพบได้ยากในคนทั่วไป ในมือยังคีบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน ควันลอยฟุ้งไปทั่ว

 

 

เมื่อสายตาของเธอมองมาทางนี้ ใจของหนิงฉิงเต้นรัว นี่คือถูกทำให้ตกใจแล้วสินะ

 

 

เมื่อสักครู่ฉินอวี่ถูกเฟิงโหลวหลานเมินใส่ รู้สึกกลัดกลุ้มในใจ ตอนนี้เห็นเธอจ้องไปที่ฉินหร่าน เธอเม้มปาก ยกมือขึ้นปกปิดยิ้ม

 

 

“พวกเรา……รู้จักกันหรอคะ?” ฉินหร่านเก็บโทรศัพท์ช้าๆ หรี่ตามองไปที่เฟิงโหลวหลาน

 

 

คิดทบทวนสักพักก็ไม่เจอความทรงจำที่เกี่ยวกัน

 

 

เฟิงโหลวหลานขยี้บุหรี่ในมือโดยไม่รู้ตัวแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณอาจจะไม่รู้จักฉัน แต่ฉันเคยเห็นรูปคุณมาก่อน”

 

 

ยมราชแห่งบ้านเฟิงชื่อนี้ในตลาดการเงินทำให้ผู้คนเกรงกลัวกัน เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำไม่สนใคร ทุกคนที่เคยเจรจาธุรกิจกับเฟิงโหลวหลานต่างรู้ดีว่าคน ๆ นี้เจรจายากแค่ไหน

 

 

ตั้งแต่เมื่อกี้นี้เธอไม่ได้สนใจฉินอวี่กับหนิงฉิงมากนัก เพียงแค่ดูท่าทีของพวกเธอ

 

 

ตอนนี้เธอพูดกับฉินหร่าน พูดไม่ได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่น้ำเสียงของเธอก็ดีกว่าคุณท่านหลินมาก

 

 

“หาพบได้ยากจริง ๆ ” เฟิงโหลวหลานยิ้มให้กับคุณท่านหลินและไม่ได้รีบเดินแล้ว เธอหันกลับมาเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วให้ทุกคนเข้าไปด้วยท่าทีอ่อนโยน “รีบเข้าไปสิ”

 

 

ฉินอวี่มองอยู่อีกด้าน ก่อนที่ความสะใจกับความดูถูกบนใบหน้าคงไว้ได้ไม่กี่วินาทีก็นิ่งค้างแล้ว

 

 

หนิงฉิงยืนอยู่ที่เดิม มองเฟิงโหลวหลานที่เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน หันศีรษะมองท่าทางของฉินหร่านเองก็ตกใจไม่น้อย

 

 

ไม่ต้องพูดถึงสองคนนี้ คุณท่านหลินผู้ปราดเปรื่องก็ไม่ได้คาดถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์นี้

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาลึกทั้งสองข้างลึกซึ้ง “ประธานเฟิง นี่คือ……”

 

 

ไม่โทษที่คุณท่านหลินมีการตอบสนองมากขนาดนี้

 

 

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ คนที่มาเยี่ยมเฉียนจิ่นอวี้มีมาเรื่อย ๆ แต่คนที่สามารถเข้าห้องนี้ได้จริง ๆ กลับมีเพียงไม่กี่คน

 

 

คุณท่านหลินเพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงนาทีก็ถูกเฟิงโหลวหลานพาออกมา

 

 

เห็นท่าทีระมัดระวังของเฟิงโหลวหลานกับเรื่องนี้

 

 

แต่ตอนนี้เข้ามาได้ง่ายขนาดนี้เลย

 

 

“แม่ครับ” ตาข้างหนึ่งของเฉียนจิ่นอวี้ถูกตีจนเขียว กำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง เห็นฉินหร่านเข้ามา ดวงตาเบิกกว้าง ชี้นิ้วไปที่เธอ “เธอ ๆ ๆ”

 

 

เฟิงโหลวหลานเอื้อมมือไปกดนิ้วของเขา แพ่นกบาลไปหนึ่งทีแล้วกดศีรษะของเขาลง “เธออะไรล่ะ ยังไม่รีบขอโทษคุณหนูฉินอีก!”

