ตอนที่ 94 ผ้าเช็ดหน้า

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งลากรถลากเลื่อนออกมาอีกครั้ง คล้องบนหมาป่าเดียวดายที่ไม่ยินยอมอย่างมาก จากนั้นก็พุ่งทะยาน หมาป่าเดียวดายลากรถเลื่อนวิ่งไป

เมื่อเข้าสู่กลางดึก ฟางเจิ้งเปิดวีแชตอีกครั้ง คุยกับพวกฟางอวิ๋นจิ้ง หม่าเจวียน และจ้าวต้าถงอีกเดี๋ยวก็เข้านอน

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันที่สอง ฟางเจิ้งทำกิจวัตรประจำวันต่อ กินข้าวกวาดอุโบสถ จากนั้นก็ว่าง

แต่ไม่นานความเงียบก็ถูกเสียงฝีเท้าทำลายลง เขาเงยหน้าขึ้น คิ้วขมวดโดยพลัน หลี่เฟิ่งเซียนมาอีกแล้ว!

“เณร ฉันมาอีกแล้วค่ะ” หลี่เฟิ่งเซียนมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง พลันยิ้มแย้มมีความสุข

ฟางเจิ้งยืนขึ้นประนมสองมือเอ่ย “อมิตาภพุทธ สีกา วันนี้มาไหว้พระหรือเรื่องอื่น?”

หลี่เฟิ่งเซียนส่ายหน้าบอก “วันนี้มาขอบคุณสำหรับบุญคุณที่ไต้ซือช่วยชีวิตไว้”

ฟางเจิ้งจะไปเชื่อได้ยังไง ถ้าเป็นบุญคุณช่วยชีวิตจริงๆ ระบบต้องให้รางวัลเขานานแล้ว ยังต้องให้ผู้หญิงขึ้นมาขอบคุณอีกเหรอ ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาแค่ทำในสิ่งที่ควร ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณหรอก”

หลี่เฟิ่งเซียนว่าต่อ “ไม่ได้ เมื่อวานท่านเรียกคนขึ้นมาพาฉันลงเขานี่ โรคเก่ากำเริบด้วย อาจถึงตายได้เลย ดังนั้นนะ วันนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาขอบคุณด้วยตัวเองให้ได้”

ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาพุทธ โยมพูดจาจริงจังเกินไปแล้ว”

‘ทำไมเณรนี่ถึงอ้อมค้อมนักนะ? ไม่แปลกใจเลยหรอว่าฉันจะใช้อะไรมาขอบคุณแกน่ะ?’ หลี่เฟิ่งเซียนกลอกตาคู่งาม ดวงตาเหมือนพูดได้ ความหมายนั้นคือเธอคิดว่าผู้ชายน่าจะเข้าใจความหมาย!

ฟางเจิ้งเห็นเพียงแววตาหลี่เฟิ่งเซียนวูบไหว ราวกับว่าข้างในติดตั้งเครื่องปั่นไฟเอาไว้ ประกายในแววตาสะท้อนออกมา ทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วตาม แต่ฟางเจิ้งก็ยังส่ายหน้า “แค่ทำไปตามมูลเหตุเท่านั้น ได้หรือเสียยังไงอาตมาไม่มองว่าสำคัญหรอก” แต่กลับคิดในใจว่า ‘พูดเป็นอย่างเดียวไม่เหนื่อยรึไง? จะให้เงินหรือทำอะไรก็เร็วๆ หน่อยเถอะ…ลนจนจะแย่แล้ว’

“ทำไมเณรถึงไม่เข้าใจอะไรเลยนะ ท่านลองเดาดูสิ?’ หลี่เฟิ่งเซียนถามขึ้นด้วยความยั่วยวน

ฟางเจิ้งหันท้ายทอยขาวสะอาดให้เธอ หมุนตัวเดินไปพลางคิดในใจ ‘ยังไม่ได้ทำความสะอาดวัดเลย มีงานกองใหญ่รออยู่ ไม่มีเวลามาเดากับเธอหรอกนะ…’ แต่เอ่ยไปว่า “โยมค่อยๆ เดาล่ะ อาตมามีธุระ ขอตัวก่อน”

“เณร…เณร หยุดก่อน!” หลี่เฟิ่งเซียนร้อนใจแล้ว รีบเรียกเอาไว้

ฟางเจิ้งหันมามอง “สีกามีอะไรหรือ?”

