“ฟุ่บ” ในลำธารเล็กๆ ระหว่างภูผาไร้นาม บนหน้าผามีเถาวัลย์งอกเต็มไปหมด พุ่มไม้กอหนึ่งถูกคนแหวกออก จินเฟยเหยาโผล่ศีรษะออกมาดูแล้วเดินออกมา ถ้ามีคนเห็นต้องรู้สึกประหลาดใจแน่ ด้านหลังพุ่มไม้นี้ไม่มีถ้ำ ทว่านางชอนไชออกมาจากกำแพงศิลา

ที่จริงด้านหลังพุ่มไม้กอนี้ก็คือถ้ำเซียนที่จินเฟยเหยาขุด เพียงแต่ในถ้ำจัดวางวงเวทวิญญาณสอบสองปิศาจ ดังนั้นมองจากภายนอก จึงเห็นเพียงหินและเถาวัลย์

ที่นี่ห่างไกลจากทะเลทราย และไม่ถือว่าใกล้เมืองลั่วเซียน เป็นลำธารเล็กๆ ระหว่างภูเขาที่มีพลังวิญญาณเบาบาง รอบด้านไม่มีเมืองและผู้บำเพ็ญเซียน จากที่นี่ไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ใช้ของวิเศษบินได้บินไปกลับต้องใช้เวลาครึ่งวัน หลังจินเฟยเหยาพาสยงเทียนคุนหนีออกมา ก็อาศัยอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีกว่า นอกจากเพื่อรักษาบาดแผลให้สยงเทียนคุนแล้ว ก็เนื่องจากสถานการณ์ของโลกหนานซานในตอนนี้ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงหลบอยู่ที่นี่

หนึ่งปีกว่ามานี้นางสอบถามสถานการณ์ภายนอก โลกเซียวไท่บุกทะลวงเป็นพายุ โจมตีจนโลกหนานซานรับมือไม่ทัน สำนักของโลกหนานซานถูกทัพพันธมิตรของโลกเซียวไท่โจมตีจนกระเซอะกระเซิง พ่ายแพ้ถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอด สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นเต่าหดหัวอยู่รอบเมืองวั่นคูที่รกร้างว่างเปล่า

ห้าสำนักแห่งตำหนักลั่วเซียน นอกจากหอซวีชิงและหอจิ้งฮวา สามสำนักที่เหลือถูกฆ่าล้างสำนักไปแล้ว ทว่าในสามสำนักมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวมจำนวนมากที่ไปเข้ากับโลกเซียวไท่ตั้งแต่แรก ตอนฆ่าล้างสำนัก ใช้ศักดิ์ฐานะของตนเองให้เป็นประโยชน์ สังหารผู้บำเพ็ญเซียนสำนักเดียวกันไปจำนวนมาก ในไม่ช้าก็ถูกล้างสำนัก พวกเขาจึงมีความชอบใหญ่หลวงอย่างไม่อาจลบล้าง

สำนักในโลกหนานซานที่ถูกฆ่าล้างสำนักมีจำนวนนับไม่ถ้วน ถ้าเจ้าสำนักพาทั้งสำนักยอมแพ้ ก็จะมีชีวิตรอดได้ แต่จะถูกจำกัดอิสระ ส่วนตำแหน่งเจ้าสำนักจะถูกคนของโลกเซียวไท่รับช่วงไป ศิษย์ที่มีอยู่เดิมทั้งหมดจะถือเป็นชนชั้นสอง

ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่คิดจะกลืนกินดินแดนของโลกหนานซาน ให้โลกหนานซานหายไปโดยสิ้นเชิงก็ต้องยึดเมืองวั่นคูให้ได้ ดังนั้นรอบเมืองวั่นคูจึงมีผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่จำนวนมหาศาล เพื่อป้องกันผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานหลบหนีไป ขอเพียงเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียน ก็จะมีคนตรวจสอบว่าใช่คนของโลกหนานซานหรือไม่

