ดังนั้นพยาบาลกับหมอในภาพจำฟางเจิ้งจึงน่าจะสวย สะอาด และศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับดาราภาพยนตร์
แต่ผู้หญิงตรงหน้า เขามองยังไงก็เหมือนผู้หญิงรุ่นใหญ่ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูโรงเรียนทุกวัน คอยเท้าสะเอว รอไถตังพวกดวงซวย…
ฟางเจิ้งเลยจับตามองไว้ ถามว่า “โยมมั่นใจนะว่ายืนเองไม่ไหว?”
หลี่เฟิ่งเซียนตอบกลับอย่างน่าสงสาร “ยืนไม่ไหวจริงๆ”
“โยม บนเขามีหมาป่า” ฟางเจิ้งกล่าว
หลี่เฟิ่งเซียนหัวเราะเยาะในใจ เธอทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าในวัดมีหมาป่าออกมาไหม? ดังนั้นจึงไม่กลัว “รู้ แต่ฉันไม่กลัว”
ฟางเจิ้งส่งสายตาให้หมาป่าเดียวดายที่เพิ่งกลับมาอยู่ไกลๆ มันนอนหมอบกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ขนสีเงินเปื้อนสีเทาหนึ่งชั้นกลายเป็นสีดิน จากนั้นจึงหอนเสียงดังแล้ววิ่งเข้ามา
ฟางเจิ้งทำท่าปิดประตู บอกว่า “โยม โยมไม่กลัวแต่อาตมากลัว อมิตาพุทธ บายนะ”
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกกลัวเล็กน้อย พอได้ยินเสียงหอนของหมาป่าข้างหลังจึงหมุนตัวกลับไป เห็นหมาป่าดุร้ายกระโจนเข้ามา! ขนสีเทาเหมือนกำลังบอกเธอว่านี่ไม่ใช่หมาป่าเงินที่เคยอ่านมาในข่าว! นี่คือหมาป่าเทา!
หลี่เฟิ่งเซียนตกใจจนหน้าถอดสี ลุกขึ้นวิ่งหนีไป ซ้ำยังสะบัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง พร้อมกับตะโกนในขณะเดียวกัน “เณรเปิดประตูนะ!”
หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งมาที่หน้าประตู ประตูใหญ่ถูกเปิดออก ฟางเจิ้งยิ้มตาหยีอยู่หลังประตูนั้น ประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ สีกา วิชาแพทย์ของโยมร้ายกาจจริงๆ รักษาหายแล้วเหรอ?”
หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไป มองฟางเจิ้งที่ดูสบายๆ และไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ก่อนหันกลับไป หมาป่าสีเทาที่ไล่ตามมาหยุดแล้ว แถมคาบรองเท้าส้นสูงไปเล่นอย่างสนุกสนาน พอมองดีๆ มันใช่หมาป่าขนเทาที่ไหน แต่เป็นหมาป่าเงินคลุกฝุ่นต่างหาก! กวาดสายตามองไปแวบแรกจะเป็นสีเทา แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นสีขาวในนั้น
หลี่เฟิ่งเซียนรู้ตัวแล้วว่าถูกเณรตรงหน้าหลอกเข้า โกรธจนแทบจะด่าออกไป!
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “สีกา ในเมื่อขาไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ไปสวมรองเท้าเถอะ บนเขามันหนาว”
หลี่เฟิ่งเซียนจ้องฟางเจิ้ง กัดฟันบอก “โอ๊ย…เจ็บ!”
