บทที่ 98 ออกไปเที่ยว Ink Stone_Romance

เฉิงเจียวเหนียงมาที่เรือนในช่วงนี้ อาหารการกินก็ต้องส่งแยกไปให้ เดินทางไปมาเพียงเรือนนายใหญ่เฉินและเรือนที่พักของตน นอกจากครั้งแรกที่มานั้น คนในบ้านขนาดพบหน้ายังไม่ได้พบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดคุยสนทนา

ถ้าจะพูดถึงคนที่สนทนากันบ่อยครั้งนอกจากนายใหญ่เฉินและคู่สามีภรรยาเฉินเซ่าแล้ว ก็เป็นเด็กหญิงตันเหนียงนี่ล่ะ

มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่มองมาเช่นกัน เหล่าหญิงสาวเกร็งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

ในฐานะหญิงสาวบ้านตระกูลเฉิน ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับบ้านท่านอ๋องท่านชายหรือผู้สูงศักดิ์ แต่ก็มิใช่ตระกูลคนธรรมดา กิริยาท่าทางก็ได้รับการฝึกสอนเป็นอย่างดี อีกยังล้วนถึงอายุที่สามารถออกไปเที่ยวหรือร่วมงานต่างๆ ได้แล้ว มากสุดก็เพียงเขินอาย ความรู้สึกเกร็งเช่นนี้เป็นครั้งแรก

“พี่สาว พวกพี่จะไปไหนกันหรือ” ตันเหนียงเอ่ยถาม แล้ววิ่งเข้ามาก่อน

“พวกข้าจะไปชมดอกบ๊วยที่วัดเฉี่ยถิง” เหมือนว่าเหลือบมองเฉิงเจียวเหนียงโดยไม่ตั้งใจ

“ดอกบ๊วยบานแล้วหรือ” ตันเหนียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“ใช่ ดอกบ๊วยที่วัดเฉี่ยถิงบานเร็วน่ะปีนี้” หญิงสาวกล่าว

ตันเหนียงปรบมืออย่างดีใจ

“ข้าจะไปด้วย ข้าจะไปด้วย” นางตะโกน เหมือนนึกอะไรได้แล้วจึงวิ่งกลับไปหาเฉิงเจียวเหนียง “พี่เฉิง พี่ไปด้วยกันเถิด”

ได้ยินนางเอ่ยปากชักชวน เหล่าหญิงสาวตระกูลเฉินก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร

“นายหญิงเฉิง หากไม่มีธุระอะไร ก็ไปด้วยกันเถิด” หญิงสาวผู้หนึ่งของตระกูลเฉินยืนออกมาแล้วกล่าว

ให้เด็กหญิงคนหนึ่งชักชวน เขาจะตอบรับได้อย่างไร

เฉิงเจียวเหนียงมองดูนาง

“ได้” นางพยักหน้าพลางกล่าวตอบ

ตันเหนียงดีใจกระโดดโลดเต้น

ทางใต้ในเวลานี้ฝนหนาวเย็นตกพรำ มีความอึมครึมหนาวเหน็บอยู่เล็กน้อย

แม่นางเฉิงหกก้าวเข้าประตูไป ก็เห็นฮูหยินใหญ่เฉิงที่กำลังยิ้มพลางพูดคุยกับเหล่าแม่บ้าน

“ท่านแม่” นางกล่าวเรียก ต่อหน้าบ่าวรับใช้ ก็คำนับอย่างเรียบร้อย

ฮูหยินใหญ่เฉิงช่วงนี้ดีใจมาก กวักมือเรียกบุตรสาวมานั่ง

“ถูกคนพวกนั้นมาทรมานซ้ำๆ ช่างเสียอารมณ์สิ้นดี มิเช่นนั้นที่ร้านน่าจะได้กำไรมากกว่านี้” แม่บ้านกล่าว พลางเก็บสมุดบัญชี

“ไม่รู้จักการค้าขาย คือการทำลายการค้าขาย” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “แล้วพวกเขาไปหรือยัง”

“ถึงแม้พวกเขาจะปล่อยมือไม่ดูแลแล้ว แต่ตัวยังไม่ยอมไปเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว

“เช่นนั้นก็เก็บไว้แล้วกัน บ้านเราไม่ได้สนใจว่าจะมีคนมากินข้าวบ้านเราเพิ่ม” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว แล้วยิ้มเล็กน้อย “ให้พวกเขาดูว่า ร้านนี้อยู่ในมือข้าแล้ว จะทำให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้อย่างไร ทำให้สินเดิมของเขาสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ เราบ้านตระกูลเฉิงไม่ได้จงใจทำลายของของคนอื่น”

“เพียงแต่บัญชีรายรับรายจ่ายของที่นานั้น ฮูหยินรองจะไปดูแลแล้ว” แม่นมคนหนึ่งกล่าวเสียงแผ่วเบา

ฮูหยินใหญ่เฉิงสีหน้าเคร่งเครียด

ถึงแม้จะไม่ยินยอม แต่อย่างไรนายรองเฉิงก็รับตำแหน่งตามกำหนดเวลา ฮูหยินรองอ้างว่าใกล้บ้าน ครั้งนี้จึงไม่ได้พาลูกไปด้วย แต่อยู่ที่บ้าน บอกว่าจะตั้งใจปรนนิบัติแม่ย่า เลี้ยงดูสั่งสอนลูกๆ

คนบ้านตระกูลโจวอาจจะเพราะว่าไม่คุ้นเคยกับสถานที่ รังแกคนอ่อนแอแพ้ไม้แข็ง เห็นว่าบ้านตระกูลเฉิงกัดไม่ยอมปล่อย ก็หมดความสนใจไป ไม่แย่งชิงสินเดิมนี้อีก แต่ตัวไม่ยอมไป บอกว่าจะเฝ้าดูให้เห็นกับตาตนเอง เพื่อไม่ให้สินเดิมนี้ถูกทำลายไป

ทั้งบ้านตระกูลเฉิงต่างก็ดีใจกันใหญ่ เนื่องจากเมฆหมอกของเส้นทางขุนนางนายรองเฉิงได้จางหายไปบ้างแล้ว

“เช่นนั้นก็ให้นางไปเถิด” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “ใกล้ถึงงบปลายปีแล้ว หลายวันก่อนท่านแม่ยังพร่ำบ่นนายรองเรื่องเสื้อผ้ากันหนาวอยู่ สองสามวันนี้ตรวจบัญชีเสร็จ พวกเจ้าหาคนไปส่งของเป็นเพื่อนเหมยเซียงสาวใช้ของท่านแม่เสียหน่อย”

เหมยเซียงสาวใช้ข้างกายเหล่าฮูหยินเฉิงหรือ เหล่าแม่นมต่างก็มองตากัน ส่งสายตาเป็นนัยว่าเจ้ารู้ข้ารู้

“เหมยเซียงงานเย็บปักดีนัก อีกยังเป็นคนหนักแน่น ไปดูว่าทางด้านที่พักนายรองนั้นใช้ได้หรือไม่ มิเช่นนั้นท่านแม่อย่างไรก็คงไม่วางใจ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

เหล่าแม่นมก้มหน้าขานรับ มองดูแม่นางเฉิงหกที่นั่งอยู่ข้างๆ แทบทนไม่ไหวแล้ว ก็เก็บของขอตัวลากลับไป

“ท่านแม่ ขนมสิบอย่างของวัดเสวียนเมี่ยวที่ข้าจะเอาได้แล้วหรือยัง” แม่นางเฉิงหกรีบเอ่ยถาม

ฮูหยินใหญ่เฉิงเหมือนว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ จึงเรียกแม่นมมาถาม

“เห็นบอกว่า เนื่องจากเดือนสิบสองคนสั่งมามากนัก ล้วนจองเอาไว้ก่อนแล้ว จึง…” แม่นมก้มหน้ากล่าว

“จึงไม่มีของบ้านเราอีกแล้วใช่หรือไม่” แม่นางเฉิงหกเอ่ยถาม แล้วนั่งเหยียดตัวตรง หันหน้าไปจับแขนฮูหยินใหญ่เฉิง “ท่านแม่ เห็นหรือยัง พวกเขาจงใจ ไม่ว่าพวกเราจะบอกไว้เร็วเพียงไหน ก็ไม่มีของพวกเรา!”

ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ประหลาดใจเช่นกัน

“ไม่มีจริงหรือ” นางเอ่ยถาม

“ไม่มีเจ้าค่ะ ฮูหยิน ให้ไม่พอกับความต้องการจริงๆ เจ้าค่ะ บนท้องตลาดนั้นขนมวัดเสวียนเมี่ยวถูกปั่นราคาจนกล่องละสิบตำลึงแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมก้มหน้ากล่าว

“แพงเพียงนี้เชียวหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ่งประหลาดใจใหญ่ วัดเสวียนเมี่ยวกลายเป็นเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

นางเพิ่งจะนึกได้ลางๆ ว่า ครั้งแล้วที่พบเจ้าอาวาสวัดเสวียนเมี่ยวนั้นก็นานมากแล้ว ถึงกระทั่งนึกรูปลักษณ์ไม่ออกแล้ว

“ไม่ได้มารับเงินบริจาคเลยหรือ” นางเอ่ยถาม

หรือว่ามาที่เรือนแล้วไม่มาพบนาง

“ห้ามให้นางนะเจ้าคะ” แม่นางเฉิงหกเลิกคิ้วตะคอก

“ฮูหยินเจ้าคะ วัดเสวียนเมี่ยว นอกจากครั้งแรกนั้นแล้ว ภายหลัง ก็ไม่ได้มารับเงินบริจาคอีกเลยเจ้าค่ะ” แม่นมก้มหน้ากล่าว

ขนมกล่องละสิบตำลึง มีคนมากมายแย่งซื้อกัน ใครจะสนใจเงินบริจาคเพียงน้อยนิดนี้เล่า

ฮูหยินใหญ่เฉิงสีหน้าชะงักค้างไป แม่นางเฉิงหกกัดริมฝีปาก

เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่อยู่ใต้ชายคาแล้ว ใครจะยอมก้มหัวอีก!

“ไม่เป็นไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ไปซื้อ ก็แค่จ่ายเงินมากหน่อยเท่านั้น”

แม่นางเฉิงหกนั่งลงกระทันหัน

“ช้าไปแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ซื้อไม่ได้แล้ว!” นางโมโหจนจะร้องไห้ “ไม่มีขนมไปชมดอกบ๊วย ข้าจะถูกพวกนางหัวเราะเอา! คนบ้านั่นกว่าจะไปได้ ไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะพวกเรา แต่ทำไมพวกเรายังออกประตูเรือนไม่ได้อีก!”

“ลูกข้า” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบโอบปลอบใจบุตรสาวอย่างเอ็นดู “คำพูดนี้ช่างน่าขันนัก เดิมทีเจ้าทั้งรูปลักษณ์งามทั้งมีความสามารถ เป็นที่หนึ่งที่สองในเมืองเจียงโจว ต่างก็เฝ้ารอให้เจ้าไปเที่ยวเล่นกับพวกนางกัน จะดูถูกเจ้าได้อย่างไร หญิงหก ที่ถูกหัวเราะเยาะนั้นมีเพียงแค่ตัวคน ไม่ใช่เพราะสิ่งของอะไร อย่างเช่นน้องสาวสติไม่สมประกอบนั่น หรือว่านัดกินขนมกัน ทุกคนยังจะนับถือนางเป็นเทพเซียนแล้วหรืออย่างไร”

แม่นางเฉิงหกอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา แล้วรีบทำหน้าเศร้าอีก

“เจ้าดูสิ เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ ฉะนั้น ถูกคนอิจฉาก็เป็นเพราะตัวเจ้าเช่นกัน ไม่ใช่สิ่งของอะไรจะสามารถทำได้ วางใจได้ วางใจได้” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มกล่าว แล้วช่วยลูกสาวเช็ดน้ำตา “หญิงหกของเราดีที่สุดแล้ว หากใครไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบเจ้า ต่างก็อิจฉาที่เจ้าดีกว่าทั้งนั้น”

ความเศร้าซึมของแม่นางเฉิงหกจึงได้หายไป แล้วหัวเราะขึ้นมาแทน

“เช่นนั้น ท่านแม่ ข้าจะใส่สร้อยคอสีม่วงทองชุดนั้นนะเจ้าคะ” นางกอดแขนฮูหยินใหญ่เฉิงไว้แล้วอ้อน

