ตอนที่ 110 ท่านหร่านผู้ลึกลับ ปฏิเสธการจีบอีกครั้ง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงมู่มาเพื่อแก้ปัญหาของเรื่องนี้แทนฉินหร่าน

 

 

ตอนที่รู้เรื่องนี้ครั้งแรก เขาไม่ได้คิดอะไรมาก พอบอกกับผู้บัญชาการห่าวแล้วเขาก็เริ่มเปรียบเทียบทั้งสองคน

 

 

ระหว่างทางที่มาที่นี่ก็นึกถึงเรื่องที่ผู้บัญชาการห่าวบอก

 

 

แน่นอนว่าภายในใจของเขาคิดไปไกลเกินกว่าเรื่องพวกนี้ น้ำที่จิงเฉิงย่อมลึกกว่าอวิ๋นเฉิงมาก เฉิงมู่เริ่มคิดถึงว่าฉินหร่านจะก่อเรื่องมากแค่ไหนที่จิงเฉิง

 

 

ปฏิกิริยาของเฟิงโหลวหลานเป็นไปตามที่เฉิงมู่คาดไว้

 

 

“ขอโทษ?” ลูกกระเดือกของเฉิงมู่ขยับ

 

 

เฟิงโหลวหลานสามารถเป็นประธานได้ เพราะมีดวงตาเฉียบแหลมไม่เหมือนใคร เห็นได้ชัดว่าเฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวไม่ใช่คนในพื้นที่ และแน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

 

 

ไป ๆ มา ๆ เธอสามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมาจากด้านฉินหร่าน

 

 

“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เมื่อเช้าฉันอธิบายกับคุณหนูฉินเรียบร้อยแล้ว” เฟิงโหลวหลานยิ้มขำ

 

 

สีหน้าของผู้บัญชาการห่าวเปลี่ยนไปและพึมพำเงียบ ๆ “เป็นไปได้ยังไง……”

 

 

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” เฉิงมู่เรียกสติกลับมา  โค้งศีรษะให้เฟิงโหลวหลาน

 

 

เห็นผู้บัญชาการห่าวยังตัวแข็งอยู่ที่เดิม

 

 

เฉิงมู่จึงลากเขาออกไปทันที

 

 

ถึงด้านในลิฟต์ ผู้บัญชาการห่าวจึงหลุดจากอาการตกตะลึง เขาลูบหน้าลูบตาแล้วมองเฉิงมู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอายนิดหน่อย “ทำไมเธอรู้จักกับเฟิงโหลวหลานได้ล่ะ”

 

 

ใครจะรู้ว่าฉินหร่านจัดการเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อเช้า

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เขาเองก็ไม่รู้

 

 

**

 

 

“ใครน่ะ” ภายในห้องพักผู้ป่วยเฉียนจิ่นอวี้เล่นโทรศัพท์อยู่ พูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา 

 

 

เฟิงโหลวหลานครุ่นคิด “เป็นพวกพ้องของคุณหนูฉินหร่าน”

 

 

พอพูดถึงฉินหร่าน เฉียนจิ่นอวี้ก็เครียดขึ้นมา มีอะไรให้สิ้นหวังยิ่งไปกว่าการที่ไปแหย่คนที่มีเบื้องหลังแข็งแกร่งกว่าตัวเอง

 

 

“ฉินอวี่เคยบอกแล้วว่าฉินหร่านไม่มีประวัติอะไร ฉันอยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวงาม” เฉียนจิ่นอวี้ขมวดคิ้ว “ใครจะรู้ขนาดผมเขายังกล้าทำร้ายเลย”

 

 

เฟิงโหลวหลานยืนอยู่ข้างเตียง หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง และมองเขาอย่างเยาะเย้ย “ถ้าอย่างนั้นฉินอวี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ให้จำเอาไว้เป็นบทเรียนด้วย”

 

 

เฉียนจิ่นอวี้ห่อเ**่ยวนิดหน่อย จากนั้นส่งสายตาให้กับเฟิงโหลวหลาน “พ่อมาแล้ว”