อย่าเห็นว่าผู้บำเพ็ญเซียนมีปริมาณไม่มาก โลกหนานซานกว้างใหญ่ ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญพบคนของโลกเซียวไท่ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากเจ้าขุดถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วผนึกถ้ำปิดด่านกักตนหลายสิบปี ไม่เช่นนั้นก็ต้องซื้อหญ้าวิญญาณ ทำการค้า เมืองและตลาดผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละแห่งถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่เฝ้าไว้หมดนานแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานไม่มีป้ายคำสั่งของโลกเซียวไท่ พอตรวจสอบก็เปิดเผยฐานะ ตอนนี้ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานอยู่อย่างลำบากยิ่ง มีเพียงเส้นทางสามสายให้เดิน

หนึ่งคือยอมอยู่ใต้อำนาจของโลกเซียวไท่ เป็นผู้บำเพ็ญเซียนชั้นสองของพวกเขา รอจนโลกหนานซานยอมสยบทั้งโลกจึงค่อยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข สองคือไปเมืองวั่นคู กล่าวสาบานว่าถึงตายก็ต้องแย่งชิงดินแดนของตนเองกลับคืนมา

ส่วนหนทางสุดท้าย ก็คือคิดหาวิธีไปจากโลกหนานซาน ไปฝึกบำเพ็ญยังโลกอื่น ทว่าเส้นทางไปยังโลกอื่น ล้วนต้องผ่านเขตแดน ทางออกแต่ละแห่งล้วนถูกโลกเซียวไท่อุดตายหมด ตอนนี้คิดจะไปก็ยากเย็นยิ่ง

ทว่าเรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องที่จินเฟยเหยากังวล ตอนนางเป็นสายลับได้ป้ายคำสั่งเฝ้าจับตาดูแล้ว ตอนเจอการตรวจสอบก็หยิบออกมาใช้ได้ อีกทั้งนางยังมีไม้ตาย ทุกครั้งล้วนบอกว่าตนเองเป็นศิษย์สายนอกของท่านเซียนหยวนหยาง ขอเพียงบอกชื่อเจ้าปิศาจเฒ่าออกไป บวกกับป้ายคำสั่ง ทุกครั้งล้วนผ่านการตรวจสอบได้อย่างปลอดภัย

จินเฟยเหยาต้องไปที่เมืองเล็กๆ ทุกเดือนเว้นเดือน นอกจากเพื่อสอบถามข่าวคราวล่าสุดของโลกหนานซานแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือต้องซื้อสิ่งของ

หลังจากสยงเทียนคุนนอนสลบอยู่สามเดือนจึงฟื้นขึ้นมา ตอนนั้นจินเฟยเหยาขุดถ้ำศิลาเล็กๆ สามห้องพักหนึ่งห้องโถง ตอนเขาฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในถ้ำศิลาแล้ว ถ้าฟื้นเร็วกว่านั้นหน่อย เขาอาจได้เปิดหูเปิดตาเห็นศิลาวิญญาณกองท่วมพื้นจนกลายเป็นทะเลสาบในอ่างมายาจิ่งเทียน

คนฟื้นแล้ว ฝีมืออันย่ำแย่ของจินเฟยเหยาไม่เกิดปัญหา ไม่ได้ต่อกระดูกของเขาผิด ฟื้นก็ฟื้นแล้ว ทว่าเนื่องจากบาดเจ็บหนักเกินไป ลืมตาได้แต่พูดอะไรไม่ออก พริบตาก็สลบไปอีก หลายวันแรกทำเอาต้านิวมือไม้ปั่นป่วน

ต่อมาหลังจากกินยาของจินเฟยเหยาหมด ในที่สุดเขาก็มีสติแจ่มใสขึ้นมาก นอกจากรู้สึกเหนื่อยจนหลับไปเองอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่ค่อยสลบไสลอีก เพื่อให้เขาฟื้นฟูดีขึ้นจะงดอาหารไม่ได้ ต้องกลับคืนสู่การใช้ชีวิตพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ กินอาหารจึงสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