หลี่เฟิ่งเซียนล้มลงนั่งกับพื้น คลึงข้อเท้าพลางร้องเสียงดัง “เมื่อกี้อยู่ในช่วงเป็นตาย อะดรีนาลีนเลยพุ่งสูง ตอนนี้เจ็บเหมือนเดิมแล้วค่ะ แถมยังต้องวิ่งอีก เจ็บเข้าไปใหญ่เลย! ฮือๆๆ…”
ฟางเจิ้งมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างหมดคำจะพูด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเธอมาทำอะไรที่วัดเอกดรรชนี เขาเพิ่งเคยเจอผู้หญิงวุ่นวายแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงรำคาญอยู่เล็กน้อย…
แต่สิ่งที่ทำให้ฟางเจิ้งพูดไม่ออกว่าเดิมคือ “สีกา เมื่อกี้โยมเจ็บข้อเท้าซ้าย ทำไมตอนนี้คลึงข้อเท้าขวาล่ะ? ความเจ็บมันย้ายที่ได้เหรอ?”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็งงงัน ก้มหน้ามอง ปรากฏว่าคลึงเท้าผิดจริงๆ! เธอหน้าแดงพูดขึ้น “เจ็บจนฉันจำสับสนไปแล้ง…โอ๊ย เจ็บจัง”
หลี่เฟิ่งเซียนคลึงเท้าซ้ายอีกครั้ง
ฟางเจิ้งกล่าว “อาตมาสับสนจริงๆ เมื่อกี้โยมคลึงเท้าขวา ไม่ใช่เท้าซ้าย”
หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินแบบนั้นก็เก้อเขิน ก่อนหน้านี้แสดงๆ ไปอย่างนั้น จำไม่ได้แล้วว่าคลึงข้างไหน! เมื่อฟางเจิ้งสับสน เธอก็มึนงงแล้ว จึงถามไปว่า “ตกลงเจ็บข้างไหนกันแน่?”
“สีกา โยมเจ็บข้างไหนตัวเองยังไม่รู้เหรอ?” ฟางเจิ้งถามกลับ
หลี่เฟิ่งเซียนเลยคลึงเท้าซ้ายซะเลย “ฉันเจ็บจนสับสนไปหมด เจ็บสองข้างเลย”
“เอาแบบนี้ โยมรอสักครู่” ฟางเจิ้งหมุนตัวเดินกลับไป
“เณร ท่านจะทำอะไรอีกน่ะ?” หลี่เฟิ่งเซียนร้องขึ้น
ฟางเจิ้งตอบ “โทรศัพท์ให้ผู้ใหญ่บ้านเรียกคนขึ้นมาพาโยมไปรักษาไง”
“เดี๋ยวๆ เณรโง่รึเปล่าเนี่ย? ฉันบอกแล้วนี่ ฉันเป็นหมอ! เณรมาประคองฉันเถอะ พาไปนั่งตรงนั้น ฉันรักษาเองได้!” หลี่เฟิ่งเซียนพุ่งเป้าไปที่ฟางเจิ้ง มีอย่างที่ไหน เพิ่งพบหน้ากันยังไม่ได้ทำอะไรเลยจะถูกหามลงเขาแล้ว?
ฟางเจิ้งมองหลี่เฟิ่งเซียนด้วยความสงสัย “สีกา หญิงชายสัมผัสกันไม่ได้ อีกอย่างเหล่านักบวชพุทธศาสนาไม่ควรประคองโยม”
“เณรพูดอะไรน่ะ? พูดเหมือนว่าฉันจะทำอะไรท่าน…” พูดจบหลี่เฟิ่งเซียนหน้าแดงเล็กน้อย ถ้าไม่ระวังอาจจะหลุดปากไปได้ แต่เธอหน้าหนาพอจึงเอ่ยต่อทันที “พูดเหมือนว่าท่านจะทำอะไรฉันอย่างนั้นแหละ วางใจเถอะ ฉันไม่โทษท่านหรอก”
“แต่พระพุทธองค์โทษอาตมา” ฟางเจิ้งตอบอย่างเคร่งขรึม
“พระพุทธองค์ไม่โทษท่านหรอก ท่านทำความดีจะโทษท่านทำไม? อีกอย่าง ฉันเจ็บจริงๆ ไม่รังเกียจท่านหรอก ท่านจะกลัวอะไรกัน?” หลี่เฟิ่งเซียนให้เหตุผล
ฟางเจิ้งกล่าว “สีกา อาตมามีวิธีประคองโยมขึ้นมาแล้ว”
“จะวิธีไหนก็ช่างเถอะ เร็วๆ หน่อย บนพื้นหนาวจริงๆ…” ครั้งนี้หลี่เฟิ่งเซียนไม่ได้โกหก อากาศหนาวมาก หิมะเพิ่งตกด้วย หิมะแรกทางภาคเหนือจะหนาวมาก ทันทีที่หิมะตกจะละลายและถูกดูดซึมเข้าไปในพื้นดิน ภายใต้ความร้อนในอากาศกับการเปลี่ยนอุณหภูมิ ร่างกายคนเลยยังปรับตัวไม่ได้ โดยเฉพาะบนยอดเขาจะหนาวยิ่งกว่า
หลี่เฟิ่งเซียนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะมีเสื้อคลุมขนมิ้งตัวใหญ่รองก้น แต่ก็ยังหนาวอยู่ดี…รู้สึกว่าก้นใกล้จะแข็งแล้ว
เวลาต่อมา…
หลี่เฟิ่งเซียนแทบจะร้องไห้ เธอมองหมาตัวใหญ่ที่ประคองตัวเอง ก่อนมองฝุ่นทั้งตัวมันที่ถูกับตน ขนมิ้งแทบจะกลายเป็นเสื้อคลุมขนหมาป่าเทาตัวใหญ่ เธอพลันอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ก่อนชำเลืองตามองฟางเจิ้งตรงหน้าที่ขาวสะอาดด้วยความคับแค้น คิดในใจว่า ‘เฉินจิ้งพูดถูก แกมันอันธพาลเน่าที่คลุมหนังหลวงจีนเท่านั้นแหละ ฉันไม่เชื่อว่าจะจัดการแกไม่ได้ คอยดูซิว่าจะเสแสร้งไปได้ถึงไหน!’