 

 

เฟิงโหลวหลานดับบุหรี่อย่างชำนาญและโยนลงถังขยะ

 

 

จากนั้นหันศีรษะกลับมา ชี้ไปที่ลูกชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย “เฉียนจิ่นอวี้เขาสูบบุหรี่”

 

 

เฉียนตุ้ยมองไปที่เฉียนจิ่นอวี้ “อายุยี่สิบสองแล้วนะ ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย  เมื่อไหร่แกจะเรียนรู้จากคุณหนูฉินบ้าง สร้างแต่ปัญหาให้ฉัน พรุ่งนี้กลับจิงเฉิงด่วนเลย ”

 

 

เฉียนจิ่นอวี้หยิบผ้าห่มคลุมศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย “ทราบแล้วครับ”

 

 

**

 

 

ห้องพยาบาล

 

 

เวลาเที่ยงครึ่ง ฉินหร่านยังไม่ตื่น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยู่ด้านนอกเอายาให้เด็กผู้ชายที่ขาพลิกจากการเล่นบาส

 

 

เฉิงเจวี้ยนศึกษาชุดฝังเข็มอยู่ด้านใน

 

 

เฉิงมู่เพิ่งนำอาหารกลับมาจากโรงแรมเอินอวี้

 

 

เฉิงเจวี้ยนเอียงศีรษะและมองไปทางฉินหร่าน ฉินหร่านยังไม่ตื่น ผ้าห่มสีดำคลุมอยู่ที่คาง 

 

 

ก่อนหน้านี้เขาดึงม่านปิดไว้ ในห้องนี้มีเพียงประตูกระจกเท่านั้นที่มีแสงส่องผ่าน มืดไปหน่อย แต่ก็ยังสามารถเห็นขนตาของเธอเป็นเงาเส้น ๆ ที่ใต้ตา 

 

 

ตอนเธอหลับก็นับว่าเป็นเด็กดีขึ้นมาหน่อย แค่คิ้วขมวด ผิวขาว ริมฝีปากซีดเล็กน้อย 

 

 

เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้นและนั่งยอง ๆ ข้างโซฟา ค่อยๆดึงผ้าห่มออกด้วยมือทั้งสองข้าง 

 

 

“ฉินหร่าน?” เขาเอ่ยเสียงเบา “ตื่นได้แล้ว”

 

 

เสียงนั้นแผ่วเบาเจือด้วยความเกียจคร้าน ราวกับสายลมเบาๆ ที่พัดผ่านทะเลสาบ มีเพียงระลอกคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย ความอ่อนโยนที่ไม่รู้ตัว

 

 

คุณภาพการนอนหลับของฉินหร่านไม่ค่อยดีนัก ยังคงฝันต่อไม่สิ้นสุด แม้ว่าจะหลับไปแล้วก็ตาม

 

 

ในความฝันเต็มไปด้วยความมืดอันไร้ขอบเขต

 

 

เต็มไปด้วยเลือดและซากศพกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง

 

 

ตอนที่สะลึมสะลือ ข้าง ๆ หูเหมือนจะมีเสียงเบา ๆ น้ำเสียงที่กดต่ำดังก้องอยู่ในหู มาบรรจบกับความฝัน ในชั่วพริบตาความฝันก็กลายกลายเป็นกระจกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ

 

 

ฉินหร่านลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย

 

 

ก็ประจันหน้าเข้ากับใบหน้าหนึ่งที่ยื่นเข้ามาใกล้

 

 

นึกขึ้นได้ว่านั่นคือเฉิงเจวี้ยน ฉินหร่านก็ลุกขึ้นนั่งแล้วกระแอมไอ “กี่โมงแล้ว”

 

 

เพราะว่าเพิ่งตื่น เสียงของเธอเลยแหบนิดหน่อย

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มศีรษะ ส่งโทรศัพท์ให้เธอดู “เที่ยงครึ่ง ไปล้างหน้าแล้วทานข้าวสิ”

