บทที่ 111 เกาะลอยได้ทั้งสิบ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จนกระทั่งถึงวันออกเดินทาง สยงเทียนคุนก็ไม่สามารถทำให้จินเฟยเหยาเปลี่ยนความคิดได้ อีกทั้งจินเฟยเหยายังไม่ยอมบอกว่าตนเองจะไปทำธุระอะไร ตอนนี้ทุกแห่งหนล้วนมีแต่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ ปล่อยให้นางวิ่งวุ่นไปทั่ว อันตรายอย่างยิ่ง เมืองวั่นคูมีแต่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน สยงเทียนคุนนึกว่าที่นั่นปลอดภัยกว่า

ทว่าจินเฟยเหยาเป็นตายก็ไม่ยอมฟัง นางยังคิดจะไปหาอุโมงค์น้ำสายนั้น จะไปเมืองวั่นคูได้อย่างไร เมืองวั่นคูต้องต้านทานโลกเซียวไท่ ต้องส่งผู้บำเพ็ญเซียนออกไปสู้รบแน่ นางไม่ต้องไปตามหาใครอีก จะไปหาเรื่องใส่ตัวขายชีวิตให้ผู้อื่นทำไม

เก็บสิ่งของในถ้ำเซียนทั้งหมดเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เหาะไปทางเมืองวั่นคู หลบหลีกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่อย่างระมัดระวังมาตลอดทาง ไปทางสถานที่ซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยโดยเฉพาะ อ้อมเป็นวงใหญ่ ระหว่างทางพบผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่สามครั้ง แต่ก็แค่คนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ สองสามคน ทุกคนถูกคนทั้งสองโจมตีสังหาร

ได้สินสงครามมา ส่วนมากจินเฟยเหยาก็ให้สยงเทียนคุน ถึงแม้สาเหตุใหญ่สุดคือนางไม่ชอบสิ่งของด้านใน แต่ทำให้สยงเทียนคุนนึกว่านางคิดเพื่อตนเองที่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่เอาสิ่งของทั้งหมดไป ดังนั้นจึงมอบสิ่งของทั้งหมดให้เขา

ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงนอกเมืองลั่วเซียนอย่างยากลำบาก ถ้าไปข้างหน้าต่อ ก็จะพบกับผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่จำนวนนับไม่ถ้วน จินเฟยเหยาหลบอยู่ในป่าที่ไร้ผู้คน เตรียมแยกทางกับสยงเทียนคุน

“พวกเราแยกกันที่นี่เถอะ ข้าไปทำธุระที่เมืองลั่วเซียน เจ้าไปหาสหายร่วมสำนักที่เมืองวั่นคู ระหว่างทางระวังหน่อย หนีได้ก็หนี อย่าฝืนต่อสู้ ถึงเมืองวั่นคูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทางนั้นต้องถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ล้อมไว้หมดแล้วแน่ เจ้าพกยันต์ซ่อนกาย ถึงตอนนั้นแอบลอบเข้าไป อย่าใช้แข็งปะทะแข็ง ยังมี ของสิ่งนี้อย่าให้ผู้อื่นรู้สุ่มสี่สุ่มห้า คนที่รู้ยิ่งน้อย ประสิทธิผลตอนที่เจ้าใช้ก็จะยิ่งดี” จินเฟยเหยาเอ่ยเตือนเสียงเบา

“เจ้ามีธุระอะไรถึงต้องกลับไปเมืองลั่วเซียนกันแน่ ขอเพียงเจ้าถูกพบตัว คิดจะหนีออกจากเมืองลั่วเซียนอีก เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด” สยงเทียนคุนถามอีกครั้งอย่างไม่วางใจ

จินเฟยเหยาถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างหมดความอดทน “ข้าบอกว่ามีธุระก็มีธุระสิ เจ้าจะถามมากความไปทำไม พูดมาก หรือข้ายังจะเอามีดแทงปากของตัวเอง ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ไม่ต้องพูดมากแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ”

เห็นจินเฟยเหยาไม่ฟัง สยงเทียนคุนก็จนปัญญา ได้แต่เอ่ยเตือนให้นางระวังซ้ำๆ ถ้าไม่มีที่ไปก็รีบไปเมืองวั่นคู

จินเฟยเหยารำคาญแทบตาย พยักหน้าตอบรับไปแกนๆ ไม่หยุด “อืม รู้แล้วๆ รีบไปเถอะ”

