บทที่ 102 เข้าใจ Ink Stone_Romance
ใต้หล้านี้มีตัวหนังสืองามอยู่สักเท่าใดเชียว มีอะไรน่าดูกัน
“ข้าเพิ่งไปคัดลอกมาเมื่อครู่ ถึงแม้จะคล้ายคลึง แต่อย่างไรเสียก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่าดูที่นั่นหรอก” ท่านชายฉินบรรยายอย่างละเอียด “เพราะมีคนไปดูเยอะมาก ถึงขนาดกับมีคนนั่งกับพื้นคัดลอกแล้วเหม่อลอย วัดเฉี่ยถิงกลัวว่าจะทำลายตัวหนังสือนั้นไป จึงเอาผ้าดำคลุมไว้แล้ว เมื่อมีอักษรห้าตัวนี้อยู่ ผนังผืนนั้นคงไม่มีใครกล้าไปขีดเขียนระบายสีแล้ว”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็อมยิ้มแล้วถอนหายใจ
“งานประพันธ์บทกลอนในปีนี้ยังไม่ทันได้เริ่ม พอมีอักษรเหล่านี้ก็จบงานเสียก่อนแล้ว” เขากล่าว
ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ท่านชายโจวหกมองดูตัวหนังสือที่ปูอยู่บนโต๊ะเตี้ย
วัดเขารอบ๊วยบาน วัดเขารอบ๊วยบาน
เขาดูไปทีละตัว ตัวอื่นก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอเห็นอักษรคำว่า ‘บาน’ หัวใจของเขาก็สั่นไหว
สายตาของเขาตกอยู่ที่คำว่า ‘บาน’ เขารู้สึกเหมือนมีอาวุธมีม้าศึกพุ่งกระโจนมาตรงหน้า
ท่านชายโจวหกอดไม่ได้ที่จะปิดตา
รุ่นท่านพ่อล้วนผ่านการศึกสงครามรบบนหลังม้ามาแล้ว ตอนนี้เขายังอายุน้อยนัก ทั้งยังอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองสงบสุขรุ่งเรือง อาวุธม้าศึกเช่นนั้นสัมผัสได้จากการบรรยายของผู้ใหญ่และบนสนามฝึกประลองเท่านั้น ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่โหยหามาโดยตลอด แม้จะนอนจะนอนฝันถึง แต่ตื่นมากก็ยังไม้รู้ถึงอิ่มใจ
ความรู้สึกนั้นเหมือนกับความรู้สึกเมื่อเห็นคำว่า ‘บาน’ นี้ยิ่งนัก
เขายื่นมือมาลูบคำว่า ‘บาน’ นี้เบาๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่
วัดเขารอบ๊วย บาน!
เมื่อเห็นท่าทางของท่านชายโจวหกแล้ว ท่านชายฉินก็ยิ้มออกมา
“แต่ข้ากลับชอบคำว่า ‘รอ’ นี้มากกว่า” เขาเอ่ยแล้วยื่นมือมาลูบเบาๆ แฝงไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “ในห้าตัวอักษรนี้ แต่ละคนมองแล้วก็จะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ห้าตัวอักษรที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับเขียนออกมาได้อรรถรสถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนกันแน่”
“ไม่รู้ว่าใครหรือ” ท่านชายโจวหกประหลาดใจ “ปัญญาชนนักเขียนบทประพันธ์อย่างพวกเจ้าชอบทิ้งชื่อเอาไว้ด้วยไม่ใช่หรือ”
ท่านชายฉินหัวเราะพลางส่ายหน้า
“ไม่มีชื่อ และไม่มีคนเห็นว่าผู้ใดเป็นคนเขียน บ้างก็บอกว่าเป็นขุนนางเก่าแก่เกษียณผู้หนึ่ง บ้างก็บอกว่าเป็นปัญญาชนที่มีปณิธานแน่วแน่ แล้วยังมีคนบอกว่าเป็นนักรบที่รอไปสร้างผลงาน” เขายิ้มกล่าว แล้วก็ดูตัวอักษรบนกระดาษอีก “ข้ากลับรู้สึกว่าน้ำหนักพู่กันของคนผู้นี้ยังไม่เพียงพอ อาจจะเพราะแรงไม่พอ หรือว่าเพราะอะไรบางอย่าง แฝงไปด้วยความเป็นผู้หญิง”