“เณรคะ ฉันได้ยินมาว่าวัดท่านศักดิ์สิทธิ์มากเลยนี่” หลี่เฟิ่งเซียนถาม

ฟางเจิ้งพยักหน้า “วัดไหนก็ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น ความจริงใจคือจิตวิญญาณ แต่ว่าวัดนี้มีเพียงพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร ถ้าจะขอลูกก็จุดธูปข้างในได้ อวยพรด้วยความจริงใจจะสัมฤทธิ์ผล ถ้าไม่ขอลูกเข้าไปก็ไม่มีความหมาย”

หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออก เธอคิดจะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายผ่านการขอพรพระอะไรพวกนี้ แต่ในนั้นมีเพียงพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร จะเข้าไปทำไม? เธอไม่ได้อยากมีลูกซะหน่อย…

ทว่าหลี่เฟิ่งเซียนพูดต่อในฉับพลัน “เณร พูดจริงๆ นะคะ ชีวิตฉันเจอกับปัญหาใหญ่มา อยากให้ท่านช่วยแก้ปัญหาให้หน่อยได้ไหม?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ตัวเขายังไม่แน่ใจเลย จะแก้ปัญหาให้คนอื่นเหรอ ตลกรึเปล่า! ฉะนั้นเขาเลยตอบไป “อาตมาความรู้ยังน้อย เกรงว่าจะช่วยอะไรโยมไม่ได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วอาตมาขอตัวก่อน”

“เดี๋ยว ท่านจะรีบร้อนไปไหน ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องของฉันเลย รู้ได้ยังไงว่าช่วยไม่ได้ เหมือนอย่างที่ว่าไว้ คนรอบข้างจะเห็นปัญหาชัดเจนกว่า แล้วท่านล่ะ? หรืออยากให้ฉันเสียใจต่อไปจริงๆ สุดท้ายก็หมดหนทาง?” พอพูดว่าหมดหนทาง หลี่เฟิ่งเซียนแอบหยิกเอวตัวเองอย่างแรง น้ำตาพลันเอ่อคลอ ท่าทางดูน่าสงสาร

ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหลี่เฟิ่งเซียนแกล้งทำให้ตัวเองเจ็บ อีกฝ่ายร้องไห้แล้ว เช่นนั้นก็ฟังหน่อยแล้วกัน

ฟางเจิ้งนั่งกับหลี่เฟิ่งเซียนอีกครั้ง เพียงแต่สิ่งที่หลี่เฟิ่งเซียนกังวลคือวัดนี้ยากจนถึงขั้นได้แต่นั่งบนหิน กลัดกลุ้มจริงๆ เมื่อวานหนาวมาทั้งวัน วันนี้ยังต้องมาหนาวอีก ไม่สบายเลย!

หลี่เฟิ่งเซียนกล่าว “เณรคะ ฉันน่ะน่าสงสารนะ…” จากนั้นมองฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งไม่ขยับเขยื้อน

หลี่เฟิ่งเซียนพูดต่อ “เฮ้อ ฉันน่ะเสียแม่ไปตั้งแต่เล็กๆ พ่อก็ขายฉัน ท่านจินตนาการไม่ออกหรอก ตอนฉันสิบขวบ พ่อฉันพาฉันไปตลาด แล้วก็ขายฉันในตรอกเล็กๆ! ฉันยังจำได้แม่นว่าตอนนั้นร้องไห้จนเสียงแหบไปหมด เอาแต่อ้อนวอนเขาว่าอย่าขายฉัน ฉันร้องไห้…ร้องไห้…

จากนั้นก็ร้องไห้จนเป็นลมไป ในความฝันฉันเห็นพ่อกลับมาพากลับบ้าน ตอนนั้นฉันไม่เกลียดเขาเลย แต่กลับดีใจ แต่พอฉันตื่นก็พบว่าเรื่องราวไม่ใช่แบบนั้น ฉันถูกขาย! ถูกขายจริงๆ! ถูกพ่อแท้ๆ ขาย!

