ตอนที่ 109 ตกอยู่ในความเงียบแห่งความลึกลับ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านเดินมาทางนี้ช้า ๆ 

 

 

ดวงอาทิตย์ที่ย่างเดือนสิบเอ็ดยังคงแรงเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ร้อน

 

 

ชุดนักเรียนตัวโคร่งทำให้เธอดูผอมมาก มีความรู้สึกหนาวแปลก ๆ

 

 

“พวกคุณมาหาฉันที่นี่ทำไม” ฉินหร่านผลักประตูเข้ามา ก็เห็นผู้บัญชาการห่าวเฉิงมู่ทั้งสองคนมองตัวเองอยู่ เธอเลิกคิ้ว

 

 

“เปล่า” เฉิงมู่ชักสายตากลับ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

 

 

แปลกมาก

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจเขา เพียงเปิดประตูกระจกด้านในแล้วเดินเข้าไป

 

 

“คุณหนูฉิน คุณไม่ต้องเข้าเรียนเหรอ” คิดไปพักหนึ่ง เฉิงมู่เงยหน้ามองเธอ เอ่ยเสียงเบา

 

 

“ไม่มี ลาแล้ว” ฉินหร่านยังเอามือค้ำไว้ที่ประตู พูดอย่างไร้อารมณ์

 

 

เฉิงมู่ก้มศีรษะ ส่งเสียง “อืม” ไม่ได้มองฉินหร่านอีก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

 

 

การกระทำของเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ไม่ได้รินชาให้ฉินหร่าน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจเขา

 

 

ห้องพยาบาลของโรงเรียนแบ่งออกเป็นด้านนอกและด้านใน

 

 

ด้านนอกเป็นห้องตรวจของลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ด้านในเป็นโซฟา แล้วก็ยังมีโต๊ะทำงาน เก้าอี้เข้ามุม กั้นด้านนอกด้วยประตูกระจกเก็บเสียง

 

 

ฉินหร่านดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งฝั่งตรงข้ามเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังดูรูปกายภาพมนุษย์อยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง “มาทำไมที่นี่เวลานี้”

 

 

เขากดเปิดโทรศัพท์ 10.40 น.

 

 

“อือ มีธุระนิดหน่อย” ฉินหร่านวางมือไว้บนโต๊ะ ฟุบลงไปทั้งตัว

 

 

คิ้วตก

 

 

หลุบตาลง ท่าทางง่วง ๆ

 

 

“ธุระของเธอคือมานอนที่นี่เหรอ” เฉิงเจวี้ยนโยนรูปกายภาพมนุษย์ลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนัก ทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “ไม่ไปเรียนเหรอ”

 

 

“เรียนอะไรกันล่ะ” ฉินหร่านค่อย ๆ เปลี่ยนท่าให้สบายที่สุด น้ำเสียงเนือย ๆ “จะเรียนหรือไม่เรียนก็เหมือนกัน”

 

 

เฉิงมู่ที่เพิ่งผลักประตูกระจกเข้ามา ได้ยินประโยคนี้ของฉินหร่าน

 

 

หน้าเขาบึ้งตึง ครุ่นคิดในใจ ฉินหร่านยังรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง รู้ว่าตัวเองเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียนก็ไม่ต่างกัน

 

 

ฉินหร่านนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ หรี่ตาลง

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเธอ จากนั้นก็หันไปมองที่เฉิงมู่ กดเสียงต่ำ “มีเรื่องอะไร”

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้พูด เพียงแต่มองไปที่ฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว

 

 

เพื่อธุระของฉินหร่าน

 

 

“นายออกไปก่อน สักพักเดี๋ยวฉันออกไป” เฉิงเจวี้ยนกดเสียงต่ำ

 

 

เฉิงมู่ขานรับ แล้วเปิดประตูเดินออกไป

 

 

เฉิงเจวี้ยนหันไปด้านข้างมองฉินหร่านที่ฟุบอยู่บนโต๊ะ ส่วนอีกฝ่ายก็ฟุบอยู่บนโต๊ะ แพขนตาลู่ลงอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่มีท่าทางเหมือนแต่ก่อน