ท่านชายโจวหกมองดูอีกสักพัก
“ไม่ต้องคาดเดาหรอก เขียนสิ่งนี้ก็เพื่อชื่อเสียง ตอนนี้ได้ดั่งใจแล้ว คิดว่าคงอีกไม่นาน คนนั้นก็จะออกมาเอง” เขากล่าว
ท่านชายฉินพยักหน้าแล้วมองดูตัวอักษรบนโต๊ะเตี้ย
ในห้องก็เงียบไปสักพัก
“อ้อ นับดูแล้วก็น่าจะใกล้สิบวันแล้ว น้องสาวลูกพี่ลูกน้องเจ้าจะกลับมาแล้วมิใช่หรือ” ท่านชายฉินเหมือนนึกอะไรได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ เสียอารมณ์สิ้นดี!” ท่านชายโจวหกสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด
ท่านชายฉินหัวเราะเสียงดัง
ยามเช้าตรู่ในห้องเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ตันเหนียงลงจากเตียง แม่นมและสาวใช้เงียบสงัดไม่มีเสียง นางเองก็ชะงักไปสักครู่ ใส่เพียงถุงเท้าเดินไปข้างหน้าต่างแล้วผลักให้เปิดออกอย่างแรง
ลมหนาวพัดพาเอาเกล็ดหิมะเข้ามา
“ว้าว หิมะตกจริงด้วย!” นางตะโกน “พี่สาวพูดถูกจริงๆ ด้วย!”
เสียงพูดทำเอาแม่นมและสาวใช้ด้านนอกตกใจตื่น
“นายหญิงของข้า อย่าตากลมเจ้าค่ะ”
แล้วรีบอุ้มตันเหนียงออกจากหน้าต่างอย่างโกลาหล
ขณะเดียวกัน ณ ที่พักของเฉิงเจียวเหนียง สาวใช้กำลังเปิดม่านและผลักหน้าต่างออก นางรู้สึกถึงลมหนาวที่พัดมาจนเจ็บมือไปหมด
“เอ๊ะ หิมะตก” นางมองออกไปแล้วตะโกนอย่างดีใจ
เฉิงเจียวเหนียงเลี้ยวออกมาจากหลังฉากกั้น เดินมาหน้าประตูแล้วเปิดออก
ด้านนอกนั้นหิมะละเอียดดั่งเมล็ดข้าวกำลังสาดเทลงมา
“นายหญิงเจ้าคะ ระวังหนาวนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเข้ามาใช้เสื้อคลุมห่อนางเอาไว้
หิมะตก เฉิงเจียวเหนียงมองดูข้างนอก เป็นครั้งแรกที่ใจเต้นรัวเช่นนี้
เป็นเพราะว่าเมื่อก่อนยามหิมะตก นางมีเรื่องที่ยากจะลืมหรือ ยามมองดูหิมะ จะทำให้นางนึกอะไรออกอย่างนั้นหรือ
เหมือนกับวันนั้นที่เขียนหนังสือในวัด ในหัวก็ผุดภาพท่านพ่อขึ้นมา ถึงแม้ยังจำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่านึกอะไรไม่ออกเลย
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมา นางนิ่งไปชั่วขณะ สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน แต่เสียดาย
ที่ความรู้สึกนั้นหายไปในพริบตา เหมือนกับเกล็ดหิมะที่นั้นละลายไปในพริบตายามตกลงมาบนฝ่ามือ
เฉินเซ่าก้าวเข้ามาในห้องของนายใหญ่เฉิน เขาเห็นเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังอ่านใบสั่งยา สาวใช้ด้านข้างกำลังเขียนตามอยู่
“ท่านปู่ หิมะตกแล้ว จริงๆ นะ” เสียงของเฉินตันเหนียงดังลั่นห้อง “นายหญิงบอกว่า สามวันห้าวันให้หลังจะหิมะตก แล้วหิมะก็ตกจริงๆ!”
