บทที่ 100 เขียนหนังสือ Ink Stone_Romance
สาวใช้ค่อยๆ ฝนหมึกจนเสร็จ นางมองดูตันเหนียงที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างตั้งใจ
บ้านตระกูลเฉินเป็นบ้านปัญญาชน ย่อมต้องเริ่มเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น แต่เด็กผู้หญิงอย่างตันเหนียง รักสบายมากกว่าเด็กผู้ชายเสียอีก คาดว่าน่าจะเพิ่งเริ่มอ่านตำราได้เพียงไม่นาน แต่สามารถแต่งบทกลอนได้ไม่ใช่เรื่องที่เด็กน้อยที่เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้เช่นนี้จะทำได้
คาดว่าเด็กหญิงน่าจะเคยได้ยินพี่ชาย อาจารย์ ท่านพ่อ หรือว่าท่านปู่สนทนาบทกลอนกัน
เฉิงเจียวเหนียงท่าทีเฉยชา เหม่อมองดูเพียงผนัง
“พวกเรามาชมดอกบ๊วยกัน” สาวใช้เตือนความจำตันเหนียง “เริ่มต้นเช่นนี้ได้ไหมเจ้าคะ”
ตันเหนียงส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’
“ใช่ ใช่ ข้าคิดออกแล้ว” นางเอ่ยแล้วกระแอมเล็กน้อย “ชมดอกบ๊วย วัดบนเขา มาวัดบนเขาชมดอกบ๊วย”
สาวใช้ยิ้มพลางพยักหน้า
“ดีเจ้าค่ะ อันนี้ล่ะเจ้าค่ะ” นางยิ้มกล่าว “ต่อมาล่ะเจ้าคะ”
“ดอกบ๊วย…ดอกบ๊วย…” ตันเหนียงเอียงหน้าครุ่นคิด
“ใช้ดอกบ๊วยอีกไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้แนะ
ตันเหนียงทำหน้ามุ่ย
“ข้าแต่งไม่ได้แล้ว” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้ามองนาง
“ไม่เป็นไร ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ได้” นางเอ่ยแล้วยื่นมือออกมา
สาวใช้รีบยื่นพู่กันให้นาง
“เขียนประโยคที่ข้าแต่งเมื่อครู่นี้หรือ” ตันเหนียงกระพริบตาพลางเอ่ยถาม “กลอนที่ข้าแต่งก็เขียนได้หรือ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า นางจับพู่กันขึ้นมา ตอนแรกก็รู้สึกมือสั่นเล็กน้อย
ทั้งๆ ที่มีเรี่ยวแรงแล้ว เหตุใดถึงยังสั่นอีก ทำไม ทำไมถึงได้อยากร้องไห้กัน
เขียนหนังสือ เขียนหนังสือเท่านั้น
นางเงยหน้าขึ้น มองดูกำแพงสีขาวนี้
“ตันเหนียง ข้าแก้ กลอน ของเจ้า สักสองสามคำ ดีหรือไม่” นางเอ่ยถาม
ตันเหนียงยิ้มแย้ม
“ได้สิๆ” นางกล่าว
สาวใช้ตื่นเต้นขึ้นมาในทันที นางมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่ยกพู่กันขึ้นที่ข้างผนัง ถึงแม้ตนจะรู้สึกว่าความตื่นเต้นนี้
ไร้สาระยิ่งนักก็ตาม
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นเขียนหนังสือ
ขีดแรกนั้นสั่นเทา ทำให้น้ำหมึกไหลลง
สาวใช้ส่งเสียงร้องในใจ
เดิมทีการเขียนบนกำแพงนั้นก็ยากลำบากกว่าการเขียนปกติทั่วไปอยู่แล้ว นายหญิงยังไม่เคยจับพู่กันด้วยซ้ำ อย่างน้อยหลังจากที่นางมานั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน
มือยังสั่นอยู่ ยังสั่นอยู่
นางทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดกัน นางมิจำเป็นต้องเขียนหนังสือได้ เพียงแค่แขนขาขยับได้ รักษาโรค สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ เรื่องเขียนหนังสือ จะเขียนหรือไม่เขียน เขียนเป็นหรือไม่เป็น ก็ไม่เห็นสำคัญอะไร
“โง่ ขนาดตัวหนังสือยังเขียนไม่เป็น อย่าไปบอกว่าเป็นลูกสาวข้า!”
