เล่มที่ 4 บทที่ 106 แผ่นการช่วยชีวิตเสือขาว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เสือตัวนี้ดุร้ายมาก ตอนที่กระหม่อมนำคนไปจับตัวมัน กระหม่อมต้องเสียไพร่พลไปจำนวนมาก ไม่รู้วว่าใครจะมีความสามารถโค่นล้มมันได้”

หูลู่หนานพลันเอ่ยวาจาโอ้อวดขึ้นมา

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองเขาเล็กน้อย บุรุษผู้นี้หาใช่คนดีไม่ แม้แต่เสือท้องแก่ก็ยังไม่คิดปล่อยมันไป อีกทั้งยังพูดจาโอ้อวด มิรู้จักผิดชอบชั่วดี

“คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายรองจะเป็นผู้จับเสือตัวนี้มาได้ องค์ชายรองกล้าหาญเหลือเกิน”

ไท่จื่อที่เพิ่งจะเปิดศึกแย่งสตรีกับองค์ชายรองเมื่อครู่รีบร้องชมหูลู่หนาน

หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ว่าชายทั้งสองเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

แม้คำพูดจะสวยหรูเสมือนญาติสนิทมิตรสหาย แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสหายทั้งสองคนนี้เคยเกือบจะฟาดฟันกันมาแล้ว

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปตามปกติ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับคำคุยโวโอ้อวดของพวกเขาเหลือเกิน

เหตุเพราะหลินเมิ้งหยายังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระโจมเล็กได้เป็นอย่างดี

“นายหญิง ท่านคิดว่าเสือตัวนั้นจะถูกใครจับได้หรือเจ้าคะ?”

ระหว่าทางกลับกระโจมที่พัก ป๋ายซ่าวเองก็รู้สึกสงสารเสือตัวนั้นไม่น้อย

เสือ เปรียบเสมือนจิตวิญญาณแห่งป่า มันคือเจ้าแห่งสัตว์ป่าทั้งหลาย มันไม่ควรต้องมาตายเพราะเงื้อมมือของเหล่าองค์ชาย

“ไม่ว่าใครจับได้ ล้วนน่าเสียดายทั้งสิ้น เช่นนั้นพวกเรามาคิดหาวิธีกันจะดีกว่า”

คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ดวงตาของสาวใช้ทั้งสองเปล่งประกาย ถ้าหากสามารถปล่อยเสือออกไปได้ ก็นับว่าเป็นการทำบุญครั้งใหญ่เลยทีเดียว

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเรามาวางแผนกันเถิด”

การประชุมเพื่อช่วยชีวิตเสือขาวจึงถูกจัดขึ้นที่กระโจมของหลินเมิ้งหยา

“ข้าคิดว่าเราควรสั่งให้องครักษ์เจาะกรงเสือและปล่อยให้มันหนีไปทางด้านหลังภูเขา มันจะได้อาศัยในป่าทึบ”

หลินจงอวี้วาดแผนที่ขึ้นมา ก่อนจะชี้บอกตำแหน่ง

“ข้าคิดว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ เสือไม่เข้าใจภาษามนุษย์ หากมันวิ่งไปผิดทางจะเกิดอะไรขึ้น? อีกอย่าง หากมันถูกทำร้ายก่อนที่มันจะหนีไป เช่นนั้นก็มิต่างอะไรจากส่งมันไปตาย”

ป๋ายจีเสนอความคิดเห็นของตนเอง สิ่งที่นางพูดล้วนมีเหตุผล ทุกคนจึงครุ่นคิดใหม่อีกครั้ง

“หรือพวกเราจะปล่อยมันออกมาตอนนี้เลย”

ป๋ายจื่อกะพริบตาปริบๆ จ้องหน้าหลินเมิ้งหยา ใบหน้าเรียวเล็กยังคงแสดงให้เห็นท่าทีมิอยากแยกจาก

หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่นางก่อนจะเอ่ย

“เช่นนั้นเจ้าไปร้องขอองค์รัชทายาทให้ปล่อยมันไปดีหรือไม่? เด็กโง่ หากปล่อยมันออกมาตอนนี้ มันอาจถูกจับไปอีกครั้งหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย”

เสียงในกระโจมจึงเงียบลงอีกครั้ง

แบบนี้ก็ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ได้ พวกเขารู้สึกเหมือนเดินอยู่ในวังวนที่ไม่มีทางออก

“พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกหลินขุ๋ยไปทำให้เสือขาวสลบ อีกอย่างข้าสั่งให้คนในเมืองหลวงเตรียมหม่าเฝยซานเอาไว้แล้ว เจ้าวางใจเถิด”

เสียงของหลงเทียนอวี้พลันดังขึ้น ทุกคนในกระโจมหันหน้าไปมองทางประตู

“ความคิดนี้ไม่เลวเลย สมแล้วที่เป็นท่านอ๋อง”

ป๋ายจื่อรีบส่งเสียงชื่นชมหลงเทียนอวี้ นี่คือสิ่งที่คุณหนูบอกนางเอาไว้

อีกทั้งยังบอกอีกว่าท่านอ๋องกำลังช่วยเรื่องของนางอยู่

นางไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทแห่งซีฟาน ไม่อยากเป็นกระทั่งชายาขององค์รัชทายาท

“พวกเจ้าวางใจเถิด”

หลงเทียนอวี้ส่งคนไปตรวจเสือตัวนั้นแล้ว มันกำลังตั้งท้องจริงๆ

เสด็จพ่อเคยรับสั่งว่าช่วงนี้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนเติบโตขึ้นอีกขั้นตามธรรมชาติ

หากพวกเราฝืนกฎของธรรมชาติ สิ่งที่ได้รับกลับมาอาจเป็นความตาย

ดังนั้น เขาจึงอยากต่อชีวิตของเสือตัวนี้

“หากจับได้แล้ว ท่านอ๋องจะจัดการเช่นไร?”