เมื่อเห็นว่าเฉินเซ่าเดินเข้ามา ตันเหนียงก็ตะโกนเรียกท่านพ่ออย่างดีใจ แต่ก็กลับหันไปสนใจเฉิงเจียวเหนียงดังเดิมในทันที
“หิมะจะตก ฟ้าบอกกับพี่สาวหรือ” นางเอ่ยถาม
พูดอะไรกันนี่ ฟังแล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก
เฉินเซ่าชะงักไปเล็กน้อย
หญิงสาวผู้นี้บอกว่าจะหิมะตกภายในสามวันห้าวันให้หลังอย่างนั้นหรือ นางพยากรณ์ได้ก่อนอย่างนั้นหรือ นางดูดินฟ้าอากาศเป็นด้วยอย่างนั้น
เขานึกถึงตอนนั้นที่ท่านพ่อบอกว่าพบนายหญิงผู้นี้ระหว่างทาง ตอนนั้นเหมือนว่านางจะเคยพยากรณ์เวลาฝนตกและฝนหยุดเช่นกัน
ทว่าตอนนั้นเขามัวแต่กังวลอาการป่วยของท่านพ่อ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรจนเพิ่งมานึกขึ้นได้เอาตอนนี้ หรือว่าหญิงสาวผู้นี้มีความสามารถในการพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้กัน
เหมือนกับเหล่าคนในสำนักโหราศาสตร์อย่างนั้นหรือ
แต่ว่าคนเหล่านั้นทำนายสิบครั้งถูกไม่ถึงสองครั้ง ถ้าอยากจะมองฟ้าแล้วรู้สภาพอากาศ ก็ต้องอ่านหนังสือเป็น
พันเล่มเดินทางเป็นร้อยลี้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มีความพยายามสามส่วน อีกเจ็ดส่วนก็ยังต้องพึ่งพาพรสวรรค์ สติปัญญาเฉียบแหลมดุจพญามารจึงจะสำเร็จวิชาได้
เหมือนกับขงเบ้งที่ใช้ประโยชน์จากลมบูรพา เหมือนกับแม่มดหมอผีที่ทำนายว่าความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลในปีนี้ หรืออาจจะเหมือนกับท่านโหรหยวนตอนเพิ่งเปิดประเทศ
คนเก่งเช่นนี้ บนโลกนี้ร้อยปีก็ยากจะพบได้สักครั้งหนึ่ง
เขาเอ่ยทักทายท่านพ่อ ก่อนจะไล่ลูกสาวออกไป เมื่อเฉิงเจียวเหนียงขอตัวลา เฉินเซ่าก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“นายหญิง เป็นศิษย์ผู้ใดหรือ” เขาเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปสักพัก
จะต้องมีอาจารย์จริงๆ สินะ รู้การแพทย์ รู้การพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ ความสามารถเหล่านี้จะฝึกหัดเอาเองคงทำมิได้หรอก
สอนเด็กสติไม่สมประกอบเช่นนี้ได้ เป็นเทพเซียนจากหนแห่งใดกัน
หรือว่าเฉิงเจียวเหนียงเด็กสติไม่สมประกอบผู้นี้ก็ได้รับการรักษาจากอาจารย์นักปราชญ์ผู้นั้นจนหายดี
อย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงเงียบไป ใจของเฉินเซ่าก็อึดอัดเหลือเกิน
ใช่สิ ไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ !
ใช่แล้ว ต้องเป็นนักปราชญ์! นักปราชญ์แน่ๆ !
ความสงสัยในใจของเฉินเซ่าที่เก็บเอาไว้มาช้านานได้คลี่คลายลงแล้ว เขาเข้าใจแจ่มแจ้งดั่งตรัสรู้!