 

 

“อืม” ฉินหร่านถอนหายใจ ค่อย ๆ หยิบผ้าห่มขึ้นมา คิดจะพับ แต่ก็ถูกเฉิงเจวี้ยนเอาไปแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนโยนผ้าห่มไปอีกทางพร้อมกับเชยคางเธอ “ไปล้างหน้าล้างตาก่อน”

 

 

รอฉินหร่านล้างหน้าออกมา เฉิงมู่ก็เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว

 

 

เธอเอื้อมมือลากเก้าอีกอย่างเหนื่อยหน่าย

 

 

แต่ไม่คิดว่าจะมีคนที่เร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว

 

 

เฉิงมู่ไม่เพียงแต่ช่วยเธอลากเก้าอี้ แถมยังช่วยรินชาให้เธออีก พึมพำว่า “คุณหนูฉิน ชาครับ”

 

 

เมื่อมาที่ห้องพยาบาลตอนเช้า ฉินหร่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเฉิงมู่เปลี่ยนไป แต่เธอก็ไม่ได้สนใจนัก

 

 

คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมาเฉิงมู่ก็เปลี่ยนกลับมาอีกแล้ว

 

 

ฉินหร่านมองเขา

 

 

มองจนหน้าเฉิงมู่แดงไปหมด

 

 

ฉินหร่านหัวเราะแล้วชักสายตากลับ เธอนั่งบนเก้าอี้เอามือเท้าคาง ลากเสียงยาว พูดอย่างไม่เร่งรีบ “ขอบคุณนะ”

 

 

**

 

 

ฉินหร่านทานข้าวเสร็จก็กลับไปเข้าเรียนที่ห้องเก้า

 

 

รอเธอไปแล้วเฉิงเจวี้ยนจึงเงยหน้าขึ้นมามองเฉิงมู่ แล้วพูดอย่างใจเย็น “ทำงานเป็นไงบ้าง”

 

 

เฉิงมู่ยืนก้มหน้า เมื่อได้ยินก็เงียบไปชั่วขณะ “ตอนผมไป คุณหนูฉินก็เจรจากับเฟิงโหลวหลานเสร็จแล้วครับ”

 

 

เขาเล่าเรื่องทั้งหมดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 

 

พูดจบก็เม้มริมฝีปาก มาที่อวิ๋นเฉิงครั้ง เขาก็อคติกับฉินหร่าน

 

 

แต่หลังจากที่ฉินหร่านช่วยเขาไว้ครั้งนั้น เขาก็อคติน้อยลงมาก

 

 

ผู้คนมักใช้ชีวิตอยู่กับการเปรียบเทียบ เขามักจะเปรียบเทียบนางฟ้าของเขากับฉินหร่าน

 

 

หลังจากที่เปรียบเทียบแล้วเขาก็มักจะพบข้อบกพร่องของฉินหร่านเสมอ

 

 

แต่ตอนนี้ จากมุมมองของตัวเอง เฉิงมู่ก็พบว่าฉินหร่านนั้นน่าหลงใหล

 

 

เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ๆ รู้จักเฉียนตุ้ย รู้จักเฟิงโหลวหลาน……

 

 

วันนี้ถ้าหากผู้บัญชาการห่าวไม่เข้ามาแทรก เขาก็อาจจะไม่มาคิดมากแบบนี้

 

 

เฉิงเจวี้ยนฟังจบก็ส่งเสียง “อืม” ออกมา แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไร “ฉันรู้แล้ว พรุ่งนี้นายไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะ ตามไปสืบคดีกับผู้บัญชาการห่าวแล้วกัน”

 

 

สีหน้าเฉิงมู่เปลี่ยนไป แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งใช้ขาถีบโต๊ะ เก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง เห็นเฉิงมู่เดินคอตกออกมา

 

 

อดไม่ได้ที่จะหันไป “เมื่อกี้พวกคุณพูดอะไรกัน”

 

 

เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาพลางครุ่นคิดเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจเขา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ทันรอให้เฉิงเจวี้ยนตอบ สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความระมัดระวัง

 

 

เขาแค่มองก็นึกออกว่านั่นคือพานหมิงเยว่เพื่อนของฉินหร่าน

 

 

“ไม่สบายเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งหันกลับมา วางขาลงและนั่งตัวตรง

 

 

พานหนิงเยว่ก้มศีรษะลง จากมุมนั้นลู่จ้าวอิ่งเห็นแค่เพียงกรามซีด ๆ เท่านั้น เธอตอบเสียงเบา “ฉันซื้อยาได้ไหม”

 

 

“ยา?” ลู่จ้าวอิ่งหยิบปากกามาควงพลางยิ้ม “ยาอะไร”

 

 

พานหมิงเยว่เงียบไปพักนึง หลังจากเงียบไปเธอจึงพูดออกมา “อะริพิพราโซล หรานหร่านบอกว่าพวกคุณมี”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยุดควงปากกาในมือ

 

 

อะริพิพราโซล ยาระงับอาการทางจิต

 

 

พานหมิงเยว่กระชับมือแน่น

 

 

ในเวลานี้ เฉิงเจวี้ยนที่เอียงตัวไปพูดกับเฉิงมู่เงยหน้าขึ้นมอง เดินไปที่ตู้ยาอย่างสบาย ๆ น้ำเสียงสงบ “เอากี่กล่อง”

 

 

“สองกล่องค่ะ” พานหมิงเยว่ก้มศีรษะ

 

 

“อืม เซ็นชื่อสิ” เฉิงเจวี้ยนหยิบยาออกมาจากข้างในสองกล่องแล้วโยนลงบนโต๊ะ น้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังถามว่าคุณทานข้าวหรือยัง

 

 

พานหมิงเยว่เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อตัวเอง

 

 

หยิบยามาแล้ว ตอนหมุนตัวจะเดินไปลู่จ้าวอิ่งถึงได้ยินคำว่า “ขอบคุณ” ที่แผ่วเบา

 

 

**

 

 

คาบเรียนแรกในช่วงบ่ายคือภาษาอังกฤษ

 

 

ฉินหร่านหยิบบทเรียนใหม่ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้และวางลงบนโต๊ะ หลินซือหรานหันหา “หรานหร่าน เมื่อตอนเช้าไปไหนมา”  

 

 

ฉินหร่านกึ่ง ๆ พิงกำแพง หยิบอมยิ้มออกมาแกะด้วยท่าทีสบาย ๆ “ทำธุระส่วนตัวน่ะ”

 

 

เดินทีหลินซือหรานจะถามเธอว่าใช่เรื่องของเฉียนจิ่นอวี้ไหม แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้มีเรื่องอะไร จึงไม่ได้ถามออกไป พอดีกับที่หลี่อ้ายหรงเดินเข้ามาพร้อมกับบทเรียนใหม่

 

 

โยนบทเรียนลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ สายตาสอดส่อง “ทุกคนเปิดหนังสือไปหน้า37”

 

 

เมื่อสบตากับฉินหร่าน คิ้วก็ขมวด ในตอนเช้าเธอก็มีคาบสอนที่ห้องเก้า รู้โดยทันทีว่าเมื่อเช้าฉินหร่านไม่อยู่

 

 

อธิบายคำถามปรนัยจบ หลี่อ้ายหรงก็พูดออกมา “การสอบทุกครั้งของห้องพวกเธอมีคะแนนเฉลี่ยแย่ที่สุดในชั้นเรียนที่ฉันสอน สัปดาห์หน้าสอบกลางภาคแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ตั้งใจเรียน ออกไปข้างนอกก็อย่าพูดว่าตัวเองเป็นนักเรียนอีจง แล้วก็อย่าพูดล่ะว่าฉันสอนพวกเธอ”

 

 

เธอพูดกับทั้งห้องเรียน แต่สายตามุ่งเน้นไปที่ฉินหร่าน

 