สยงเทียนคุนถอนหายใจยาว ได้แต่เหยียบกระบี่ดอกจวี๋สังหารไปเมืองวั่นคู

จินเฟยเหยาใช้การรับรู้ติดตามเขาไปตลอด แน่ใจว่าสยงเทียนคุนจากไปแล้วจริงๆ จึงล้วงหูเอ่ยว่า “ทำไมถึงพูดมากเหมือนท่านป้าขนาดนี้นะ ไม่พูดก็เป็นมารร้ายสังหารคนด้วยท่าทางสูงส่งเย็นชา แต่พอพูดขึ้นมา ก็เหมือนกับท่านป้าอ้วนที่ขายเต้าหู้ที่ตลาดผักเมื่อก่อนอย่างไรอย่างนั้น พูดมากไม่จบไม่สิ้น”

ล้วงหูแล้ว นางหันไปพูดกับพั่งจื่อที่อยู่ข้างกาย “พั่งจื่อ ถ้าอย่างไรเจ้ากลับไปอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน จะได้ไม่ต้องเปลืองยันต์ข้าใบหนึ่ง”

พั่งจื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างมองนางอย่างชืดชา มุมปากกระตุก คิดจะขังมันไว้ในอ่างมายาจิ่งเทียนอีกแล้ว ส่วนตนเองเล่นอยู่ข้างนอก ไม่มีทางเสียล่ะ

“กลัวเจ้าแล้ว ให้เจ้าใบหนึ่ง” จินเฟยเหยามองท่าทางไม่สะทกสะท้านของมัน ล้วงยันต์ซ่อนกายออกมาใบหนึ่งแปะบนร่างมัน จากนั้นก็ใช้ยันต์ซ่อนกายกับพรมบินและตนเอง

จากที่นี่บินไปถึงแม่น้ำลั่วต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า ถ้าไม่ใช้ของวิเศษบินได้คงช้าแทบแย่ หนึ่งคนหนึ่งกบนั่งบนพรมบินบินไปยังแม่น้ำลั่ว ผ่านไปไม่นาน จินเฟยเหยาก็เห็นเมืองลั่วเซียนที่ถูกโลกเซียวไท่ยึดครอง

ทิวทัศน์เบื้องหน้าทำให้นางตกตะลึงอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครมาเมืองลั่วเซียน สิ่งแรกสุดที่เข้าสู่สายตาก็คือเกาะลอยได้ทั้งห้า ทว่าตอนนี้ เกาะลอยได้ทั้งห้ากลายเป็นสิบ ลอยโย้เย้อยู่เหนือเมืองลั่วเซียน บางแห่งยังคว่ำลง เพราะเหตุใดจึงมีสิบเกาะ มีเกาะลอยได้แค่ห้าเกาะมิใช่หรือ จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง โผล่มาอีกห้าเกาะได้อย่างไร?

ทันใดนั้น นางก็จำได้ เกาะที่สำนักเฟยเทียนตั้งอยู่ มีทั้งหมดแปดชั้น ตรงกลางมีดอกไม้และเถาวัลย์เชื่อมกันเป็นแถวเดียว หลังจากแยกแยะอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นหกเกาะที่มีขนาดไม่เท่ากันจริงๆ ทั้งยังมีดอกไม้และเถาวัลย์ห้อยอยู่เต็มไปหมด นับไปนับมา เกาะของสำนักเฟยเทียนมีเพียงหกเกาะ หายไปสองเกาะ พอจินเฟยเหยานับ เกาะของสำนักเฟยเทียนถูกทำลายไปสองเกาะ ส่วนสำนักอื่นๆ ยังมีเกาะลอยได้อีกสี่เกาะ จำนวนนี้ไม่ถูกต้อง หรือว่ามีสำนักหนึ่งถูกฆ่าล้างสำนักไปพร้อมทำลายเกาะลอยได้?

ไม่รู้ว่าสำนักใดถูกทำลายจนกลายเป็นเช่นนี้ น่าอนาถจริงๆ จินเฟยเหยามองเกาะลอยได้อื่นๆ ต่อ

ก้นเกาะทองคำถูกโจมตีจนเป็นรูขนาดใหญ่ ตำหนักทองด้านบนก็ถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง สามารถมองเห็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่จำนวนมากบินเข้าเกาะทองคำทางรูขนาดใหญ่ด้านล่างอยู่ไกลๆ จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างตะลึงงัน “เปิดทางด้านล่างโดยตรง เข้าออกเกาะทองคำแบบนี้สะดวกจริงๆ คนที่อาศัยอยู่ทางด้านล่างจะได้รู้สึกปลอดภัย ไม่รู้สึกว่าถูกสิ่งของด้านบนกลบฝัง”

เกาะวารีที่หอจิ้งฮวาตั้งอยู่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ได้รับความเสียหาย เพียงแต่บรรยากาศอึมครึม ไม่เห็นคนแม้ครึ่งคน ส่วนเกาะลอยได้ที่เต็มไปด้วยไผ่เขียวของหอซวีชิง จินเฟยเหยาค้นหาอยู่นาน ก็ไม่พบว่าในเกาะทั้งสิบมีเกาะหนึ่งที่มีต้นไผ่ หรือว่าสำนักที่ถูกทำลายคือหอซวีชิง?