ในหัวมีเสียงดังก้องขึ้นมากระทันหัน เฉิงเจียวเหนียงสัมผัสได้เพียงเสียงดังอื้ออึง ในตาก็เต็มไปด้วยเมฆหมอก
ใครกัน ใครกัน
นางหายใจเข้าลึก แล้วตวัดข้อมือลื่นไหลดั่งสายน้ำ
สาวใช้ข้างกายแทบจะหยุดหายใจไป นางไม่เคยคิดเลยว่าการมองดูคนเขียนหนังสือจะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้
ขณะที่สาวใช้ราวกลับจะขาดอากาศหายใจ นายหญิงผู้นั้นก็ตวัดข้อมืออีกครั้ง
สาวใช้โล่งใจ มือจับหน้าอก รู้สึกเหมือนว่านานชั่วชีวิต แต่จริงๆ แล้วเพียงแค่พริบตาเดียว
“วัด…” นางอ่านตามช้าๆ
“เขา…” ตันเหนียงก็อ่านออกมา
“รอ…” สาวใช้อ่าน แล้วร้อง ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมาทันใด ดวงตาก็เบิกกว้าง
นางจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ทัน ตันเหนียงก็อ่านต่อ
“บ๊วย…” ตันเหนียงเงยหน้าอ่านออกมา
“บาน…” เฉิงเจียวเหนียงอ่านคำสุดท้าย เก็บปลายพู่กัน แล้วถอยหลังออกมายืน
บนผนังพื้นขาวนั้น ตัวหนังสือตัวใหญ่หนึ่งบรรทัดนั้นช่างสะดุดสายตายิ่งนัก
เฉิงเจียวเหนียงมองดู สาวใช้ก็มองดู ตันเหนียงเองก็มองดู
คนหนึ่งสบายใจ คนหนึ่งตกใจ คนหนึ่งเศร้าใจ
ท่านพ่อ…
ถึงแม้จะยังนึกไม่ออกว่าท่านเป็นใคร ถึงจะยังนึกไม่ออกว่าตนเองเป็นใคร แต่ว่าขอเพียงแค่ข้ายังอยู่ ข้าก็รอได้ ท่านรอข้า รอข้าจำได้ทั้งหมด ในระหว่างนี้ ข้าก็จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข
“ไป ไปชมดอกบ๊วยกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ก่อนจะรวบแขนเสื้อแล้วก้าวออกไปทางประตูหลัง โดยไม่ได้หันหลังกลับมาอีก
ตันเหนียงหันไปสนใจเรื่องอื่นตั้งนานแล้ว พอได้ยินดังนั้นก็เดินตามไป สาวใช้ได้สติจากการเหม่อลอยเมื่อครู่
พอเห็นว่าในตำหนักนั้นมีเพียงตนคนเดียวจึงรีบเดินตามไปเช่นกัน
ยามพวกนางเดินออกทางประตูหลัง ประตูหน้าก็มีคนเข้าอีกกลุ่มหนึ่ง กำลังพูดคุยกันด้วยสำเนียงที่ไม่เหมือนคนเมืองหลวง
“…อาจารย์จางเจียงโจวทำเพื่อประโยชน์ในการไปสอบของศิษย์อย่างพวกเรา หลังปีใหม่นี้จึงเปิดสอนวิชา สอนตำราบทกลอนโดยเฉพาะ”
“…เพียงแต่ศิษย์มีมากมายนัก ไม่รู้ว่าพวกเราจะโชคดีได้ไปฟังหรือไม่…”
“…มาตอนนี้ยังเร็วเกินไป มาตอนเดือนหนึ่ง ที่นี่มีทั้งหิมะและดอกบ๊วย จะต้องมีบทกลอนเต็มไปหมดเป็นแน่…”
“…หากเขียนได้ดี ที่นี่ก็จะใช้ผ้าดำคลุมไว้ และเก็บผนังผืนนี้เอาไว้…”
“…พี่เหวินหมิง เช่นนั้นก็รีบแต่งมาสักบท ข้าเขียนติดของเจ้า ถึงเวลาจะได้พลอยได้ดีสืบทอดต่อไปด้วย…”
ทุกคนหัวเราะพูดคุยกันจนมายืนอยู่หน้าผนังขาว แล้วชะงักไปกระทันหัน
“ใครกัน ก่อกวนชัดๆ!”