 

 

เฉียนจิ่นอวี้ถูกตบหน้าด้วยความมึนงง

 

 

คุณหนูฉินอะไรล่ะ

 

 

“ผม……” เฉียนจิ่นอวี้เอ่ยขึ้น

 

 

“แกอะไร” เฟิงโหลวหลานปล่อยมือ ยิ้มเย็นชา “วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่อง ไม่ดูตัวเองว่าคู่ควรกับคุณหนูฉินตรงไหน ยังจะทำตัวเป็นหมามองเครื่องบิน ยังไม่รีบขอโทษคุณหนูฉินอีก! ” 

 

 

“ขอโทษ” เฉียนจิ่นอวี้ลูบศีรษะ “ถึงฉันจะผิด แต่เธอก็ต่อยฉันไปแล้วทีหนึ่งนี่ เจ๊ากันแล้วนะ”

 

 

“เจ๊ากัน?” เฟิงโหลวหลานยืนกอดอกอยู่ตรงปลายเตียง มองเฉียนจิ่นอวี้อย่างลำพอง แล้วพูดอย่างเสียดสี “รอพ่อแกมา แกจะได้รู้ว่าคุณหนูฉินตีแกเบาขนาดไหน” 

 

 

เฉียนจิ่นอวี้ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แต่กลับกลัวพ่อตัวเอง สีหน้าเปลี่ยนในชั่วพริบตา “แม่……นี่มันเกี่ยวอะไรกับพ่อ”

 

 

เฟิงโหลวหลานมองเขาอย่างอารมณ์ดี ไม่อธิบายอะไรให้เขาฟัง เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นเมื่อหันไปมองฉินหร่าน “คุณหนูฉิน ฉันรู้ว่าเด็กคนนี้ก่อกวนคุณ ฉันเลยพาเขาไปขอโทษคุณ เขาไม่ได้……ทำให้คุณเดือดร้อนใช่ไหมคะ”

 

 

“ไม่เดือดร้อนหรอก” เสียงของเฉียนจิ่นอวี้พึมพำ ฉินหร่านแคะหูมองทั้งสองคน แล้วมองไปที่เฟิงโหลวหลาน นิ่งเงียบไปสองวินาที แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ที่แท้ประธานเฟิงก็เป็นคนในครอบครัวของผู้บัญชาการเฉียน”

 

 

“เรียกฉันว่าป้าเฟิงก็ได้จ้ะ” เฟิงโหลวหลานยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

 

คนสองคนคุยกันอย่างไม่รู้ว่าอีกสี่คนที่อยู่ในห้องผู้ป่วยเหมือนรูปปั้นไปแล้ว

 

 

เฟิงโหลวหลานชวนฉินหร่านทานข้าว ฉินหร่านไม่ได้ตอบรับ เธอเอียงศีรษะ “เรื่องนี้เดี๋ยวตอนดึก ๆ ฉันคุยกับผู้บัญชาการเฉียนอีกทีนะคะ ฉันยังมีเรียนอยู่ขอกลับก่อนนะคะ”

 

 

เฟิงโหลวหลานไปส่งเธอที่ด้านนอกประตูห้องพักผู้ป่วย เธอยังคิดที่จะไปส่งถึงด้านล่างแต่ถูกฉินหร่านห้ามไว้

 

 

เมื่อรอเฟิงโหลวหลานกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วยอีกครั้งก็เจอกับห้องพักผู้ป่วยที่เงียบแปลก ๆ 

 

 

“คุณท่านหลิน ท่านรีบบอกว่าเป็นญาติของคุณหนูฉินสิคะ” เฟิงโหลวหลานเม้มปากยิ้มอย่างลำบาก “ตอนนั้นคุณหนูฉินช่วยเหล่าเฉียนของตระกูลเราไว้ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ของเธอเหนือกว่าคนทั่วไปมาก ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะเป็นคนของตระกูลหลิน”

 

 

ตอนที่เฟิงโหลวหลานพูด ความชื่นชมในสายตาแสดงออกมาอย่างชัดเจน

 

 

“ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ของเธอ?” คุณท่านหลินไม่ทราบ

 

 

หนิงฉิงนึกขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้น “ใช่ค่ะ เธอกู้วิดีโอครั้งที่แล้วให้”

 

 

“คุณหนูฉินสุดยอดมากเลยค่ะ” เฟิงโหลวหลานหยิบบุหรี่อีกตัวออกมาพร้อมกับพ่นควัน “ถ้าเข้าร่วมกับบริษัทของฉันในอนาคตได้ก็คงดี”

 

 

ประโยคนี้ยิ่งทำให้คุณท่านหลินหวาดหวั่น  “ได้ไปสกุลเฟิง ก็เป็นเกียรติของเธอ”

 

 

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เฟิงโหลวหลานก็มองไปที่คุณท่านหลินด้วยความแปลกใจ