 

 

สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

 

“อย่านอนตรงนี้” เฉิงเจวี้ยนเดินไปที่โซฟา หยิบผ้าห่มของตัวเองส่งให้ฉินหร่านแล้วชี้นิ้วไปที่โซฟา “ไปตรงนั้น”

 

 

ฉินหร่านส่งเสียง “อืม” และค่อย ๆ ลุกไปหยิบผ้าห่มที่อยู่ในมือของเฉิงเจวี้ยน

 

 

อากาศย่างเดือนสิบเอ็ดค่อนข้างเย็น ปลายนิ้วของฉินหร่านเย็นเล็กน้อยเมื่อเฉียดโดนฝ่ามือของเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

ฉินหร่านตอบไปส่ง ๆ ไม่คิดว่าพอเธอดึงผ้าห่มคลุมตัวแล้วไม่นานก็ผล็อยหลับไป 

 

 

**

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปิดประตูออกไปเบา ๆ

 

 

ด้านในกันเสียง เฉิงเจวี้ยนก็กดเสียงต่ำโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาลุ่มลึก “นายไปตรวจสอบตระกูลเฟิงให้เรียบร้อย ฉันจะไม่ไปสักพัก”

 

 

ประโยคนี้เขาพูดเสียงเบา

 

 

ความรู้สึกเย็นเยียบในดวงตากลับทำให้เฉิงมู่และผู้บัญชาการห่าวตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้

 

 

เฉิงมู่หยิบเอกสารที่ว่างอยู่อีกด้านขึ้นมา “โอเค”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวเผลอเงยหน้าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ มองเฉิงเจวี้ยนแล้วแอบสะดุ้งเบา ๆ เดิมทีเฉิงมู่วางแผนให้ตัวเองไปด้วยงั้นเหรอ

 

 

ทั้งสองคนออกไปแล้ว

 

 

“มีอะไร ทำไมไปยืนอยู่ข้างนอก” ลู่จ้าวอิ่งถือน้ำสองสามขวดจากข้างนอกเข้ามา ไม่ได้ถอดเสื้อกาวน์ออก แค่ติดกระดุมไม่ดี

 

 

ทันทีที่พูดจบเขาก็เห็นฉินหร่านที่กระจกกั้นไว้

 

 

เธอกึ่งนอนอยู่ที่โซฟา ผ้าห่มสีดำคุมตัวเธอทั้งตัวจนมิด เหลือเส้นผมอยู่ด้านนอกเพียงไม่กี่เส้น

 

 

เฉิงมู่หยิบเอกสารมาเรียบร้อยแล้วก็พูดเสียงเบา “งั้นท่านเจวี้ยน ผมออกไปก่อนนะครับ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนส่งเสียง “อืม”

 

 

รอให้เขาก็ผู้บัญชาการห่าวไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งจึงรวบเสื้อกาวน์และนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง “ท่านเจวี้ยน นี่มันอะไรกัน”

 

 

เขาเท้าคางแล้วเงยหน้า

 

 

ตอนเที่ยงไม่ร้อนมาก เฉิงเจวี้ยนพิงกับโต๊ะ หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก้มหยิบไฟแช็กแล้วจุดไฟอย่างไม่รีบร้อน “อะไร”

 

 

“อย่ามาทำเป็นงงใส่ฉันนะ” ลู่จ้าวอิ่งยิ้ม เขาพยักพเยิดไปทางโซฟาด้านใน “ฉินเสียวหร่านนั่นไง”

 

 

“อ่อ” เฉิงเจวี้ยนคาบบุหรี่ ค่อย ๆ หรี่ตาลง “ยังอยู่แค่มัธยมปลายปีสามอยู่เลย”

 

 

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าเธอซ้ำชั้นหนึ่งปี เป็นผู้ใหญ่แล้วนะน่ะ” ลู่จ้าวอิ่งหัวเราะคิกคัก หัวเราะอยู่สักพักก็มองตรงอีกครั้ง “แต่ว่าทางตระกูลเฉิงอาจจะลำบาก”

 

 