คนที่ซื้อฉันเป็นตาแก่ที่ยังโสดในเมือง…ดีที่ตาแก่นั่นไม่ได้คิดจะเลี้ยงฉันเป็นเมีย แต่เลี้ยงเป็นลูกสาว ตั้งแต่นั้นมาชีวิตฉันก็ไม่ถือว่าน่าเวทนามากอีก แค่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่เท่านั้น

ตอนฉันอายุสิบสี่ ตาแก่ป่วยหนักใช้เงินในครอบครัวไปจนหมด ต่อมาเขาก็เสียไป

ฉันฝังศพเขา จากนั้น…เดินไปบนถนนคนเดียว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนคนเดียว ต่อมาฉันได้พบกับคนที่สูงค่าในชีวิตฉัน ถึงเธอจะไม่ใช่คนดี แต่กลับสอนให้ฉันเป็นผู้หญิง สอนว่าใช้ชีวิตต่อไปยังไง

ฉันใช้วิธีที่เธอสอนให้มีชีวิตรอดต่อมา ถึงจะใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่บ้าง โดนดูถูกบ้าง แต่ฉันก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ เณรคะ พูดจริงๆ นะ ฉันหลอกท่าน ฉันไม่ใช่หมอ ฉันเป็น…ช่างเถอะ แม้แต่ฉันเองยังไม่มีหน้าพูดออกไปเลย

ฉันรู้ ท่านสะอาด ฉันสกปรก ท่านดูถูกฉัน ฉันก็ไม่หวังให้ท่านมองว่าฉันมีเกียรติอยู่แล้ว กลับกันบนโลกนี้ไม่มีใครมองว่าฉันมีเกียรติหรอก…ตัวฉันเองยังดูถูกตัวเองเลย แต่ฉันต้องมีชีวิตต่อไป…จนวันหนึ่ง ฉันได้เจอกับไอ้คนที่ไร้หัวจิตหัวใจนั่นอีกครั้ง แล้วก็ชูนิ้วกลางให้มัน! ให้นิ้วกลางบอกมันว่าไม่มีมันฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้!”

พูดถึงตรงนี้ หลี่เฟิ่งเซียนอึ้งไป แผนการเดิมของเธอไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ดันไม่ได้ใช้เรื่องที่แต่งไว้ก่อนแล้วเลย พอพูดแล้วก็ออกนอกเรื่องไป แต่เมื่อเธอมองหลวงจีนที่ใบหน้าเรียบนิ่ง ประดับรอยยิ้มบาง สะอาดสะอ้านจนเหมือนไร้มลทินแล้ว ในใจกลับสงบลงอย่างไม่มีเหตุผล ความกลัดกลุ้มในใจบางส่วนหายไป…พอนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ความเศร้าก็แผ่ลามมาจากหัวใจ น้ำตาหยดลงดังแปะๆ

ฟางเจิ้งถอนหายใจ กล่าวไปประโยคหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อส่งให้

“ผ้าเช็ดหน้า?” หลี่เฟิ่งเซียนงุนงง สมัยนี้ยังมีคนใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกเหรอ?

ฟางเจิ้งกล่าว “นี่คือของเพียงสิ่งเดียวที่โยมแม่อาตมาให้เอาไว้ แม้แต่โยมพ่อ อาตมายังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ตั้งแต่เล็กก็โตมากับหลวงจีนเฒ่าในวัดนี้ กินข้าวจากชาวบ้าน นอนเตียงตั่งบ้านคนอื่น แต่อาตมารู้ เหตุที่ต้นไม้สูงกว่าหญ้านั่นเพราะมันกระหายในแสงตะวัน เหตุที่ดอกไม้สวยกว่าหญ้าเพราะมันอยากงดงามขึ้น ให้คนชื่นชมมันมากกว่าเดิม อาตมาเรียนมาน้อย คำพูดนี่ก็เอามาจากพระอาจารย์หรือไม่ก็โยมพ่อ วันนี้ อาตมามอบให้โยม”

……………………