 

 

“ฉันพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ” คุณท่านหลินไม่เข้าใจความหมายในสายตานั้นของเธอ

 

 

เฟิงโหลวหลานหลุบสายตา ระงับอารมณ์ไว้ “ไม่มีค่ะ”

 

 

**

 

 

ท้ายที่สุดก็ถูกเฟิงโหลวหลานส่งออกมา คุณท่านหลิงก็ยังคิดไม่ออกถึงความหมายในสายตานั้นของเฟิงโหลวหลาน

 

 

คนกลุ่มหนึ่งลงลิฟต์มาด้วยความเงียบ

 

 

คุณท่านหลินขยับริมฝีปาก มองไปที่หนิงฉิง สีหน้าเป็นมิตร “ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าหรานหร่านจะรู้จักกับประธานเฟิงด้วย ช่วยพวกเราจัดการปัญหามากมาย พวกเขารู้จักกันมานานแล้วเหรอ”

 

 

มาที่ตระกูลหลินตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงฉิงถูกคุณท่านหลินปฏิบัติอย่างเป็นมิตรแบบนี้ เธอทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย

 

 

“ไม่แน่ใจค่ะ” หนิงฉิงเองก็รู้สึกแปลกใจ ตั้งแต่ครั้งก่อนตอนที่ฉินหร่านกู้กล้องวงจรปิด หนิงฉิงก็ค้นพบแล้วว่าลูกสาวของตัวเองต่างไปจากที่ตัวเองรู้จัก

 

 

เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉินหร่านจะรู้จักกับคนอย่างเฟิงโหลวหลาน

 

 

ทำไมฉินหร่านไม่เคยบอกเลยล่ะ

 

 

“รู้จักก็ดี เธอโชคดีไม่น้อยเลยนะ ที่มีลูกสาวเก่งกว่าใคร ๆ” คุณท่านหลินยิ้มขำ

 

 

หลินจิ่นเซวียนไม่รู้แน่ชัดเรื่องที่ฉินหร่านกู้กล้องวงจรปิดจึงถามหนิงฉิงเสียงเบา

 

 

ไม่ค่อยถูกคนตระกูลหลินถามอย่างเกรงใจแบบนี้ หนิงฉิงเหม่อไปตลอดทาง

 

 

ฉินอวี่ตามหลังพวกเขา ฝืนยิ้ม

 

 

นอกจากสีหน้านี้ เธอไม่รู้แล้วว่าต้องใช้การแสดงออกแบบไหนถึงจะปกปิดใจที่เกือบจะบิดเบี้ยวของตัวเอง

 

 

เธอฟังคุณท่านหลิน หลินจิ่นเซวียน แล้วก็หนิงฉิงทั้งสามคนพูดคำก็ฉินหร่าน สองคำก็ฉินหร่าน ในใจอิจฉาจนแทบบ้า

 

 

หลังจากครั้งที่แล้วที่เธอพบว่าหนิงฉิงมักจะใจลอยโดยไม่รู้ตัว สนใจกับข่าวคราวของฉินหร่าน แล้วยังมีหลินจิ่นเซวียน……

 

 

ตอนนี้เพิ่มเฟิงโหลวหลานเข้ามาอีก ถึงตอนนั้นถ้าเฟิงโหลวหลานรับฉินหร่านเข้าสกุลเฟิง และเฟิงโหลวหลานให้ความสำคัญ แล้วเธอฉินอวี่จะอยู่ที่ตระกูลหลินในฐานะอะไร 

 

 

ฉินอวี่แค่รู้สึกว่าประโยคนั้นของเฟิงโหลวหลานคืออยากจ้างงานฉินหร่าน แต่ไม่รู้ว่าเฟิงโหลวหลานไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เธอเอาความกล้าจากไหนรับฉินหร่านเข้าทำงาน

 

 

แต่แค่ฉินอวี่คิดแบบนี้ ก็รู้สึกว่าใจเริ่มกระตุกขึ้นมา

 

 

**

 

 

ฉินหร่านในตอนนี้ไม่รู้ว่าฉินอวี่และคนอื่น ๆ กำลังคิดอะไรอยู่

 

 

ประจวบเหมาะกับที่โรงพยาบาล เธอไปพบกับเฉินซูหลาน

 

 

ไม่ได้เข้าไปในห้องพักผู้ป่วย แค่มองอยู่ด้านนอกก็เจอกับหมอเจ้าของไข้ของเฉินซูหลาน

 

 