ทำไมลู่จ้าวอิ่งถึงจำไม่ได้นะว่าตอนที่เฉิงมู่เพิ่งมาเขาขับไล่ไสส่งฉินหร่านแค่ไหน

 

 

ได้ยินอย่างนั้นเฉิงเจวี้ยนหัวเราะออกมาเบา ๆ คาบบุหรี่ไว้แล้วบอกว่า “คิดมากไปแล้ว”

 

 

**

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

 

ตระกูลหลิน

 

 

เวลาทั้งคืนหลินฉีใช้ไปกับเรื่องของตระกูลเฟิง เรื่องของบริษัทวุ่นวายไปมากกว่าครึ่ง เอกสารทุกอย่างในตอนนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัว

 

 

“ประธานหลิน สกุลเฟิงโทรมาค่ะ” โต๊ะของเลขาอยู่อีกด้านหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน “คุยเรื่องเซ็นสัญญาค่ะ”

 

 

พูดจบหลินฉีก็ชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “เซ็นสัญญา?”

 

 

ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ทางเฉียนจิ่นอวี้ แม้ว่าจะไม่มีเรื่องของเขา อยากจะทำงานร่วมกับตระกูลเฟิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

 

 

หลินฉียังคิดไม่ออก ก็มีคนเคาะประตูห้องทำงาน “ประธานหลินคะ คุณท่านมาค่ะ”

 

 

“พ่อ?” หลินฉีวางปากกาแล้วยืนขึ้น “พ่อมาได้ยังไง”

 

 

“มาพูดเรื่องของฉินหร่าน” คุณท่านหลินนั่งลงบนเก้าอี้ ยกชาที่เลขารินให้เขาแล้วหรี่ตามอง “ทักษะคอมพิวเตอร์ของเธอดีมากใช่ไหม”

 

 

“ก็พอได้นิดหน่อยครับ” หลินฉีก็นั่งลงด้วย

 

 

สิ่งที่เขารู้ก็ได้ยินมาจากหนิงฉิง เรื่องกู้กล้องวงจรปิด ต่อหน้าคนทั่วไปก็อาจจะน่าทึ่ง แต่ต่อหน้าคนที่ชำนาญ ที่จริงแล้วมันก็ธรรมดา ๆ 

 

 

คุณท่านหลินเงยหน้าขึ้น “เฟิงโหลวหลานให้เธอเข้าสกุลเฟิง ฉันมักจะคิดว่าเธอไม่ใช่คนสุภาพขนาดนั้น ”

 

 

“ประธานเฟิงให้เธอเข้าสกุลเฟิง?” หลินฉีตกใจนิดหน่อย เขาชะงักขณะถือถ้วยน้ำชา “แล้วเธอตอบตกลงไหม”

 

 

เฟิงโหลวหลานเรียนเชิญด้วยตัวเอง ดูสำคัญจริง ๆ

 

 

มองในระยะยาวแล้วการพัฒนาดี โอกาสหายาก คนทั่วไปคงไม่ปฏิเสธ

 

 

“ไม่รู้สิ ประธานเฟิงไม่ได้พูดถึงเธอ” คุณท่านหลินไตร่ตรองสักพัก “งั้นคุณก็จับตาดูไว้ แต่เธอไม่น่าจะปฏิเสธ”

 

 

ทั้งสองคนคุยไปได้สักพัก คุณท่านหลินก็ลุกขึ้นยืน “จริงสิ คุณเอาข้อมูลของเธอมาให้ผมที”

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาที่ตระกูลหลิน หลินฉีก็ตรวจสอบประวัติของฉินหร่านไว้หมดแล้ว

 

 

คุณท่านหลินรอข้อมูลอยู่ที่ห้องรับรอง ในระหว่างนั้นก็ยังให้หลินฉีหาเบอร์ของหนิงฉิงเพื่อโทรหาหนิงฉิง

 

 

**

 

 

ขณะเดียวกัน ที่บ้านหนิงฉิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในเวลานี้ ยังคงตกใจไม่หาย

 

 

