บทที่ 101 ดูตัวหนังสือ

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

บทที่ 101 ดูตัวหนังสือ Ink Stone_Romance

ปีกข้างของตำหนักคึกคักยิ่งนัก ส่วนทางเฉิงเจียวเหนียงและตันเหนียงนั้นก็เดินออกประตูไปกับเหล่าหญิงสาวบ้านตระกูลเฉินแล้ว

เฉินตันเหนียงผู้ประพันธ์บทกลอนที่ไม่เหมือนกลอน เพราะมีเพียงประโยคเดียวนั้น ได้หลงลืมสิ่งที่ตนทำไว้ไปตั้งนานแล้ว ผู้เขียนอย่างเฉิงเจียวเหนียงเมื่อได้ระบายความอัดอั้นออกมา ก็รู้สึกปลอดโปร่งจนมิได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด สองคนที่อยู่เบื้องหลังความคึกคักนั้นกลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย

ในขณะเดียวกันท่านชายฉินก็กลับมาถึงบ้านหลังจากล่าสัตว์บนเขากับท่านชายโจวหก

จวนฉินตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ถึงแม้ท่านย่าองค์หญิงฝังหนิงจะเสียไปแล้ว แต่บ้านตระกูลฉินยังคงรักษาไว้ซึ่งจวนที่พักขององค์หญิงที่ได้รับพระราชทานมา ตึกเรือนห้องหับสวนดอกไม้ทางเดินถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน เป็นจวนพักอาศัยอันงดงามอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง

ทว่าคนในจวนกลับมีไม่มากนัก มีเพียงครอบครัวท่านชายฉินเพียงครอบครัวเดียว บ้านตระกูลฉินเดิมทีมีพื้นเพอยู่ที่ชวนโจว หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อของท่านชายฉินมารับตำแหน่งในเมืองหลวง ครอบครัวนี้ก็คงไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่

ท่านชายฉินทักทายท่านพ่อและท่านแม่หลังจากกลับมาถึงบ้านตามความเคยชิน แต่บังเอิญว่าทั้งท่านพ่อท่านแม่ต่างก็ไม่อยู่ที่เรือนกัน

“ช่วงปลายปีมักจะมีเรื่องยุ่งอยู่เสมอ ท่านชายสิบสามกินข้าวมาหรือยังเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยถาม

ท่านชายฉินชี้ไปทางด้านหลัง ในมือบ่าวถือไก่ป่าอยู่สองตัว

“ข้าล่ามา เอาไปตุ๋นกิน” เขายิ้มกล่าว

ท่านชายสิบสามถึงแม้ร่างกายจะพิการ แต่กลับมีนิสัยเรียบง่ายนัก

“ท่านชายสิบสามระวังนะเจ้าคะ ระวังบาดมือนะเจ้าคะ” แม่นมรีบเอ่ยขึ้น

ท่านชายฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขึ้นนั่งบนเกี้ยว จากนั้นเหล่าบ่าวก็เคลื่อนเกี้ยวมาถึงจวนของเขา

แม่นมและสาวใช้ในเรือนได้รับคำสั่งให้จัดวางมีด กรรไกร เตา และหม้อเอาไว้

ท่านชายฉินล้างหน้าล้างตาแล้วจึงเข้ามาในเรือน พร้อมทั้งเชือดและลงมือล้างไก่ป่าด้วยตนเอง

หญิงสาวสองคนมาเดินมาถึงหน้าประตู แต่ถูกแม่นมขวางไว้ก่อน

“แม่นางหก แม่นางเจ็ดเจ้าคะ ท่านชายสิบสามล่าไก่ป่ามากำลังเตรียมทำอาหารเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยเสียงเบา

ความรังเกียจผุดขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาวสองคนนั้น

“ชายสิบสามเป็นอะไรกันนะ ทำไมถึงชอบทำอาหารเองนัก” คนหนึ่งกล่าวขึ้น “สกปรกเลอะเทอะเสียจริง”

