บทที่ 99 ดีหรือไม่ Ink Stone_Romance
หนุ่มน้อยท่าทางสง่าผ่าเผยหกเจ็ดคนเดินรายล้อใรถม้าสี่คัน ช่างสะดุดสตายิ่งนักยามวิ่งผ่านบนท้องถนน
เมื่อใกล้จะปีใหม่ ผู้คนก็ออกมาเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวในบ้านตระกูลร่ำรวย
แม้จะมีผู้คนมากมายบนท้องถนน แต่คนจากบ้านตระกูลเฉินกลับยังคงดึงดูดสายตามากมายให้มองมาได้
เหล่าหนุ่มน้อยท่าทางสง่าผ่าเผยเปิดทางด้านหน้า คุ้มกันด้านหลัง ม่านรถที่ปลิวเปิดออกตามสายลมพัด เสียงของหญิงสาวพูดคุยหยอกล้อกันลอยออกมาเป็นพักๆ รวมทั้งยังมีเครื่องประดับทองหยกสีมรกตที่กวัดแกว่งไปมา
ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนต่างหลีกทางให้
“ยังไม่ถึงเวลาหิมะตกดอกบ๊วยบาน บ้านตระกูลเฉินออกไปเที่ยวกันทั้งบ้านเช่นนี้เพราะอะไรกัน” ผู้คนที่อยู่รายทางเอ่ยถามอย่างสงสัย
ยามเหล่าคนตระกูลขุนนางออกไปเที่ยว เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่รู้ความนำความเดือดร้อนมาให้โดยไม่จำเป็น
บนรถม้าจะมีตราสัญลักษณ์เอาไว้ทุกคัน
แม้ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้จัก แต่คนบ้านตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์และคนที่เคยเรียนหนังสือหรือคนที่ประสงค์จะไต่เต้า หรือพวกคนพาลเสเพลที่ชอบก่อเรื่องเหล่านั้น ย่อมจดจำได้ขึ้นใจ
เพียงไม่นานผู้คนก็รู้ว่าเป็นกลุ่มคนและม้าของบ้านตระกูลเฉิน
รถม้าบนถนนก็เลี่ยงทางให้เร็วขึ้น
“อาจจะเพราะนกขมิ้นกระมัง” มีคนกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
รอบข้างมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
บ้านอำมาตย์เฉินทำนกขมิ้นได้อร่อยนั้น กลายเป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้กัน
ของป่าอย่างนกขมิ้นนั้น แต่ไหนแต่ไรมาเป็นสิ่งที่คนต่ำต้อยในชนบทนำมาใช้แก้ความอยากเนื้อ ไม่เคยนำมาขึ้นโต๊ะอาหาร ตั้งแต่มีข่าวว่าบ้านตระกูลเฉินทำนกขมิ้นได้อร่อยแพร่ออกมา ร้านอาหารในเมืองหลวงต่างก็เลียนแบบทำตามกระแส แต่เมื่อกินแล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลก
จึงมีคนที่เคยชิมนกขมิ้นของบ้านตระกูลเฉินบอกว่านกขมิ้นบ้านตระกูลเฉินนั้นมีเคล็ดลับ คราวนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้น
ชื่อเสียงของอำมาตย์เฉินก็ยิ่งโด่งดังยิ่งขึ้น
แถมยังมีข่าวลือว่าร้านอาหารยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเคล็ดลับการทำนกขมิ้นจากบ้านตระกูลเฉิน
มุกตลกนี้เล่นได้จังหวะและน่าสนใจยิ่งนัก ท่านชายฉินที่อยู่ท่ามกลางผู้คนนั้นหัวเราะออกมา ก่อนจะหันหน้าไปมองท่านชายโจวหก
“น้องสาวเจ้าคนนี้ช่างน่าสนใจนัก” เขากล่าว
ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของท่านชายโจวหกก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
“เจ้านี่นึกถึงแต่นางตลอดจริงๆ ข้าได้ยินก็ยังพอว่า หากคนอื่นได้ยินเข้า เจ้าจะทำเช่นไร” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
ท่านชายฉินเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“ควรทำเช่นไร ก็ทำเช่นนั้น” เขากล่าวพลางหัวเราะ “ช่างน่าเสียดายเสียจริง จริงๆ แล้วพวกเจ้าตระกูลส่านซีโจว น่าจะได้เปลี่ยนชื่อเป็นนกขมิ้นโจวแล้วแท้ๆ กลับโดนบ้านตระกูลเฉินแย่งไปเสียได้”
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“เกี่ยวอะไรกัน” เขาเอ่ยถาม แล้วเร่งม้าเคลื่อนไปข้างหน้า
ท่านชายฉินเร่งม้าตามไป
“เจ้านึกว่านกขมิ้นเฉินนั้นแซ่เฉินจริงหรือ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วสะบัดบังเหียน “ก่อนหน้านั้นไม่กิน ดันมาเริ่มกินตอนที่น้องสาวเจ้าเข้าเรือนไป อย่าลืมสาวใช้ของทอดที่เจ้าแย่งมาสิ”
สาวใช้ของทอด…
ของทอด…
นายหญิงสอนข้าเจ้าค่ะ นายหญิงสอนข้าเจ้าค่ะ…
นายหญิงทำเจ้าค่ะ นายหญิงหาเงินโดยการรักษาโรคเจ้าค่ะ นายหญิงสอนข้าเจ้าค่ะ…
นางอีกแล้ว!