“แม่ คุณปู่พูดอะไร” ฉินอวี่รินชาอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลนัก เห็นหนิงฉิงคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วสีหน้าตกใจเล็กน้อย เอียงศีรษะถามเธอ

 

 

หนิงฉิงยังคงถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ ตะลึงงันอยู่สักพัก “ปู่เธอน่ะ โทรมาถามเรื่องหรานหร่าน”

 

 

คุณท่านหลินไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่หนิงฉิงก็รู้

 

 

เรื่องที่ฉินหร่านจะไปสกุลเฟิงหรือไม่ เขาดูใส่ใจจนผิดสังเกต

 

 

“ใช่……สกุลเฟิงไหม” ฉินอวี่เม้มปาก แสร้งทำเป็นถามเปรย ๆ 

 

 

“อืม” หนิงฉิงเหม่อลอย แต่หัวใจเต้นเร็วมาก “ประธานเฟิงอยากจ้างพี่สาวของเธอ ปู่เธอเลยให้แม่ไปคุยกับพี่สาวของเธอ”

 

 

ฉินอวี่หันข้างแล้วกระชับถ้วยในมือแน่น “แล้วพี่ว่าไงบ้าง”

 

 

“ไม่รู้ พรุ่งนี้แม่จะไปถามเธอที่โรงพยาบาล” หนิงฉิงเก็บโทรศัพท์

 

 

เธอฉลาด รู้ว่าฉินหร่านจะไม่รับสายเธอและโทรไปหาเธอไม่ได้

 

 

“อืม” ฉินอวี่เม้มปากอย่างใจลอย

 

 

ทว่าหงุดหงิดมาก ถ้าหากฉินหร่านตอบตกลงจริง ๆ ล่ะ……

 

 

**

 

 

ทางด้านนี้ เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวออกไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ห้องนี้นะ?” ผู้บัญชาการห่าวเงยหน้ามอง ยืนยันความถูกต้องของข้อมูล เงยหน้าแล้วถามเฉิงมู่ 

 

 

ใบหน้าของเฉิงมู่ดูมึนงง เขาส่งเสียง “อืม” อึมครึมมาก ไม่สดใสเหมือนก่อนหน้านี้เลย

 

 

“ผมบอกคุณไม่ผิดหรอก รู้อยู่แล้วว่าฉินหร่านจะมาหาท่านเจวี้ยน” ผู้บัญชาการห่าวหัวเราะเยาะ

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้พูดอะไร ขมวดคิ้ว ความกดดันรอบ ๆ ตัวค่อนข้างต่ำ ยกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

แม้จะไม่พูดทว่าในใจเฉิงมู่เกิดความผิดหวังเล็กน้อยกับฉินหร่าน ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลย

 

 

“อย่าจิตตก” ผู้บัญชาการห่าวยกมือขึ้นตบบ่าเฉิงมู่ “ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกับนางฟ้าของคุณเสียหน่อย พวกเราก็นางฟ้าของคุณแล้ว ที่จริงฉินหร่านก็ดีกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ  อย่าตั้งเงื่อนไขกับเธอให้มากนักเลย ”

 

 

คนสองคนกำลังคุยกันอยู่

 

 

ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกใครบางคนเปิดออก

 

 

คนหนึ่งอายุราว ๆ สี่สิบปี หญิงผมสั้นก้าวออกมาพร้อมรองเท้าส้นสูง หน้าตาคมเฉียบ “ทั้งสองคนมีเรื่องอะไรเหรอคะ”

 

 

“คุณเฟิง สวัสดีครับ พวกผมมาเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทของลูกชายคุณ”

 

 

ทันทีที่เฉิงมู่เอ่ยปาก ก็เห็นสีหน้าของผู้หญิงตรงหน้าเปลี่ยนไปและพูดอย่างสุภาพว่า “ที่แท้ก็เป็นเพื่อนของคุณหนูฉิน ฉันกำลังคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้จะพาเด็กคนนั้นไปขอโทษคุณฉินพอดี ไม่รู้ว่าคุณหนูฉินจะมีเวลาไหม……”

 

 

ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวก็มองหน้ากันไปมา ตกอยู่ในความเงียบที่อธิบายไม่ได้