“ถ้าหาก ข้าบอกว่าข้า จำไม่ได้ ใต้เท้าจะเชื่อหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วเงยหน้ามองเฉินเซ่า
สีหน้าของเฉินเซ่าผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเชื่อมั่นในความคิดตนเองอย่างสนิทใจแล้วด้วย
เขาพยักหน้าทันที แต่ก็สงสัยอีก
“ทำไมถึง ลืมได้เล่า” เขาเอ่ยถาม
“วัดเต๋าเคยถูกฟ้าผ่า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าถูกฟ้าผ้า โชคดี ยังมีชีวิตอยู่ ฟื้นขึ้นมา เรื่องก่อนหน้านั้นก็จำไม่ได้ ไม่ใช่จำไม่ได้ บางอย่างจำได้ บางอย่างก็ลืมไปแล้ว”
เฉินเซ่าส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว” เขากล่าว เชื่ออย่างสนิทใจไปแล้ว “แต่ว่านายหญิงไม่ต้องกังวลใจไป ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องหายดี”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ใช่ จะต้องหายได้ในที่สุด” นางกล่าว
นางกล่าวลาเฉินเซ่า นายบ่าวสองคนก็กลับไปยังที่พัก
สาวใช้กางร่ม เดินไปพลางก็สงสัยไปพลาง
“นายหญิงเจ้าคะ ไต้เท้าท่านนี้ เข้าใจอะไรหรือเจ้าคะ” นางอดถามไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าเรียบเฉยมองดูหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา
“อันนี้ ข้าไม่รู้ เขาเข้าใจก็พอ” นางกล่าว
สาวใช้หลุดหัวเราะออกมาทันใด
“ถึงได้บอกว่า จะบอกหรือไม่บอก จริงๆ แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วยื่นมือออกมารรองเกล็ดหิมะที่ลอยลงมา
หลังจากออกไปเที่ยวคราวก่อน เหล่าพี่สาวน้องสาวตระกูลเฉินก็เชิญชวนนางอีก เพียงแต่เฉิงเจียวเหนียงปฏิเสธ เหล่าพี่สาวน้องสาวอย่างไรก็ยังไม่กล้าที่จะมานั่งพูดคุยกับนางที่นี่
นายหญิงเฉิงผู้นี้ ช่างพูดไม่เก่งนัก
“วันนั้นตลอดทางนางพูดเพียงสามประโยค ไม่สิ น่าจะสามคำ ตันเหนียง ทางนี้ ได้” หญิงสาวผู้หนึ่งกล่าวพลางนับนิ้ว
เหล่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้องพากันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“แล้วจะทำไม” หญิงสาวผู้หนึ่งกล่าวเหยียดหยาม มองดูกลุ่มคนที่หัวเราะกันอยู่ “พวกเจ้าพูดมากเพียงนี้ แต่ว่า
มีประโยชน์อะไรเล่า รักษาโรคให้ท่านปู่ได้หรือ หรือว่าทำให้คนเคารพนับถือ จนต้องไปเชิญมาจากดินแดนแสนไกลได้หรือ”
เหล่าหญิงสาวอึดอัดขึ้นมาทันใด
“หญิงสิบแปด พวกข้าไม่ได้จะหัวเราะเยาะนาง” หญิงสาวที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก
“เช่นนั้นก็ดี” หญิงสาวผู้นั้นกล่าว “ใครกันแน่ที่ควรถูกหัวเราะเยอะ ข้าก็ยังไม่แน่ใจ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ วันนี้ตอนกลางวัน พวกเราไปเยี่ยมท่านปู่กันเถิด” หญิงสาวคนหนึ่งยิ้มพลางกล่าวไกล่เกลี่ยทุกคน
เหล่าหญิงสาวต่างก็ขานรับ พวกนางลุกขึ้นจับกลุ่มยื้อดึงเดินมากัน เพิ่งจะถึงหน้าประตูเรือนก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงพาสาวใช้เดินกำลังเข้าประตูไปเช่นกัน พวกนางหยุดเดินในทันที
“ไม่ได้รักษาตอนเช้าหรอกหรือ” ทุกคนเอ่ยอย่างสงสัย
ลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายพวกนางก็ไม่ได้เข้าไป
ณ เรือนของนายใหญ่เฉิน ในตอนนี้มีสามีภรรยาเฉินเซ่าและตันเหนียงอยู่ เมื่อเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงปรากฏตัว
ในเวลานี้ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“หรือว่าอาการป่วยของท่านพ่อ…” เฉินเซ่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขารีบเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด
“ไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้นายท่านก็ไม่ต้องฝังเข็มแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วนั่งหลังเหยียดตรง
สามีภรรยาเฉินเซ่าโล่งใจ
“กรุณาจ่ายค่ารักษาให้ด้วย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าควรลาแล้ว”
…………………………………………….