“ได้” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มพลางพยักหน้า ลูบไหล่ลูกสาวอย่างเอ็นดู

แม่ลูกในห้องมีความสุขกัน

เมื่อได้ยินว่าเหล่าบุตรสาวชักชวนเฉิงเจียวเหนียงไปชมดอกบ๊วยกัน สามีภรรยาเฉินเซ่าที่เป็นพ่อแม่กลับตื่นเต้นขึ้นมา

ความรู้สึกเหมือนลูกสาวออกไปเที่ยวครั้งแรกไปชั่วขณะ

ใส่อะไร พกอะไร ใครติดตาม หากหนาวแล้วร้อนแล้ว พูดผิดแล้ว ถูกคนดูแคลนแล้วจะทำอย่างไร ว้าวุ่นใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะอนุญาติดีหรือไม่ สุดท้ายจึงไปบอกนายใหญ่เฉิน

“ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่” ฮูหยินเฉินเอ่ยถาม

นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมา

“คิดอะไรหรือ พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว” เขายิ้มกล่าว “นางเป็นสาวแรกรุ่น ก็ควรจะเที่ยวเล่นสนุกสนานอยู่แล้ว”

สามีภรรยาเฉินเซ่าเข้าใจในทันใด แล้วหลุดหัวเราะออกมา จริงด้วย พวกเขาต่างก็ลืมกันแล้ว ว่าหญิงสาวผู้นี้จริงๆ แล้วอายุเพียงสิบสี่สิบห้าเท่านั้น ไม่ใช่ไม้ใกล้ฝั่ง

“ให้คนที่บ้านไปเพิ่มสักสองสามคน ให้พี่ชายน้องชายของพวกนางไปส่งสักสองสามคน” เฉินเซ่ากล่าว

เฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนชุดแล้วคลุมเสื้อคลุมเดินออกมากับสาวใช้ เห็นว่ามีเหล่าหญิงสาวบ้านตระกูลเฉินเพิ่มมาสองสามคน

“นี่คือหญิงสิบ นี่คือหญิงสิบสอง นี่คือหญิงสิบแปด…”

ตันเหนียงแนะนำทีละคนอย่างกระตือรือร้น เหล่าหญิงสาวบ้างก็อึดอัด บ้างก็แสร้งทำเป็นสบายใจ ต่างคำนับเฉิงเจียวเหนียงทีละคน

รู้จักกันแล้ว ต่อมาก็จะเริ่มพูดคุยกัน

“แขนนวมกันหนาวที่นายหญิงทำช่างดีเสียจริง” แม่นางสิบที่อายุมากหน่อยเอ่ยปากกล่าวก่อนคนแรก

เอ่ยปากพูดคุยเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับเหมาะสมที่สุดแล้ว

“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“วันนี้อากาศไม่หนาวมากนัก พกแขนนวมกันหนาวดีกว่าเตาอุ่นมือ” หญิงสาวอีกคนก็กล่าวขึ้นเช่นกัน

เหล่าหญิงสาวก็รับช่วงกัน บรรยากาศก็เริ่มสนุกสนานผ่อนคลายขึ้นมา คนกลุ่มนั้นเดินออกมา ถึงหน้าประตูสอง เห็นว่านอกจากรถม้าสี่คันแล้ว ยังมีคนขี่ม้ารออยู่อีกหกเจ็ดคน

“ทำไมคนเยอะเช่นนี้” เหล่าลูกสาวตระกูลเฉินตกใจใหญ่

ทันใดนั้น เหล่าท่านชายอายุไม่เท่ากันบ้างองอาจบ้างงดงามสวมเสื้อคลุมแต่ละสีบนม้านั้นก็หันหน้ามา

“ท่านพ่อให้พวกข้าไปส่งพวกเจ้า” พวกเขากล่าวกันโหวกเหวกวุ่นวาย

เหล่าพี่สาวน้องสาวในบ้านจะออกไปเที่ยวข้างนอก เหล่าพี่ชายน้องชายไปรับไปส่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ทว่า ไม่จำเป็นต้องมากันหลายคนเช่นนี้กระมัง

………………………………………………..