ฟางเจิ้งไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เข้าอินเทอร์เน็ตตลอด เร็วๆ นี้มีการถกเถียงกันเรื่องปัญหาภาวะสุขภาพพร่องอย่างร้อนแรง เขาย่อมรู้ว่าหลี่เฟิ่งเซียนโกหก เพียงแต่แสร้งโง่เท่านั้น เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกันแน่

ฟางเจิ้งถาม “เอ่อ ขอถามหน่อย แล้วภาวะสุขภาพพร่องของอาตมาหลักๆ แล้วไปทางด้านไหน? แล้วควรทำยังไง?”

“หลักๆ ของท่านคือมีธาตุไฟล้น ต้องจัดการธาตุไฟออก” หลี่เฟิ่งเซียนตอบอย่างเคร่งขรึม เพียงแต่ดวงตาใกล้จะมีไฟลุกโชน

ฟางเจิ้งมึนงง ธาตุไฟล้น? นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หลี่เฟิ่งเซียนเลียนแบบท่าทางของปรมาจารย์หมอดูทันที ทำหน้าตาเหมือนผู้สูงส่งมากความสามารถ “เณร ฉันขอถามหน่อยนะคะ ตอนตื่นนอนตอนเช้ารู้สึกร้อนที่ช่องท้องจนทรมานมากรึเปล่า?”

ฟางเจิ้งหน้าแดง พยักหน้ารับเบาๆ

‘เฮ้ย! เณรนี่หน้าแดงด้วย! ฮ่าๆ…ผิวขาวแบบนี้ พอแดงแล้วเหมือนกับแอปเปิลเลย เป็นผู้ชายซิงจริงๆ ด้วย’ หลี่เฟิ่งเซียนยิ้มเบิกบานในใจ ยิ่งมองฟางเจิ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าสนุกและน่ารัก เลยถามต่อว่า “ถูกแล้ว ธาตุไฟล้นมักจะระบายไม่ได้ พอสั่งสมนานเข้าย่อมเป็นทุกข์อยู่แล้ว เณร ให้ฉันรักษาให้เอาไหม?”

ฟางเจิ้งไม่ใช่คนโง่ พอได้ยินดังนั้นก็เข้าใจ! เดิมทีคิดว่าเจอสีกาคนหนึ่ง แต่ที่ไหนได้มาเจอกับนักยั่วสวาทญาติหมาป่าเดียวดาย!

ฟางเจิ้งคิดในใจ ‘ผู้หญิงสวยๆ ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ด้วย จากนี้ต้องหาผู้หญิงบ้านใกล้เรือนเคียงมาแต่งงานด้วยแล้ว จะได้ใจสงบลง…’ แต่ปากกลับพูดไปว่า “อมิตาพุทธ ถ้าสีกาจะจุดธูปอธิษฐานก็เชิญข้างใน ถ้าไม่มีธุระอะไร อาตมาขอตัวก่อน”

เขาจะสึก แค่เพราะอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตเท่านั้น!

เห็นฟางเจิ้งเดินไป หลี่เฟิ่งเซียนใจฝ่อแล้ว ตนรีบร้อนเกินไปทำให้เณรตกใจจนหนี

แต่เธอก็เกิดความคิดขึ้นมา ร้องว่า “โอ๊ย น้ำตาลในเลือดต่ำ โอ๊ย เวียนหัว โอ๊ย…”

ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นหลี่เฟิ่งเซียนหมดสติล้มลงพอดี นอนแน่นิ่งกับพื้นไปแล้ว

เขาเห็นแบบนั้นจึงถอนหายใจ เอ่ยอยู่ในใจว่า ‘ไม่รู้ว่าสีกาคนนี้เส้นเอ็นไหนผิดปกติรึเปล่า คิดว่าเล่นพ่อแม่ลูกอยู่เหรอ? ลูกที่ไหนแกล้งเป็นลมแล้วยังแอบเกาอีก…คิดว่าอาตมาไม่เห็นการกระทำเล็กๆ รึไง?’