ท่านชายโจวหกตกตะลึง กำแส้ม้าไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าก็คิดเช่นนี้เช่นกัน
“กินเก่งถึงเพียงนั้นเชียว!” เขากล่าวอย่างช้าๆ
“พิถีพิถันถึงเพียงนั้นเชียว” ท่านชายฉินกล่าวเสริม “ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็ทำตัวสบายอกสบายใจ รังสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม”
ท่านชายโจวหกหันหน้าไปมองเขา
ท่านชายฉินยักคิ้วแล้วพยักหน้า
“ถูกต้อง นางก็ดีเช่นนี้ล่ะ” เขากล่าว “มีน้องสาวเช่นนี้ เจ้าควรภูมิใจ”
ท่านชายโจวหกหันม้ากลับ
“ไม่ไปชมดอกบ๊วยแล้ว กิ่งไม้เหี่ยวแห้งมีอะไรน่าดูกัน มีแต่หญิงสาวเท่านั้นแหละที่จะดูของพวกนั้น ข้าไปภูเขาล่าสัตว์ดีกว่า” เขากล่าว แล้วเร่งม้าวิ่งไป
ณ ตำบลปาหลี่ที่ตั้งอยู่ชานเมืองของเมืองหลวง เป็นสถานที่ตั้งของวัดเฉี่ยถิง ในเวลานี้คนที่มาเที่ยวในวัดมีมากมาย เสียงพูดคุยหัวเราะดงครืนเครง
“…ท่านเซียนผู้นั้นโยนเมล็ดลูกท้อลงมา แล้วหันหลังกลับลอยไป ทันใดนั้นผู้คนจึงรู้สึกตัวแล้วรีบตะโกน หยุดก่อน หยุดก่อน แต่ก็สายไปเสียแล้ว…” ท่านชายหนุ่มน้อยคนหนึ่งยิ้มพลางเล่าเรื่อง “เพราะเหตุนี้ จึงเหลือไว้เพียงวัดเฉี่ยถิง นี้เอาไว้”
เหล่าหญิงสาวที่ล้อมอยู่ข้างกายต่างก็พยักหน้าพลางหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย
“พี่ชายสี่ ที่พี่เล่านี้ไม่สนุกเลย วัดเฉี่ยถิงนี้มีป้ายก่อนแล้วจึงมีวัดทีหลัง ป้ายนี้ก็มีที่มาเช่นกัน…ป้ายนี้…เอ๊ะ” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้น เขาเล่าไปตาก็มองพี่น้องข้างกายไปก่อนจะหยุดพูด “นายหญิงเฉิงล่ะ”
ทุกคนจึงได้รีบหันไปมอง และก็ไม่พบหญิงสาวเสื้อคลุมสีดำผู้นั้นจริงๆ
“ไปดูพระพุทธรูปทางนั้นกับตันเหนียงแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
เหล่าชายหนุ่มต่างก็หันหน้าไปมองตามทางที่นางชี้
“พวกเราก็ไปด้วย พวกเราก็ไปด้วย” พวกเขากล่าวอย่างพร้อมเพรียง
หญิงสาวเหล่านั้นรั้งพวกเขาเอาไว้
“พี่ชายสิบสอง พวกพี่ยังเล่าไม่จบเลย” พวกนางตะโกน
“ไม่มีอะไรน่าเล่าหรอก เรื่องพวกนี้คนในเมืองหลวงต่างก็รู้กัน พวกเจ้าลองถามไถ่ดูก็รู้แล้ว” หนุ่มน้อยคนหนึ่งกล่าว
คำพูดนี้ทำให้เหล่าหญิงสาวส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักเสียงดังลั่น ดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้าง
แต่บัดนี้ความคึกคักทางตำหนักฝั่งตะวันตกและลานวัดก็ลดลงไปมากแล้ว
“พี่สาว มาดูสิ พระพุทธรูปตรงนี้น่ากลัวจังเลย” ตันเหนียงเอ่ยอย่างร่าเริง กระโดนโลดเต้นอยู่เบื้องหน้า
เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังเดินตามมาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับสาวใช้ติดตามอยู่ข้างกาย
ส่วนปีกของตำหนักมีคนอยู่สี่ห้าคน พอพวกเขาได้ยินเสียงจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นหญิงสาวก็เบนสายตาอย่างมีมารยาท
ในเมืองหลวงนั้นมีอารยะ อีกทั้งใกล้จะปีใหม่แล้ว เหล่าหญิงสาวจึงออกมาเที่ยวกันมากมาย ยามฤดูร้อนพวกนางจะสวมหมวกคลุมดำปิดบัง เมื่อถึงยาวฤดูหนาวจะสวมเสื้อคลุมมีหมวกปิดหน้าแทน
ตันเหนียงตั้งใจดูพระพุทธรูปอย่างจดจ่อ สายตาของเฉิงเจียวเหนียงกลับหยุดอยู่ที่ผนังกำแพงด้านตะวันตก
ผนังของห้องนี้ว่างเปล่าไม่เหมือนกับห้องอื่นๆ ที่ด้านข้างจะมีอรหันต์ผู้พิทักษ์ยืนอยู่ ทั้งห้องเป็นสีขาวโพลน