กลอนกวี กลอนกวี ไม่ใช่บทร้อยกรองอย่างน้อยก็ต้องเป็นบทร้อยแก้ว มีที่ไหนกันเขียนเพียงประโยคเดียว หมายความว่าอย่างไรกัน
“วัดเขารอบ๊วยบาน” มีคนอ่านเสียงดัง “ไม่นับเป็นประโยคขึ้น ก็พอเป็นประโยคจบได้บ้าง แต่เขียนประโยคเดียวทิ้งไว้หมายความว่าอย่างไร!”
ข้างนอกมีคนเข้ามาอีก เห็นว่าทางนี้คึกคักนักก็หันมามองเช่นกัน แล้วก็กระทืบเท้าตามขึ้นมาทันใด
“ช่างก่อกวนสิ้นดี อยู่ดีๆ ก็ทำลายผนังนี้ไปเสียเฉยๆ…”
“ไม่มีนักบวชคอยเฝ้า ปล่อยให้คนเขียนเล่นหรือ…”
ท่ามกลางผู้คนที่ส่ายหัวถอนหายใจตำหนิเพราะเห็นว่าเหยียดหยามอารยะอยู่นั้น จู่ๆ มีคนส่งเสียงร้อง ‘เอ๊ะ’ ออกมา แล้วดูตัวหนังสือบนผนังนั้นอย่างตั้งใจ
“ตัวหนังสือเช่นนี้…เป็นแบบอักษรใดกัน ทำไมเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน” เขากล่าวพึมพำ พลางอดไม่ได้ที่จะใช้มือขีดเขียนตาม
ผู้คนก็เริ่มสังเกตเห็น พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นก็ไม่ได้ ตัวหนังสือทั้งบรรทัดนั้นเขียนแผ่ตัวใหญ่อยู่บนผนัง สะดุดสายตายิ่งนัก
“นี่ พวกเจ้าดูสิ แต่ละตัวไม่เหมือนกันเลย!”
“เยี่ยมเสียจริง จริงด้วย ลื่นไหลดั่งสายน้ำ เปลี่ยนไปดั่งใจนึก…”
“ทว่าน่าเสียดายนัก ขีดแรกของตัวแรกมีความลังเลอยู่บ้าง ทำให้ทั้งตัวหนังสือนั้นไม่มีพลัง…”
“…ข้าหัดคัดเขียนหนังสือตั้งแต่อายุสี่ปี ทำไมถึงไม่เคยเห็นแบบอักษรห้าแบบนี้เล่า”
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ในตำหนักหลังเล็กแห่งนี้ ความคึกคักนั้นยิ่งดึงดูดผู้คนให้เข้ามา คนที่อยู่ไกลออกไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ถามไถ่กัน
“มีคนเขียนบทกลอนได้ยอดเยี่ยมอย่างนั้น”
“ตอนนี้ยังถือว่าดีที่สุดไม่ได้ ก็แค่ดีชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็จะมีที่ดีกว่า”
มีคนประหลาดใจ มีคนเฉยชา มีคนไม่ใส่ใจ
สามสี่คนที่ชมดอกบ๊วยอยู่ไกลออกไปก็ได้ยินเสียงคึกคักทางนี้เช่นกัน
“พี่ชิ่งหลิน เมื่อครู่ที่พวกเราเข้าไป มีเพียงกลอนสี่บท คนที่ดูอยู่ก็ไปหมดแล้ว หรือว่าจะเป็นเพราะกลอนของพี่กัน” มีคนกล่าวขึ้น
บนใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าชิ่งหลินนั้นเผยความดีใจที่ยากจะปกปิด แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่งสงบไว้
“มิกล้าหรอก” เขากล่าว
“ข้าก็คิดว่ากลอนของพี่ชิ่งหลินเมื่อครู่นี้ช่างแตกต่างนักตั้งแต่แรกแล้ว”
คนอื่นๆ ต่างก็กล่าวชมเชยกัน
คนที่มีชื่อเสียงเพียงเพราะกลอนบทเดียวนั้นมีไม่น้อย บางคนถึงขั้นได้รับความสนใจจากคนใหญ่คนดังบางคนอีกด้วย
พอเกิดเรื่องดีๆ เช่นนี้หล่นทับตนเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหายใจถี่รั่วขึ้น เพื่อนๆ ทั้งอิจฉาทั้งตื่นเต้นดีใจ ถึงแม้จะเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง แต่เป็นเพื่อนกับคนมีชื่อเสียงนั้นก็ไม่เลวเช่นกัน