แต่ฟางเจิ้งไม่อยากวุ่นวายกับหลี่เฟิ่งเซียนแล้ว หนึ่งคือไม่อยาก สองคือกลัวการกระทำ สามคือกลัวคะแนนประเมินลดลง ส่งผลถึงผลประโยชน์ข้างหน้า สี่คือกลัวว่าตนจะไม่ได้สึก ดังนั้นเขาจึงเดินจากไป

หลี่เฟิ่งเซียนแอบเหลือบมองฟางเจิ้งพลางคิดในใจ ‘หลวงจีนโง่นี่ ฉันเป็นแบบนี้แล้วยังไม่อาศัยจังหวะเข้ามาอุ้มหรือจุ๊บสักหน่อย แค่สัมผัสก็ยังดี…อุตส่าห์ติดกล้องสอดแนมไว้แล้ว ดันเปล่าประโยชน์ซะได้ เอาเถอะ รออีกเดี๋ยวไม่แน่เณรนั่นอาจจะหยั่งเชิงอยู่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าด้วยหน้าตาเราแล้วจะสยบเณรไม่ได้…’

หลี่เฟิ่งเซียนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รออยู่นานก็ไม่เห็นฟางเจิ้งออกมา เสื้อคลุมขนมิ้งตัวใหญ่คลุมได้แค่ครึ่งบน แต่ครึ่งล่างนอนบนพื้นเย็นจึงหนาวอยู่เล็กน้อย พอนานเข้าก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ…

‘หึๆ ลาหัวล้านตัวน้อยจะแข่งความอดทนกับฉันเหรอ? ฉันจะเล่นกับนาย ดูซิว่าสุดท้ายจะมาแตะต้องตัวฉันไหม!’ หลี่เฟิ่งเซียนนึกโกรธ ตรงส่วนลึกในแววตามีความดื้อรั้นอยู่ลึกๆ

และตอนนี้เอง ฟางเจิ้งกำลังจุดไฟอยู่หลังลาน หมาป่าเดียวดายวิ่งไปมาตลอด คอยรายงานสถานการณ์

“เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้จริงๆ เลย เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้เป็นลม แต่ดันแกล้งเป็นลม อาการป่วยน่าจะหนักทีเดียว ช่างเถอะ เธอชอบนอนก็ให้นอนไป นายไปดูซิ ถ้าเธอทนไม่ไหวจนไปแล้วก็มาบอกฉันด้วย” ฟางเจิ้งพูดจบ หมาป่าเดียวดายสะบัดหางเดินออกไป ฟางเจิ้งเอ่ยเสริมไปอีกว่า “ถ้าหนาวจนแข็งก็มาแจ้งฉันด้วยนะ”

เวลาผ่านไปทีละนาที หลี่เฟิ่งเซียนหนาวจนฟันสั่นกระทบกันกึกๆ เห็นทีจะทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นมา

ทว่ามีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา หลี่เฟิ่งเซียนคิดในใจ ‘มาแล้ว! ฮ่าๆ…เณรทนสู้ฉันไม่ได้จริงๆ หึๆ ดูซิว่าจะอุ้มฉันขึ้นไปไหม! แค่กล้าอุ้มฉัน ฉันก็จะฉวยโอกาสโผเข้าไป มีกล้องอยู่หลายตัวด้วย หึๆ…ภารกิจสำเร็จสิ้นก็รับเงินแล้วชิ่งหนี! หลวงจีนเน่าเอ๊ย ช่วยตัวเองเถอะ! หืม ทำไมทิศทางเสียงเท้าไม่ถูกต้อง จำนวนมากกว่าเดิมด้วย…’

“ฟางเจิ้ง เกิดอะไรขึ้น ใครหมดสติเหรอ?” เสียงซ่งเอ้อโก่วดังแว่วมาจากนอกประตูใหญ่ จากนั้นซ่งเอ้อโก่วกับหยางหวาสองคนก็วิ่งเข้ามา

หลี่เฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ ด่าทอในใจยกใหญ่ ‘ไอ้หลวงจีนบ้า ถึงว่านานขนาดนี้ยังไม่มา ที่แท้โทรศัพท์เรียกคนนี่เอง! ไม่ได้การแล้ว จะรอไม่ได้แล้ว รีบลุกสิ! โอ๊ย…ขาชา…’