“นั่นสิ ของกิน ของดื่ม ของใช้ อะไรก็จะทำเองไปเสียหมด ในบ้านใช่ว่าจะไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้เสียหน่อย”

อีกคนหนึ่งก็กล่าวขึ้น

ทั้งสองมองมาข้างใน ท่าทางพวกนางคงจะได้กลิ่นคาวเลือดจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก ปิดจมูก

“ช่างเถิด พวกข้าค่อยมาใหม่วันหลัง” พวกนางเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันกลับแล้วเดินออกไปท่ามกลางสาวใช้ที่ห้อมล้อมไว้

เหล่าแม่นมโล่งใจ แล้วหันหน้ามามองในเรือน

“…ต้มน้ำ…ต้องลวกก่อนถึงจะถอนขนได้ง่าย…”

เสียงเจื้อยแจ้วของชายหนุ่มด้านในลอยมารำไร

“นั่นสิ ทำไมเขาถึงได้แปลกพิลึกนัก” หญิงนางหนึ่งถอนหายใจพร้อมเอ่ยสียงแผ่วเบา

“ถึงเช่นนั้นก็เถอะ…” หญิงอีกนางหนึ่งเอ่ยขึ้นตาม ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วยื่นมือมาตบขา “…คนเช่นนี้ มักจะพิลึกกันทั้งนั้น…”

หญิงอีกนางหนึ่งรีบตีมือนาง

“พูดอะไรน่ะ หากถึงหูฮูหยินเข้า เจ้าอยากตายหรืออย่างไร” นางจ้องเขม็งแล้วเอ็ดเสียงแผ่วเบา

แม่นมรีบตบปากแล้วหดหัวลง แต่บนใบหน้ากลับยังยิ้มอยู่เล็กน้อย

แสงไฟในเรือนสว่างขึ้น ท่านชายฉินใส่เห็ดป่ากำหนึ่งลงในหม้อดิน

“เสร็จแล้ว รอครึ่งชั่วยามค่อยยกมาให้ข้า” เขาเอ่ยขึ้นแล้วปล่อยแขนเสื้อที่ผูกเอาไว้

เหล่าสาวใช้ขานรับ มองดูท่านชายฉินที่กำลังยื่นมือมาหยิบไม้เท้า

เป็นเพราะเมื่อครู่ไม้เท้านี้เกะกะขวางจึงถูกกระแทกไปมาจนหล่นอยู่ข้างๆ ทำให้ท่านชายฉินเอื้อมไม่ถึง สาวใช้จึงรีบเข้าไปหยิบขึ้นมาแล้วส่งให้แก่เขา

ใบหน้าอมยิ้มของท่านชายฉินเหมือนว่าชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติในทันใด

เขายื่นมือไปรับไม้เท้า สาวใช้พยุงเขาลุกขึ้น จากนั้นเขาก็เดินกะเผลกไปในห้อง

สาวใช้สี่คนในห้องยกชุดเสื้อผ้าสะอาดมาให้เปลี่ยน ส่วนสาวใช้อีกสามคนก็เข้าไปถอดเสื้อของท่านชายฉินทีละชั้น จนเหลือเพียงเสื้อตัวในชั้นสุดท้ายแล้วพยุงเข้าไปอาบน้ำ

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มีสาวใช้สองคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังเช็ดผมให้กับเขา ท่านชายฉินหลับตาพิงโต๊ะเตี้ย  คล้ายว่านอนหลับไปแล้ว

“ท่านชายสิบสามเจ้าคะ น้ำแกงตุ๋นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงแม่นมลอยมาจากด้านนอก

ท่านชายฉินยืดตัวขึ้นนั่งในทันที สาวใช้ด้านหลังไม่ทันได้ระวังจนเผลอกระชากผมยาวของเขา นางตกใจจนรีบโขกหัวลงกับพื้น