แพทย์เจ้าของไข้เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังดูแฟ้มผู้ป่วยอยู่ในขณะนี้

 

 

“คุณเป็นญาติผู้ป่วยเฉินซูหลานหรือเปล่าครับ” เห็นฉินหร่านเข้ามาเขาก็วางแฟ้มผู้ป่วยลงแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม “นั่งสิครับ”

 

 

ฉินหร่านนั่งฝั่งตรงข้าม เท้ามือลงกับโต๊ะ “หมอคะ ช่วงนี้อาการของคุณยายไม่ค่อยดีเลยค่ะ”

 

 

“ตัวบ่งชี้ต่าง ๆ ของเธอกำลังลดลง” หมอเม้มริมฝีปาก “หมอทำได้แค่เท่าที่ทำได้”

 

 

ฉินหร่านเคาะนิ้วลงบนโต๊ะช้า ๆ นัยน์ตาลุ่มลึก

 

 

สีหน้าของเธอเจือด้วยความตามอำเภอใจอย่างหนึ่ง เหมือนไม่มีอะไรสามารถทำให้เธอหยุดได้ ตอนที่จริงจังจะไม่พูดไม่จา ทำได้เป็นเรื่องเป็นราวมาก ๆ

 

 

หมอเจ้าของไข้ของเฉินซูหลานไม่กล้าสบตาคู่นั้นของเธอ

 

 

“ถ้าคุณต้องการอะไร บอกฉันได้เลยนะคะ” ฉินหร่านหยุดเคาะแล้วนวดขมับพลางกระแอมไอเบา ๆ “เบอร์โทรของฉันคุณก็รู้แล้ว มีเรื่องอะไรโทรหาฉันได้เลย”

 

 

“ครับ” หมอเจ้าของไข้พยักหน้า

 

 

ฉินหร่านหยิบโทรศัพท์แล้วจากไป

 

 

หมอเจ้าของไข้มองแผ่นหลังของฉินหร่านที่ออกไปก็รู้สึกแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเธอก็ยิ่งอึดอัดมากกว่าตอนเผชิญหน้ากับหลินฉี

 

 

ฉินหร่านออกมาจากโรงพยาบาล เมื่อเดินถึงถนน

 

 

ก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดวิดีโอคอลทันที

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้งก็เชื่อมต่อกัน 

 

 

กู้ซีฉือที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานยังคงดูดีเหมือนเดิม เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ทำไมอยู่ ๆ ก็โทรหาฉันล่ะ”

 

 

ฉินหร่านซื้อน้ำจากตู้ขายของอัตโนมัติหนึ่งขวด เปิดดื่มหนึ่งอึกแล้วถามเสียงเรียบ “อยู่ที่เมืองmไหม”

 

 

“เปล่า อยู่เมืองf” กู้ซีฉือให้คนรอบข้างออกไปก่อนเพื่อที่จะหาที่สงบ ๆ “เธอไม่เป็นไรนะ”

 

 

“ไม่เป็นไร” ฉินหร่านหลุบสายตาแล้วพูดเสียงเบา “ฉันอยากให้นายกลับมาดูแลยายฉัน”

 

 

อวัยวะของมนุษย์นั้นเมื่อเสื่อมแล้วก็ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิม

 

 

กู้ซีฉือมองฉินหร่าน กลืนคำพูดลงคอแล้วยิ้มออกมา “ได้สิ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับไปนะ”

 

 

ฉินหร่านปิดฝาขวดน้ำ “ขอบใจนะ”

 

 

“เรื่องเล็ก” กู้ซีฉือคาบบุหรี่ไว้หนึ่งตัวแล้วพูดอย่างคลุมเครือ “แต่ตอนที่เธอมาถึงต้องช่วยฉันปกปิดร่องรอยด้วยนะ คนอื่นจะตรวจสอบฉันได้”

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง” ฉินหร่านโยนน้ำที่อยู่ในมือทิ้งไปและพูดอย่างเนิบนาบ “มีฉันอยู่ ไม่มีใครตรวจสอบร่องรอยของนายได้หรอก”

 

 

พูดประโยคนี้อย่างไม่ยี่หระ แต่ความเครียดที่อยู่ขมวดอยู่ระหว่างคิ้วนั้นแทบจะหลั่งไหลออกมาแล้ว

 

 

“เธอก็ระวัง ๆ ตัวด้วยล่ะ” กู้ซีฉือส่ายศีรษะพลางหัวเราะ “รีบ ๆ หาองค์กรแล้วเข้าร่วมเถอะ อายุอานามยังไม่มาก กล้าทำไปเสียทุกอย่าง ถึงตอนนั้นถูกจับได้ขึ้นมาฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะไปช่วยเธอได้  ”