ไม่ถูกสิ จินเฟยเหยาเพิ่งสังเกตเห็น ประตูใหญ่ของเกาะที่มียอดเขาอันงดงาม ไม่ได้อยู่ท่ามกลางเกาะลอยได้เหล่านั้นแล้ว เทียบกับเกาะลอยได้ธรรมดาที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ของหอซวีชิง เป็นไปไม่ได้ที่เกาะลอยได้ซึ่งมียอดเขาลูกนั้นจะถูกโจมตีจนแบนราบ ท่าทางประตูใหญ่จะถูกทำลายไปพร้อมคนและเกาะลอยได้ ส่วนเกาะลอยได้ของหอซวีชิง แค่ไม่มีต้นไผ่ ก็ใกล้เคียงกับเกาะอื่นๆ

จินเฟยเหยาอดคิดไม่ได้ ห้ากลายเป็นสิบ ทำเกาะลอยได้ที่พลิกคว่ำให้ตั้งตรง จัดการเล็กน้อยก็สามารถเปิดสำนักสร้างบ้านได้ หลังจากเหตุการณ์นี้ เมืองลั่วเซียนก็ยังสามารถทำเงินได้อยู่

ไม่รู้ว่าในเมืองลั่วเซียนมีการเปลี่ยนการป้องกันหรือไม่ ต่อให้จินเฟยเหยามียันต์ซ่อนกายก็ไม่กล้าไป เพียงแต่บินใกล้หน่อย มองดูในเมืองลั่วเซียนด้านล่าง

สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยสำนักหรือตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน ถูกทำลายจนเละเทะ ทุกแห่งหนหลังจากเผาไหม้แล้วมีเพียงเศษซากสิ่งก่อสร้างที่ไหม้เกรียม เดิมทีจินเฟยเหยาคิดจะดูว่าบ้านของตระกูลตนเองถูกเผาจนเกลี้ยงหรือไม่ เพิ่งนึกขึ้นได้นางยังไม่เคยกลับไปเลย ตอนแรกที่พวกเขาย้ายมาอยู่ในเมืองลั่วเซียนคิดจะหลอกนางกลับไปหลายครั้ง ทุกครั้งนางล้วนปฏิเสธดังนั้นแม้แต่ประตูใหญ่อยู่ที่ใดก็ยังไม่รู้

“ช่างเถอะ อาศัยคุณธรรมของพวกเขา ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตอนนี้คงเป็นคนของโลกเซียวไท่ไปนานแล้ว” จินเฟยเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

ที่เหนือความคาดหมายของนางคือ เขตการค้ากลับไม่มีปัญหามากนัก ร้านค้ายังอยู่เหมือนเดิม บนถนนยังมีคนไปมา ทุกคนค้าขายเหมือนเดิมใกล้เคียงกับตอนที่ตำหนักลั่วเซียนดูแล จินเฟยเหยารู้ ตอนสงครามเริ่มคือเมื่อเกือบสองปีก่อน แต่พอมองดูทางสำนักก็รู้ว่าตอนนั้นสู้กันอย่างรุนแรงเพียงใด ต่อให้บรรดาช่างไม้ก่อสร้างบ้านเรือนได้รวดเร็วยิ่ง ก็ไม่อาจฟื้นฟูบรรยากาศสงบสุขและคึกคักของเขตการค้าได้ตามใจชอบ

นี่แสดงได้อย่างเดียว ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ไม่ได้ปล้นชิงและเผาทำลายร้านค้าเหล่านี้ ดังนั้นคนค้าขายจึงไม่ตายหรือได้รับบาดเจ็บ และไม่ได้หลบหนี สามารถทำการค้าต่อได้อย่างวางใจ

“ท่าทางโลกเซียวไท่แค่มุ่งเป้าไปที่อิทธิพลของผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ได้แตะต้องร้านค้าที่สามารถช่วยพวกเขาทำเงินได้เลยสักนิด” จินเฟยเหยาเอ่ยกับตนเอง

ดูก็ดูแล้ว จินเฟยเหยาจึงพาพั่งจื่อจากไป ฉวยโอกาสที่ยันต์ซ่อนกายยังมีฤทธิ์อยู่บินไปแม่น้ำลั่ว รอบเมืองลั่วเซียน มีผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่จำนวนมากกำลังล่าสัตว์ปิศาจ ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ไม่ว่าเป็นคนของโลกใด การกระทำล้วนใกล้เคียงกัน

ตลอดทางไม่มีใครพบเห็นนาง นางอดยิ้มไม่ได้ ยันต์ซ่อนกายใช้ได้ผลจริงๆ ขอเพียงไม่พบกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไป ก็ไม่มีใครพบเห็นตนเอง