ที่มุมผนังยังมีพู่กันน้ำหมึกจัดวางอยู่ด้วย
“นั่นเอาไว้ให้ปัญญาชนที่มาท่องเที่ยวเขียนกลอนโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวเสียงแผ่วเบา
ขณะที่พูดอยู่ ด้านนั้นมีเสียงหัวเราะของคนสี่ห้าคนดังขึ้น
“พี่ชิ่งหลินแต่งกลอนได้ดีทีเดียว”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คน ชายหนุ่มผู้หนึ่งวางพู่กันลง แล้วเขียนกลอนลงบนผนังอีกครั้ง
“ขายหน้าเสียจริงๆ”
เสียงคำชมเชยและคำถ่อมตนดังเด่นชัดทั้งคู่
ความคึกคักนี้ทำให้ตันเหนียงหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้เดินไปทางผนัง นางก็รีบตามไป
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ บนผนังนั้นมีกลอนหลายบทเขียนอยู่ประปราย
“พี่สาว พี่จะเขียนกลอนเช่นกันหรือ” นางเดินเข้าไปก่อนจะเอ่ยถาม แล้วดึงแขนเสื้อเฉิงเจียวเหนียง
กลุ่มคนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันหันมามองอีกครั้ง ถึงแม้จะเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน แต่ก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ท่าทางและการสวมใส่ไม่ธรรมดานัก จะต้องเป็นคนร่ำรวยจากตระกูลสูงศักดิ์เป็นแน่
คนร่ำรวยตระกูลสูงศักดิ์สั่งสอนให้หญิงสาวรู้หนังสือเช่นกัน บ้างก็เชี่ยวชาญบทกลอนอยู่ด้วยไม่น้อย อย่างเช่นแม่นางสองบ้านตระกูลหลี่ของอันโจว ความสามารถด้านวรรณกรรมนั้นเลื่องชื่อยิ่งนัก
เมื่อได้พบหญิงสาวที่ท่องกลอนได้ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
“ข้าไม่เป็น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วมองดูสาวใช้ “อ่าน”
สาวใช้ขานรับ อ่านบทกลอนบนผนังเสียงแผ่วเบาจากซ้ายไปขวา
ที่แท้ก็ไม่รู้หนังสือนี่เอง
คนทางนี้ก็ละสายตาไป หมดความสนใจ น่าเสียดายเสียจริง
ถึงได้บอกว่าหญิงสาวที่มีความสามารถจะพบเจอได้ง่ายดายเพียงนี้ได้อย่างไร
“ข้าก็รู้จัก ข้าก็รู้จัก” ตันเหนียงยิ้ม แล้วแย่งสาวใช้อ่านบทกลอน
เฉิงเจียวเหนียงฟังจนจบโดยไม่เอ่ยพูดอันใด
“นายหญิง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถาม
“ข้าเขียนกลอนไม่เป็น ไม่รู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“ข้าเป็น ข้าเป็น ท่านปู่เคยสอนข้า” ตันเหนียงเอามือเกยหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วมองดูผนังที่เหลือที่ว่างอยู่
วัดเฉี่ยถิงในช่วงปีใหม่เวลาที่ดอกบ๊วยผลิบาน เป็นเวลาที่คึกคักที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เหล่าปัญญาชนท่องเที่ยวมาเขียนกลอนมากที่สุดเช่นกัน บัดนี้ผนังได้ถูกทาสีใหม่เพื่อรอเวลานี้โดยเฉพาะแล้ว หากหลังปีใหม่มาดูอีกที ผนังนี้คงเต็มไปด้วยรอยขีดเขียน
“ดีมาก ข้าเขียนหนังสือเป็น เจ้าแต่งกลอน ข้าเขียนกลอน ดีหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยามมองดูผนังสีขาวนั่น
ก็รู้สึกถึงความปั่นป่วนในใจ
นางใช้มือ ใช้กิ่งไม้ฝึกเขียนหนังสือมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขียนหนังสือได้หรือยัง
“ได้สิ ได้สิ” ตันเหนียงพยักหน้าอย่างดีใจ
เด็กน้อยไร้เดียงสา รู้เพียงแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ไม่รู้ว่าต้องถ่อมตนอย่างไร
ที่แท้ก็เพื่อเย้าหยอกเด็กน้อย คนทางนั้นมองกันแล้วยิ้ม
“เช่นนี้พวกเราก็ไปชมดอกบ๊วยกันเถิด” พวกเขาเอ่ยขึ้นก่อนจะถกเถียงกันเรื่องบทกลอนเมื่อครู่ต่อ แล้วเดินออกประตูหลังไป
……………………………………………..