 

ห้องเก้าไม่ใช่ห้องที่สำคัญนัก ยกเว้นสวี่เหยากวง คะแนนของคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ หลี่อ้ายหรงสอนแค่สองห้อง

 

 

ห้องหนึ่งคือห้องเด็กหัวกะทิ อีกห้องหนึ่งคือห้องเก้า

 

 

คอยอบรมนักเรียนห้องหนึ่งที่มีผลคะแนน 100 อันดับแรกของโรงเรียนจนเคยชิน พอมาสอนห้องเก้าแน่นอนว่าต้องไม่ชอบใจหลายๆ อย่าง

 

 

เมื่อพูดถึงโจทย์ บางครั้งก็จะพูดว่า “ข้อนี้ห้องหนึ่งไม่มีใครผิดเลย”

 

 

คนในห้องเก้าต่างก็เคยชินกับมันแล้ว

 

 

หลี่อ้ายหรงพูดคนเดียวอยู่สองสามนาที ไม่มีใครในห้องเก้าสนใจเธอเลยสักคน เธออดทนอดกลั้นสอนจนจบคาบ

 

 

เมื่อถึงห้องพักอาจารย์ เห็นเกาหยางที่กำลังยิ้มและพูดคุยกับครูท่านอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “อาจารย์เกา คุณดูแลเด็กกลุ่มนั้นของห้องคุณด้วยนะ มัธยมหกแล้วยังโดดเรียนอยู่อีก เคยพูดกับคุณไปนานแล้วนะว่าอย่ารับเด็กมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ”

 

 

เกาหยางตอกกลับเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน “โดดเรียนอะไรครับ เขามีใบลา อาจารย์หลี่อย่าอคติกับนักเรียนสิครับ”

 

 

เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้หลี่อ้ายหรงดู

 

 

จากนั้นหยิบแผนการสอนออกไปเข้าชั้นเรียน

 

 

ผ่อนคลายมาก ไม่มีแรงกดดันใด ๆ

 

 

“ต่างกันตรงไหนคะ” หลี่อ้ายหรงสะอึก มองแผ่นหลังของเกาหยาง เม้มริมฝีปาก “ทั้งโรงเรียนห้องพวกคุณเป็นที่โหล่ คุณดูความอึมครึมของห้องพวกคุณสิ สัปดาห์หน้ามีสอบกลางภาคถ้าสอบได้คะแนนดี ๆ ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว”

 

 

ในห้องพักอาจารย์ อาจารย์ท่านอื่นก้มหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

**

 

 

วันเสาร์

 

 

ฉินหร่านไปโรงพยาบาลเยี่ยนเฉินซูหลานเหมือนอย่างเคย

 

 

ตอนที่เธอไป หนิงเวยแล้วยังมีมู่หยิงกับมู่หนานก็อยู่

 

 

ความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้วของเฉินซูหลานมากขึ้น

 

 

ฉินหร่านก้มศีรษะปอกแอปเปิลเงียบ ๆ

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก หนิงฉิงเปิดเข้ามาพร้อมกับหิ้วของไว้

 

 

หนิงเวยก้าวไปข้างหน้าสองก้าว รับของที่อยู่ในมือหนิงฉิงมา พอเห็นว่าด้านหลังหนิงฉิงไม่มีใครจึงถามออกมา “พี่ เจ้าอวี่เอ๋อร์ล่ะ เธอไม่มาหรอ?”