อีกทั้งที่นี่ยังมีสัตว์ภูติอีกสามตัวที่ต้องกินอาหาร จินเฟยเหยาได้แต่ออกมาเดือนละครั้ง ซื้อวัตถุดิบอาหาร ยังมีหญ้าวิญญาณหรือสิ่งของทำยันต์ที่จำเป็น

คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่จะจำกัดการขายยารักษาบาดแผล ครั้งแรกๆ จินเฟยเหยายังแอบซื้อหญ้าวิญญาณจากร้านยากลับไปในราคาสูง ใช้เวทหลอมยาที่นางไม่ชำนาญที่สุดมาหลอมยา ต่อมาหญ้าวิญญาณแพงขึ้นทุกที ต่อให้นางมีเงินมากกว่านี้ก็ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ดังนั้นจึงซื้อแค่อาหารไม่ซื้อหญ้าวิญญาณอีก

ที่จริงก่อนหน้านี้ตอนนางอยู่เมืองลั่วเซียน เนื่องจากอยู่ว่างเคยซื้อหญ้าวิญญาณจำนวนมาก ทว่านางไม่กล้านำของเหล่านี้ออกมาใช้ตามใจชอบ อย่างไรเสียเตรียมการพร้อมสรรพย่อมไม่ประสบภัยพิบัติแน่ ผู้ใดจะรู้ว่าโลกเซียวไท่จะกลืนกินโลกหนานซานเมื่อใด เหลือเก็บไว้เป็นทุนรอนหน่อยจะดีกว่า

อย่างไรเสียสยงเทียนคุนกินอาหารก็เพียงพอแล้ว กินยามากไปก็มีผลข้างเคียง ผลตกค้างอาการปวดเมื่อยของจินเฟยเหยา ต้องใช้เวลาพักฟื้นหนึ่งเดือนกว่าเต็มๆ จึงบรรเทา เสริมด้วยยาสู้เสริมด้วยอาหารไม่ได้

จินเฟยเหยาออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ ตกบ่ายจึงรีบกลับมา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตามตนเองมา นางก็แหวกพุ่มไม้ มุดศีรษะเข้าไปในกำแพงหินซึ่งสร้างจากวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ ตัวเพิ่งเข้าไป ก็เห็นนางยืนมือออกมาทำให้พุ่มไม้ที่แหวกออกกลับเป็นดังเดิม จากนั้นจึงเข้าไปในถ้ำเซียนอย่างวางใจ

“เฟยเหยา เจ้ากลับมาแล้ว สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง สอบถามได้ข่าวคราวของสำนักอวิ๋นซานหรือไม่” สยงเทียนคุนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนหนังสัตว์ กำลังนอนอยู่ในห้องโถง เห็นจินเฟยเหยากลับมาก็รีบสอบถามทันที

จินเฟยเหยาขุดถ้ำศิลาเล็กๆ ให้เขาอยู่คนเดียว ก่อนหน้านี้เขานอนอยู่ในถ้ำศิลาเล็กๆ ทว่าหลังจากเคลื่อนไหวร่างกายได้ นอนอยู่ในนั้นรู้สึกน่าเบื่อเกินไป ต้านิวจึงปูหนังสัตว์ให้ใหม่ พาเขามานอนอยู่ในห้องโถงเล็กๆ

ทุกวันจะได้เห็นต้านิวทำอาหารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เห็นพั่งจื่อมักจะนอนอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน นอกจากกินแล้วนอน ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ส่วนเนี่ยนซีทำให้คนหมดวาจาที่สุด ไม่เคยมองเขาสักแวบ ทั้งวันนอกจากตอนกินข้าวแล้ว เวลาอื่นก็ร้องเรียกซีเอ๋อร์ไม่หยุดปาก ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ทั้งยังเป็นเด็กหญิงที่งดงาม สยงเทียนคุนคงไปอุดปากนางเสียนานแล้ว