หลี่เฟิ่งเซียนขยับ แต่ขาสองข้างชาไปแล้ว ทั้งตัวไม่มีแรง ลุกไม่ขึ้น พอลืมตาก็เห็นฟางเจิ้งสวมชุดคลุมขาวเดินเข้ามาเนิบๆ ประนมมือพูดกับซ่งเอ้อโก่วและหยางหวาว่า “อมิตาพุทธ โยมทั้งสอง สีกาท่านนี้ไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ก็ล้มลงหมดสติ ไป ขอให้โยมทั้งสองช่วยแบกเธอลงเขาไปรักษาที”

“นี่ฟางเจิ้ง นายอย่าพูดใส่เต็มแบบนี้ได้ไหม ทำเอาฉันขนลุกไปหมด” หยางหวายิ้มแห้งๆ

ซ่งเอ้อโก่วรับไม่ได้เลยต่อว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? ตอนนี้ฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาส คำพูดก็ต้องต่างกับทุกคนอยู่แล้ว ฉันว่าแบบนี้ก็มีเหมือนกัน…อีกอย่างฟางเจิ้งชนะพวกปัญญาชนกลุ่มใหญ่ พูดสุภาพแบบนี้ต่างหากถึงถูกต้อง”

ฟางเจิ้งช่วยเปลี่ยนเขาให้เป็นคนใหม่ ตอนนี้ซ่งเอ้อโก่วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก รู้สึกสบายกว่าครึ่งชีวิตก่อน รู้สึกว่าทุกคนชื่นชมราวกับเขาเป็นวีรบุรุษเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขาซาบซึ้งใจต่อฟางเจิ้งมาก พูดถึงแต่ฟางเจิ้งไปทุกที่

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย “ช่วยไม่ได้ แต่ว่าช่วยคนก่อนเถอะ พวกโยมดูสิ สีกาลุกไม่ขึ้นแล้ว”

หยางหวามองไปก็เป็นแบบนี้จริงๆ จึงรีบเรียกซ่งเอ้อโก่ว สองคนพาเธอขึ้นเตียงเดี่ยวที่เอามาด้วย ระหว่างทางหลี่เฟิ่งเซียนร้องตะโกนเสียงดังไม่หยุด “ฉันไม่เป็นไร ปล่อยลง” แต่ก็ยังลงเขาไปท่ามกลางเสียงตะโกนโวยวาย

ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังพวกเขา ประนมสองมือพลางยิ้มให้หลี่เฟิ่งเซียนเล็กน้อย และสวดไปประโยคหนึ่ง “อมิตาพุทธ”

หลี่เฟิ่งเซียนกัดฟันจ้องฟางเจิ้งด้วยความโกรธ เธอรู้ว่าหลวงจีนนี่ต้องมองออกแน่ๆ ถึงจงใจให้คนมาแบกเธอลงเขา! เธอโกรธจนกัดฟันแน่น แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากับฟางเจิ้ง แต่รอบแรกเธอแพ้ ได้แต่คิดหาวิธีอื่นแทน ส่วนตอนนี้อยู่อย่างสงบเถอะ เธอหนาวจนแย่แล้วจริงๆ ข้อเท้าชาจนไร้ความรู้สึก ลงเขาไปสร้างความอบอุ่นก่อนค่อยว่ากันอีกที

หลังจากส่งหลี่เฟิ่งเซียนกลับ ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หลี่เฟิ่งเซียนไม่เหมือนมาไหว้พระ แต่มาข่มขืนเขามากกว่า แต่ข่มขืนเขาไปจะมีประโยชน์อะไร? คนที่ได้ประโยชน์เหมือนจะมีแต่เขานี่…

คิดไปคิดมา ฟางเจิ้งก็คิดไม่ออกเลยเลิกคิดไปซะ ขอแค่ใจตั้งมั่นในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะมาลูกไม้ไหนก็ไม่กลัว! ถ้าตัวตรงก็ไม่หวั่นว่าเงาจะเฉียง!

…………………