“รีบไปถามดู ถามดูสิ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนในทันที
เมื่อพวกเขาเดินมาถึง ตำหนักปีกข้างนี้ก็คนมากมายจนเสียดเบียดเข้าไปไม่ได้แล้ว
“ขอประทานโทษ เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ” หนึ่งในนั้นสูดหายใจเข้า แสร้งทำเป็นสับสนปนประหลาดใจแล้วเอ่ยถามขึ้น
“มีคนเขียนบทกลอนชั้นเลิศบทหนึ่ง” คนทางด้านหน้ากล่าวอย่างตื่นเต้น
เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด พวกเขามองตากัน ใบหน้าของพี่ชิ่งหลินก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย มือที่ปล่อยลงก็กำไว้แน่น
“กลอนอะไรหรือ ผู้ประพันธ์คือใคร” เพื่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
ชายผู้นั้นหันหน้ามากลอกตาใส่เขา
“คนเยอะเกินไป เบียดเข้าไปไม่ได้ ข้าก็ยังไม่เห็น…” เขากล่าว
แล้วเจ้าจะตื่นเต้นตามเขาไปทำไมกัน…พวกเขาเหยียดอยู่ในใจ
ถามไปถามมา ก็ได้ความในที่สุด
“ไม่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้”
ไม่ได้ทิ้งชื่อไว้หรือ เขียนบทกลอนจะไม่ทิ้งชื่อไว้ได้อย่างไร เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์สิ
พวกเขาชะงักไป มองดูพี่ชิ่งหลิน
“ข้า ข้าจำได้ว่าข้าเขียนชื่อแล้ว” พี่ชิ่งหลินกล่าวหน้าแดง
“อาจจะเขียนตัวเล็กไป มองไม่เห็นกระมัง” มีคนคาดเดาเสียงแผ่วเบา
ถามไปถามมาคนด้านหน้าก็พูดได้ไม่ชัดเจน ด้วยความรีบร้อนพวกเขาจึงได้เบียดออกมาตรงประตู พอถึงตรงนี้แล้วก็เบียดเข้าไปไม่ได้อีก
“นั่นเป็นกลอนที่ศิษย์พี่ข้าเขียน!” มีคนอดไม่ได้จนตะโกนออกมา
คนที่ยืนขวางทางอยู่ข้างหน้านั้นก็หันหน้ามา แต่แปลกที่ไม่มีใครตื่นเต้นยกย่อง แต่กลับกลอกตาใส่
“วิธีนี้ไม่ได้ผล ลืมไปเสียเถิด” พวกเขากล่าวอย่างพร้อมเพรียง “พวกเรายังดูกันไม่เต็มอิ่ม ไม่หลีกทางให้หรอก”
“เป็นกลอนที่ศิษย์พี่ข้าเขียนจริงๆ !” พวกเขาทนไม่ไหวตะโกนขึ้นมาอีก
“อะไรกัน พวกข้าไม่ได้ดูบทกลอน แต่ดูตัวหนังสือกันต่างหากเล่า” คนด้านหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “กลอนที่พวกเจ้าเขียนหรือ กลอนที่พวกเจ้าเขียนบนผนังนี้เทียบอะไรได้กับตัวหนังสือของคนอื่นเขากันเล่า”
อะไรนะ ไม่ใช่กลอน แต่เป็นตัวหนังสืออย่างนั้นหรือ
พวกเขาเขย่งเท้ามองผ่านไหล่ของคนข้างหน้า
วัดเขารอบ๊วยบาน
ตัวหนังสือห้าตัวชุ่มฉ่ำไปด้วยรอยน้ำหมึก แฝงไปด้วยความภาคภูมิ ความหดหู่อันอธิบายไม่ได้กระทบเข้ามาในดวงตาทันใด
คำพูดธรรมดาประโยคหนึ่งเช่นนี้ ในลายเส้นขีดเช่นนี้ กลับเหมือนดั่งมังกรเบิกเนตร มีชีวิตชีวาขึ้นมาในบัดดล
วัดเขารอบ๊วยบาน รอ บ๊วย บาน!
…………………………….