“ไม่มี คาดว่าคงถูกฆ่าล้างสำนักตั้งแต่แรก นานถึงปานนี้แล้ว” จินเฟยเหยาปัดๆ ฝุ่นบนร่างที่ร่วงใส่ตัวตอนมุดพุ่มไม้ จากนั้นเอ่ยตอบอย่างไม่คิดมาก

จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าหลังจากสยงเทียนคุนฟื้นขึ้นมา ตอนแรกไม่อยากจะเชื่อว่าจินเฟยเหยาช่วยเขาไว้ หลังจากจินเฟยเหยาอธิบาย ก็เริ่มมีเรื่องกังวลใจอยู่เต็มอก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห่วงสำนักอวิ๋นซานตลอดว่าจะเป็นอะไรไป ให้นางสอบถามให้ชัดเจน ทำให้แต่ละครั้งที่จินเฟยเหยาออกไปได้ยินคำว่าซานจะรู้สึกสะอิดสะเอียน

นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง คนผู้นี้ก็สังหารศิษย์ร่วมสำนักมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงเป็นห่วงเรื่องของสำนัก เรื่องฮูหยินสยงเสียชีวิต ไม่ต้องให้จินเฟยเหยาบอกเขา คนที่มีคำสาปแม่ลูกอย่างสยงเทียนคุนรู้แต่แรกแล้ว แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงกับจินเฟยเหยา เพียงแต่ครุ่นคิดเรื่องราวเงียบๆ สับสนยุ่งเหยิงไม่จบไม่สิ้นเหมือนตอนอยู่ในรถม้าเมื่อครั้งอดีต

ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา สยงเทียนคุนส่ายศีรษะ “น่าจะไม่ถูกฆ่าล้างสำนัก ตำแหน่งของสำนักข้าอยู่ค่อนไปทางด้านข้าง อีกทั้งครั้งนี้บรรพจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ก็ไม่ได้ไปศิลารองรับฟ้ากับพวกเรา กำลังของสำนักไม่ได้อ่อนแอลง น่าจะหนีไปเมืองวั่นคูกับสำนักอื่นๆ รอหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งที่นั่น โจมตีคนของโลกเซียวไท่ให้กลับคืนสู่โลกเซียวไท่”

จินเฟยเหยาโยนอาหารที่ซื้อมาไว้ข้างนอก เอ่ยโน้มน้าว “เจ้าพูดมาตรงๆ เถอะ ต่อให้ในเมืองวั่นคูมีคนของสำนักอวิ๋นซานจริง เจ้าหาพบแล้วจะทำอะไรได้ ข้านึกว่าเจ้ากลายเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจ ถือว่าสำนักเป็นเศษซากไปนานแล้ว ตอนนี้กลับพูดอ้อมค้อมว่าคิดจะไป เจ้าเปลี่ยนไปเร็วนะ”

“ท่านแม่ข้าตายแล้ว…” สยงเทียนคุนเอ่ยเสียงเบา

จินเฟยเหยามองเขาอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ครั้งที่แล้วไม่ใช่เพราะนางไม่อนุญาตให้ไปดินแดนลึกลับลั่วเซียน เจ้าจึงแทงนางหลายครั้งหรือ เหตุใดตอนนี้จึงเกิดกตัญญูขึ้นมาเล่า?”

“ข้าคิดจะทำลายคนของโลกเซียวไท่ในโลกหนานซานทีละคน ต่อให้ข้าแค้นนาง นางก็เป็นท่านแม่ของข้า ข้าทนให้ผู้อื่นสังหารนางตายไม่ได้ ข้าต้องแก้แค้น สังหารคนของโลกเซียวไท่ทั้งหมดให้ตาย” สยงเทียนคุนเอ่ยอย่างเคียดแค้น