“ไม่เป็นไร ออกไปได้แล้ว” ท่านชายฉินยิ้มกล่าวแล้วโบกมือให้พวกนางออกไป เขานั่งหลังเหยียดตรง “รีบยกมา รีบยกมา”

ไก่ตุ๋นเห็ดร้อนๆ จัดวางอยู่บนโต๊ะ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว

“รสชาติดี รสชาติดี” ท่านชายฉินยิ้มแล้วสูดดมกลิ่น ก่อนจะค่อยๆ ใช้ช้อนและตะเกียบละเลียดกิน

สาวใช้สองคนด้านหลังมองตากันอย่างอดไม่ได้

นี่เรียกว่ารสชาติดีหรือ สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ค่อยได้กินเนื้ออาจจะคิดว่ารสชาติดี แต่ระดับตระกูลฉินนั้นน้ำแกงไก่ตุ๋นถ้วยหนึ่งจะรสชาติดีเพียงใดเชียว

พวกนางมองดูท่านชายหนุ่มน้อยตรงหน้าในชุดขาวสง่างาม ผมยาวจรดพื้น มือหนึ่งจับแขนเสื้อไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งกินกำลังอย่างสบายใจ ใบหน้าขาวดั่งหยกนั้นก็เลือนลางท่ามกลางไอร้อนที่ลอยคละคลุ้ง

“ข้าทำเอง” ท่านชายฉินกล่าวพึมพำ “ข้าทำเอง ข้าทำเอง ข้าทำเอง ข้านั้น ทำเอง”

เขาก้มหน้า เอาเนื้อเข้าปากแล้วค่อยๆ เคี้ยวคำโต

สบายใจแล้ว ก็นอนหลับสบายทั้งคืน

เฉิงเจียวเหนียงที่มาฝังเข็มให้นายใหญ่เฉินตามปกติ จู่ๆ ก็ถูกถามถึงเรื่องที่นางออกไปเที่ยว

“พอได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวน้ำเสียงแข็งทื่อ

“ดูเหมือนว่าวัดเฉี่ยถิงจะเป็นที่ที่ดีสินะ” นายใหญ่เฉินกล่าว อมยิ้มมองดูเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิงท่าทางดีขึ้นมาก”

สาวใช้หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่ยังคงตัวแข็งทื่ออยู่ ในสายตาของผู้คนที่ได้เห็นคงคิดว่านางอาการไม่เคยดีนัก เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“นายหญิงก่อนหน้านี้ดูเศร้าซึม ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นแล้ว” นายใหญ่เฉินกล่าว

เศร้าซึมหรือ สาวใช้อดไม่ได้ที่จะมองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง สีหน้าเช่นนี้ดูออกว่าเศร้าซึมด้วยหรือ

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คัดค้านและไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นจึงหยิบเข็มทองขึ้นมา

ฮูหยินโจวก้าวเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า

“ท่านแม่” ท่านชายโจวหกที่เดินตามเข้ามาเอ่ยถามขึ้น “นางหาข้ออ้างไม่ยอมพบอีกแล้วหรือ”

ฮูหยินโจวรับชาที่แม่นมยื่นมาให้

“พบหรือไม่พบ ก็ช่างเถิด” นางกล่าว “อย่างไรเสียข้าก็ทำเต็มที่แล้ว รับหรือไม่รับ ก็เป็นเรื่องของนางแล้ว”

ท่านชายโจวหกสีหน้าตึงเครียด

“ลูกทำให้ท่านแม่ต้องลำบากใจเอง” เขาโค้งตัวคำนับแล้วกล่าว

ฮูหยินโจวรีบพยุงไว้

“พูดอะไรกัน เกี่ยวอะไรกับเจ้า เพียงแค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสาวใช้นั่นทำขายหน้าเอง นางไม่ดูคนให้ดีเอง แล้วมาโทษเรา ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเสียจริง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน

ท่านชายโจวหกเดินออกจากเรือนของท่านพ่อท่านแม่มายังสนามฝึกประลอง เขาฝึกกระบองไปกระบวนหนึ่ง

หนุ่มน้อยเหงื่อท่วมตัว ยามกลับมายังเรือนของตนก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว

สำรับอาหารเพิ่งจะตั้งสำรับเสร็จ ด้านนอกก็มีบ่าวพยุงท่านชายฉินเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

เนื่องจากขาพิการ เขาจึงเดินอย่างเชื่องช้ามาโดยตลอด น้อยนักที่จะฝีเท้าเร่งรีบจนไม่เป็นท่าเช่นนี้

ท่านชายโจวหกรีบโหนตัวลุกขึ้น

“โจวหก เป็นเพราะเจ้าเลยทำให้ข้าพลาดเรื่องดีๆ ไป” ท่านชายฉินเอ่ยขึ้น

“เรื่องอะไร” ท่านชายโจวหกโล่งใจแล้วเอ่ยถาม

“เมื่อวานในวัดเฉี่ยถิงมีกลอนยอดเยี่ยมบทหนึ่ง” ท่านชายฉินกล่าว

ท่านชายโจวหกเบะปาก มีแต่คนว่างเท่านั้นถึงได้แต่งกลอนกันทั้งวัน

“กลอนอะไร” เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

“วัดเขารอบ๊วยบาน” ท่านชายฉินกล่าว

ท่านชายโจวหกยกถ้วยน้ำแกงขึ้นมา รออยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้ยินท่านชายฉินพูดต่อ

“แล้วอย่างไรต่อ” เขาเอ่ยถาม พลางกินน้ำแกงคำใหญ่

“ไม่มีแล้ว” ท่านชายฉินกล่าว

ท่านชายโจวหกก็พ่นน้ำแกงพุ่งพรวดออกมาจนกระเด็นใส่ท่านชายฉินตรงหน้าเข้าอย่างจัง

เขามิใช่คนถือเรื่องเล็กน้อยจึงไม่ได้สนใจอะไร ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ และดูเหมือนว่ากำลังดื่มด่ำอยู่กับกลอนบทนั้น

“นี่หรือกลอนอันยอดเยี่ยมที่ว่า” ท่านชายโจวหกจ้องเขม็งแล้วตะโกน พลางผลักสาวใช้ที่รีบมาเช็ดตัวออก แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเอง “เจ้าจงใจมาแกล้งข้าละสิ ถึงข้าจะเป็นชาวยุทธ แต่บ้านตระกูลโจวก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือนะ! มา มา เจ้าลองฟังดู ข้าจะแต่งบทกลอนอันยอดเยี่ยมให้เจ้าฟัง”

เขาเอ่ยขึ้นแล้ววางผ้าเช็ดหน้าไว้ข้างๆ ก่อนจะจ้องตาเขม็ง

“น้ำ ชา ถ้วย หนึ่ง ดี” เขาพูดขึ้นทีละคำ “วัดเขารอบ๊วยบาน น้ำชาถ้วยหนึ่งดี เห็นไหม ข้ายังเอามารวมกันได้ด้วย”

ท่านชายฉินหัวเราะออกมา

“เจ้าโง่” เขายิ้มกล่าว แล้วยื่นมือมาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากมือของบ่าวข้างกายแล้วคลี่ออก

“วัดเขารอบ๊วยบาน” ท่านชายโจวหกอ่าน “ช่างเป็นบทกลอนที่ดีจริงๆ”

ชายหนุ่มตะโกนเรียกให้นำพู่กันน้ำหมึกมา เขาจะเอาประโยคที่เขาเพิ่งแต่งเองนั้นมาต่อ เพิ่มความงดงามของบทกลอน

ท่านชายฉินยิ้ม ทำทีเป็นถ่มน้ำลายใส่

“ดูตัวหนังสือ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วดันโต๊ะมา

…………………………………………