 

 

ได้ยินอย่างนั้น หนิงฉิงยิ้มขำ “เธอเก็บของอยู่ที่บ้านน่ะ พรุ่งนี้ต้องบินไปจิงเฉิง ไปไหว้อาจารย์”

 

 

“ไหว้อาจารย์ที่จิงเฉิง” หนิงเวยหัวเราะ “ต่อไปต้องกลายเป็นอาจารย์แน่ ๆ อวี่เอ๋อร์เก่งมากเลย”

 

 

มู่หยิงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้อง สายตามองไปด้านนอก “จิงเฉิงเจริญมากเลยนะ พี่สาวคนรองสุดยอด ”

 

 

มู่หนานช่วยฉินหร่านปอกแอปเปิล หั่นเสร็จแล้วเอาวางไว้บนโต๊ะแล้วไปนั่งก้มศีรษะอ่านคำศัพท์

 

 

ได้ยินว่ามีคนชมฉินอวี่ หนิงฉิงก็ดีใจ

 

 

“หรานหร่าน” ในตอนท้ายเมื่อฉินหร่านจะไป หนิงฉิงถึงเรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ฉันจะบอกข่าวดีให้เธอฟังนะ ประธานเฟิงเธออยากให้เธอไปเข้าสกุลเฟิง ธุรกิจของตระกูลเฟิงใหญ่กว่าตระกูลหลินมาก”

 

 

หนิงฉิงต่อกับฉินหร่านไม่ติดแล้ว เธอไปโรงเรียนอย่างรู้ตัวเอง ฉินหร่านไม่จำเป็นต้องสนใจเธอ

 

 

ดังนั้นจึงตั้งใจพูดเรื่องนี้ตอนที่เธอมาหาเฉินซูหลาน

 

 

“ตระกูลเฟิงอะไรกัน” หนิงเวยพูดด้วยความประหลาดใจ “หรานหร่านไม่ใช่ยังอยากเรียนอยู่หรอกเหรอ”

 

 

“ตระกูลเฟิงเป็น…..ของอวิ๋นเฉิง อุตสาหกรรมหลักอยู่ที่จิงเฉิง พี่ชายของประธานเฟิงก็เป็นนายกเทศมนตรี” หนิงฉิงยิ้ม “เธอถูกใจหรานหรานหร่าน อยากให้หรานหรานหร่านไปทำงานกับเธอในอนาคต”

 

 

เมื่อได้ยินหนิงฉิงบอกว่าตระกูลเฟิงใหญ่กว่าตระกูลหลิน มู่หยิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินหร่าน

 

 

ยิ่งไม่ถึงพูดถึงเฟิงโหลวเฉิงที่หนิงฉิงพูดต่อท้าย

 

 

ตอนที่ได้ยินชื่อเฟิงโหลวเฉิงทีแรกแม้แต่หนิงฉินเองก็ยังตกใจ มู่หยิงที่เป็นเพียงนักเรียนธรรมดา ๆ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

 

 

เฟิงโหลวเฉิงชื่อนี้เธอจะเห็นได้เฉพาะในข่าวหรือหนังสือพิมพ์

 

 

ทันทีที่ได้ยินจากปากของหนิงฉิงว่ามีความเกี่ยวข้องกับฉินหร่าน เธอก็ตกใจนิดหน่อย มู่หยิงรู้สึกว่าฉินหร่านนี่โชคร้ายไม่ต่างจากเธอ

 

 

ในขณะที่พี่น้องอย่างฉินอวี่ได้อยู่ในบ้านหรู ๆ นั่งรถหรู ๆ

 

 

แต่ฉินหร่านอยู่ได้แค่ในเมืองโทรม ๆ กับเฉิงซูหลานเท่านั้น

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงอวิ๋นเฉิง เรื่องต่าง ๆ ต่างไปจากจินตนาการของเธออย่างสิ้นเชิง

 

 

ฉินหร่านค่อย ๆ จิ้มแอปเปิลที่อยู่ในจานและทานช้า ๆ โดนที่ไม่ได้สนใจหนิงฉิง

 

 

“โอกาสแบบนี้พันปีก็ยากที่จะพบ” หนิงฉิงไม่ได้คิดอะไรในตอนนี้ เพียงโน้มน้าวฉินหร่านอย่างอ่อนโยน “หรานหร่าน เธอคิดดีแล้วหรือยัง”

 

 

ฉินหร่านกัดแอปเปิล หยิบไม้จิ้มฟันมาจิ้มอีกชิ้นพลางเงยหน้าขึ้นมอง “ไม่ไป”