หมาป่าเดียวดายประคองหลี่เฟิ่งเซียนจนไปนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นหมุนตัวกลับยกเท้าหลังเกาตัว ฝุ่นสีเทาคลุ้งในอากาศ…
หลี่เฟิ่งเซียนที่โดนฝุ่นเทาหัวเสีย “@¥@%…”
ฟางเจิ้งไล่หมาป่าเดียวดายไป แล้วจึงถาม “สีกาดีขึ้นบ้างรึยัง?”
หลี่เฟิ่งเซียนไม่อยากคุยเรื่องเจ็บแล้ว เรื่องนี้ทำเธอเจ็บง่ายเกินไป หลี่เฟิ่งเซียนกลอกตาเปลี่ยนหัวข้อ “เณร ท่านชื่ออะไรเหรอ?”
“อาตมาฟางเจิ้ง” ฟางเจิ้งตอบ
“ฟางเจิ้ง? เป็นชื่อทางธรรมสินะ แล้วชื่อทางโลกล่ะ?” หลี่เฟิ่งเซียนถามต่อ
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อาตมาอยู่วัดเอกดรรชนีมาตั้งแต่ยังเล็ก ชื่อทางโลกกับทางธรรมคือฟางเจิ้งเหมือนกัน” ฟางเจิ้งแนะนำตัวเสร็จ กลับไม่ได้ถามความประสงค์ของหลี่เฟิ่งเซียน
หลี่เฟิ่งเซียนเองก็ไม่สนใจ พูดต่อทันที “ฉันหลี่เฟิ่งเซียน ตอนนี้เป็นหมอ เรื่องหลักๆ ที่ทำคือแก้ปัญหาภาวะสุขภาพพร่อง ท่านเข้าใจโรคนี้ไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า เขาไม่รู้จักจริงๆ
“ไม่เข้าใจ? ดีจัง…เอ่อ แย่จังเลย” หลี่เฟิ่งเซียนแอบดีใจ กลัวว่าหลวงจีนนี่จะเข้าใจจริงๆ เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะลงมือยังไงแล้ว เธอเอ่ยต่อ “ภาวะสุขภาพพร่องก็คือคนที่ดูสุขภาพแข็งแรงมาก แต่มีโรคแฝงไว้มากมาย อาจจะส่งผลถึงปัจจัยของสุขภาพตัวเอง ปัจจัยเหล่านี้จะไม่ปรากฏให้เห็น แต่เมื่อนานวันเข้าจะเกิดปัญหา ฉันน่ะช่วยทุกคนรักษาอันตรายที่แฝงเร้นพวกนี้โดยอาศัยการกินอาหารร่วมกันต่างๆ แล้วก็ดูแลการอยู่กินอะไรพวกนี้” หลี่เฟิ่งเซียนพูดถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองฟางเจิ้ง “เณร ถึงท่านจะแรงเยอะเหมือนวัว แต่ก็มีปัญหาภาวะสุขภาพพร่องนะ ให้ฉันช่วยตรวจให้เอาไหม?”
…………