เพิ่งผ่านผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่อยู่ห่างไม่ถึงสองจั้ง กลับไม่ถูกพบเห็น จินเฟยเหยาอดกระหยิ่มไม่ได้ นางยื่นมือออกมาก็สัมผัสถูกพั่งจื่อที่ซ่อนกายเช่นเดียวกันอยู่ด้านข้าง จึงจำเรื่องยันต์ซ่อนกายของพั่งจื่อหมดฤทธิ์อย่างงุนงงตรงน้ำตกในศิลารองรับฟ้าได้ นางอดบ่นพึมพำไม่ได้ “เชอะ มีของวิเศษหรือเวทมนตร์ที่สามารถทำลายยันต์ซ่อนกายได้ น่าชังจริงๆ ทุกอย่างล้วนมีการก่อเกิดและสะกดข่มกัน ให้ข้าไร้เทียมทานหน่อยไม่ได้หรือ?”

ไม่นานนัก จินเฟยเหยามาถึงข้างแม่น้ำลั่ว เริ่มค้นหาเสาศิลาในน้ำที่ทำเป็นสัญลักษณ์สองต้น อย่างอื่นข้าไม่กลัว กลัวเพียงเสาศิลาถูกน้ำพัดไป หรือได้รับผลกระทบตอนผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นต่อสู้กัน ถ้าหาเสาศิลาไม่พบ ก็ต้องลงน้ำไปค้นหา ยุ่งยากจริงๆ ถือว่านางโชคดี เสาศิลายังตั้งอยู่ในแม่น้ำลั่ว ปล่อยให้แม่น้ำลั่วกัดเซาะอย่างต่อเนื่อง

จินเฟยเหยายืนอยู่ริมฝั่ง เก็บพรมบิน ยื่นมือไปคลำหาพั่งจื่อ “พั่งจื่อ เจ้าอยู่ที่ไหน?”

“อ๊บ” พั่งจื่อยืนส่งเสียงตอบรับอยู่ด้านหลังนาง

“ข้าจะลงน้ำแล้ว ทางที่ดีเจ้ากลับไปอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน ไม่เช่นนั้นถ้าถูกน้ำพัดไป ข้าจะตามเจ้ากลับมาไม่ได้นะ”

“อ๊บๆๆ”

จินเฟยเหยาหมดคำพูด ได้แต่เอ่ยอย่างแค้นเคือง “ในลำน้ำมืดมิดมีอะไรน่าดูกัน ยุ่งจริงๆ”

พั่งจื่อไม่ยอมกลับเข้าไป ต้องการอยู่ในฟองแสงนรกกับจินเฟยเหยา มันไม่ยอมว่ายน้ำ มันเป็นกบมิใช่ปลา อยู่ในน้ำนานๆ โดยไม่หายใจไม่ได้ และไม่อยากเข้าอ่างมายาจิ่งเทียน จึงอาละวาดจะนั่งในฟองแสงนรกกับจินเฟยเหยา

“ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าคิดอย่างไร มีกบแสนสวยต้านิวและเนี่ยนซีคนงามอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ทำไมเจ้ายังไม่ยอมอยู่กับพวกมันสองตัว” จินเฟยเหยาบ่นพึมพำ ทำฟองแสงนรกสำหรับนั่งสองคนอย่างไม่ยินยอม จากนั้นยื่นมือมาลากพั่งจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าไป ยันต์ซ่อนกายยังไม่หมดฤทธิ์ จินเฟยเหยาไม่เห็นว่าหลังจากพั่งจื่อได้ยินคำพูดของนางก็มีสีหน้าไม่พอใจ

จินเฟยเหยาลากพั่งจื่อกระโดดลงในแม่น้ำลั่ว หลบหลีกกระแสน้ำเชี่ยวในแม่น้ำอย่างระมัดระวัง ลอยไปถึงปากอุโมงค์ใต้น้ำสายนั้น ปล่อยการรับรู้เข้าไปกวาดดูในอุโมงค์น้ำ ไม่พบว่ามีสัตว์ปิศาจอะไร จินเฟยเหยาก็นำหินแสงราตรีออกมาส่องสว่าง จากนั้นลอยเข้าไปเบาๆ

ตอนเพิ่งเข้าไปยังมีกระแสน้ำไหลช้าๆ ผลักฟองแสงนรกให้เข้าไปด้านใน ทว่าหลังจากเข้าอุโมงค์สายนี้ไปร้อยจั้ง น้ำรอบด้านก็ไม่ไหลอีก บรรยากาศอึมครึมไม่ขยับเลยสักนิดราวกับน้ำแข็งที่ถูกผนึก ฟองแสงนรกของจินเฟยเหยาหยุดนิ่งอยู่ในน้ำ