“อ้อ แบบนี้เอง” จินเฟยเหยาอดทน ไม่บอกคำพูดที่สยงฮูหยินพูดในวันนั้นออกมาจะดีกว่า ถ้ารู้ว่าคนที่รักถนอมตนเองมาตลอดหลายสิบปีนี้ สุดท้ายกลับทิ้งตนเองหนีเอาชีวิตรอด ก่อนตายยังเอ่ยคำพูดอันไร้หัวใจพวกนี้ออกมา เกรงว่าคนที่เป็นบุตรธิดาจะรับไม่ไหว

“ก็ได้ อย่างไรเสียคนของโลกหนานซานยังเฝ้าอยู่ที่เมืองวั่นคู ไม่ยอมแพ้มาตลอด ปีสองปีนี้น่าจะยังสู้กันไม่จบ รอจนอาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหมดแล้ว ร่างกายฟื้นฟูจนถึงระดับสูงสุด พวกเราก็ออกเดินทางด้วยกัน” จินเฟยเหยานั่งข้างต้านิว มองดูอาหารในหม้อ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

สยงเทียนคุนเงยศีรษะขึ้นทันควัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “เฟยเหยา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไปเมืองวั่นคูกับข้า ที่นี่อยู่ท่ามกลางไฟสงคราม อันตรายอย่างยิ่ง แต่เจ้าวางใจ ข้าจะต้องปกป้องเจ้า ถึงตอนนั้นพวกเราจะร่วมสังหารศัตรู ขับไล่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ทั้งหมดออกไป”

“ใครบอกว่าข้าจะไปเมืองวั่นคูกับเจ้า? ข้าไม่ชอบเรื่องฆ่าฟันเลยสักนิด อีกอย่างหนึ่งทำไมข้าต้องขายชีวิตให้โลกหนานซานด้วย ข้าสู้แทบเป็นแทบตายอยู่ด้านล่าง คนที่ได้ประโยชน์คือปิศาจเฒ่าขั้นกำเนิดใหม่ที่อยู่ด้านบนเหล่านั้นมิใช่หรือ ข้าไม่ได้ว่างไม่มีอะไรทำเสียหน่อย ไม่ไปๆ” จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ มีสีหน้างุนงง

คำพูดที่ทำให้สยงเทียนคุนซาบซึ้งก่อนหน้านี้สะเทือนจนหายเกลี้ยง เขาได้แต่ถามว่า “เจ้ามิได้เพิ่งบอกว่า พวกเราออกเดินทางด้วยกันหรือ”

จินเฟยเหยาคว้าผลหลี[1]จากในอาหารที่นำกลับมากัดกินคำโต กินพลางเอ่ยว่า “ทางไปเมืองวั่นคูต้องผ่านเมืองลั่วเซียนพอดี ความหมายของข้าคือเป็นทางเดียวกันพอดี เดินทางด้วยกันได้ ถึงตอนนั้นข้าไปเมืองลั่วเซียน ส่วนเจ้าไปเมืองวั่นคู พวกเราค่อยแยกกัน”

“ตอนนี้เมืองลั่วเซียนเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของโลกเซียวไท่แล้วมิใช่หรือ กองทัพของพวกเขาอยู่ในเมืองลั่วเซียนทั้งหมด ตอนนี้เจ้าไปเมืองลั่วเซียน มิใช่ไปหาที่ตายหรอกหรือ?” สยงเทียนคุนขมวดคิ้วเอ่ยวาจา

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าไปที่นั่นเพราะมีธุระต้องทำ ใช้เวลาไม่มากเท่าใด ปลอดภัยอย่างยิ่ง อย่างไรเสียข้าจะทำยันต์ซ่อนกาย ถึงตอนนั้นแปะไปใบหนึ่งก็พอ จริงสิ เอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้าจะฉวยโอกาสนี้ทำให้เจ้าพกสักหลายใบ ใช้แล้วสะดวกอย่างยิ่ง”

เห็นนางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา สยงเทียนคุนก็ได้แต่เลิกล้มความตั้งใจ อย่างไรเสียยังพอมีเวลาก่อนเดินทาง ค่อยๆ โน้มน้าวนางก็พอ

[1] ผลหลี คือ สาลี่