 

 

ฉินหร่านมองที่หน้าจอ เส้นผมดำร่วงมาปรกตรงหัวคิ้ว แล้วค่อย ๆ หลุบตาลง “ปล่อยให้พวกเขามาได้ตามสบายเลย”

 

 

**

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึงโรงเรียน เพิ่งจะสิบโมงครึ่ง

 

 

หลินจิ่นเซวียนลาให้เธอช่วงเช้า

 

 

ฉินหร่านหยิบโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอลงมาจากรถบัสเอามือบังดวงอาทิตย์ด้านหน้าแล้วเม้มริมฝีปาก

 

 

พลางครุ่นคิดและไม่ได้ไปเข้าเรียนต่อ เดินไปตรงหัวมุมเพื่อไปยังห้องพยาบาล

 

 

ห้องพยาบาล

 

 

ผู้บัญชาการห่าวนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางโอ่อ่าและโยนกองเอกสารลงบนโต๊ะ

 

 

เฉิงมู่หยิบมาดูจากนั้นก็เคาะประตูที่อยู่ด้านในเพื่อส่งให้กับเฉิงเจวี้ยน

 

 

เมื่อออกมาอีกครั้ง ผู้บัญชาการห่าวเองหลังพิงพนักเก้าอี้มองเขาแปลก ๆ “เฉิงมู่ ท่านเจวี้ยนจะตรวจสอบตระกูลเฟิงเหรอ”

 

 

เฉิงมู่หยิบขึ้นมาอ่าน “อืม”

 

 

เมื่อคืนเขาไม่ได้ถามหลินซือหรานว่าใครที่มีเรื่องกับฉินหร่าน แต่เรื่องอื่น ๆ ถามมาค่อนข้างชัดเจน 

 

 

ตอนนี้ที่ผู้บัญชาการห่าวถืออยู่คือข้อมูลของเฉียนจิ่นอวี้

 

 

นึกไม่ถึงว่าชอบฉินหร่านเข้าแล้ว นี่มันไม่รักตัวกลัวตายเลยเหรอ

 

 

“ตระกูลเฟิงกล้าหือกับท่านเจวี้ยน?” ผู้บัญชาการห่าววางมือไว้บนขา ไม่อยากจะเชื่อ

 

 

“เปล่า เป็นเพราะคุณหนูฉิน” เฉิงมู่พลิกกระดาษสองสามแผ่น “เธอมีเรื่องกับเฉียนจิ่นอวี้ ฉันได้ข่าวมาว่าวันนี้พวกเขาจะตามหาคุณหนูฉินกัน”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวได้ยินแล้วมองเฉิงมู่ กดเสียงต่ำ  “เพราะอย่างนั้นก็เลยมาหาท่านเจวี้ยน? เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็จัดการไม่ได้เหรอ ยังจะมาหาท่านเจวี้ยนให้ออกโรงอีก ไม่ต่างจากพวกผู้หญิงคนอื่น ๆ เลย ท่านเจวี้ยนคิดอะไรกับเธอ”

 

 

ที่ผู้บัญชาการห่าวคิดได้ก็มีแค่เท่านี้แหละ

 

 

ไม่โทษเขาหรอก

 

 

ได้ยินคำพูดของเฉิงมู่ ปฏิกิริยาแรกของคนทั่ว ๆ ไปก็คือแบบนี้

 

 

เฉิงมู่เงยหน้าขึ้น “เปล่า เธอไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านเจวี้ยนเดาเอาเอง”

 

 

“เธอไม่ได้คุยกับท่านเจวี้ยน?” ผู้บัญชาการห่าวผงะ

 

 

ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่

 

 

ไม่ไกลก็ปรากฏเงาของฉินหร่านค่อย ๆ เดินมาทางนี้

 

 

ตอนนี้ยังเป็นตอนเช้า ฉินหร่านก็ควรจะเข้าเรียนแล้วถึงจะถูก

 

 

ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะ

 

 

ผู้บัญชาการห่าวยักคิ้วให้เฉิงมู่ ดูสิ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ

 

 

“เฉียนจิ่นอวี้คนนั้นจัดการยากจริง ๆ เธอมาหาท่านเจวี้ยนก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่เหรอ” ถึงแม้เฉิงมู่จะพูดแบบนี้ แต่กลับขมวดคิ้วราวกับผิดหวังนิดหน่อย