ความคิดจิตใจของคนซีฟานและต้าจิ้นไม่เหมือนกัน

หากปล่อยให้เสืออาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ มันอาจจะไม่ใช่จุดจบที่ดี

“เสือต้องกลับป่า แน่นอนว่าต้องกลับไปอยู่ในที่ที่มันจากมา วางใจเถิด ข้าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”

คิดไม่ถึงเลยว่าปัญหาที่คนทั้งหกปรึกษากันอยู่นานจะถูกแก้ไขโดยหลงเทียนอวี้เพียงคนเดียว

หลินเมิ้งหยารู้สึกเบิกบานใจ

ราวกับว่า หากมีเขาอยู่ ตนเองไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกต่อไป

ทุกคนล้วนสังเกตเห็นความสัมพันธ์หวานซึ้งระหว่างหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ สบตากัน ก่อนจะออกจากห้องไปเงียบ ๆ

กว่าหลินเมิ้งหยาจะดึงสติกลับมาได้ ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนแล้ว

“ท่านอ๋อง ดื่มน้ำไหมเพคะ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาได้อยู่ในกระโจมกลางป่ากับบุรุษสองต่อสอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนที่เคยสงบนิ่งอย่างหลินเมิ้งหยาพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“อือ”

ภายในงานเลี้ยงเมื่อครู่ หลงเทียนอวี้ดื่มเหล้าไปค่อนข้างมาก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกกระหายน้ำ

มิรู้ว่าเพราะฤทธิ์ของเหล้า หรือเพราะชุดขี่ม้าที่หลินเมิ้งหยาสวมใส่

เขารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้างดงามเหลือเกิน

ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าของนางดงามมีเสน่ห์

ดวงตาคู่สวยเปล่งประกาย เขาเคยเห็นสตรีมากมาย แต่มิมีใครเหมือนนาง

ทุกที่ที่นางอยู่ ความหนาวเหน็บที่เคยมี แม้แต่จวนอวี้ที่เคยเย็นยะเยือกยังอบอุ่นขึ้นมา

คนรับใช้กลัวเกรงนาง แต่ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกเคารพนับถือ เหตุเพราะนางมิเคยลงโทษใครตามอารมณ์ อีกทั้งยังมิเคยใช้ความรู้สึกส่วนตัวลงโทษผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าว่าร้ายนางเลย

ใช่ว่าจะพบเจอสตรีแบบนี้ได้ง่ายๆ

ดังนั้น บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ฮองเฮามอบนางมาให้เขา

“ท่านอ๋องกำลังมองอะไรหรือเพคะ? หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาลูบไล้ใบหน้าของตนเอง แต่ก็ไม่มีอะไรนี่นา

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดเรื่องของตนเอง จริงสิ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนเจ้าหายไป?”

คนที่หลินขุ๋ยส่งไปอารักขานางเอ่ยว่าหลินเมิ้งหยาถูกพาไปยังกระโจมเล็กหลังหนึ่ง

สุดท้าย ไท่จื่อและองค์ชายรองแห่งซีฟานตามเข้าไปด้วย

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

ไท่จื่อและองค์ชายรองล้วนมีเรื่องค้างคาใจกับหลินเมิ้งหยา หากบอกว่าบังเอิญ เขาไม่มีทางเชื่อ

เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายหลินเมิ้งหยาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

มิได้ต่อเติมเสริมแต่งเรื่องราวแต่อย่างใด หลินเมิ้งหยาเอ่ยตามความจริง

ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงลง แก้วชาในมือของหลงเทียนอวี้ก็ถูกบีบจนแหลกละเอียด

“มือของท่าน! โง่หรือไร ถ้าถูกบาดเข้าจะทำอย่างไร”

ปฏิกิริยาแรกของหลินเมิ้งหยาคือยื่นมือเข้าไปแย่งชิ้นส่วนที่แหลกละเอียดในมือของหลงเทียนอวี้

เศษเล็กเศษน้อยทิ่มแทงมือของเขา

ดึงเศษแก้วที่ทิ่มแทงมือของเขาออก อีกทั้งยังทำแผลให้เขาด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายจึงกลับมานั่งลงข้างกายของเขา

“ท่านเป็นอะไรไป? ข้ายังสบายดีมิใช่หรือ?”

ถ้ารู้อย่างนี้นางคงไม่เล่าให้เขาฟัง

“คิดไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะไร้ยางอายมากถึงเพียงนี้”

สมัยยังเด็ก ทั้งเขาและไท่จื่อล้วนได้เรียนเรื่องมารยาทและขนบธรรมเนียมประเพณี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะใจดำอำมหิตถึงขั้นลงมือกับพี่น้องของตนเองเช่นนี้

หรือการอบรมสั่งสอนที่เคยได้รับมาไม่เคยซึมเข้าสมองของเขาเลย?

“ท่านอ๋องยังคิดว่าไท่จื่อเหมาะที่จะขึ้นครองบัลลังก์หรือไม่? หากคนเช่นนี้ได้ถือครองอำนาจ หายนะคงมาเยือนราษฎร์ตาดำๆ อย่างแน่นอน วันนี้เขาสามารถลักพาตัวหม่อมฉันได้ พรุ่งนี้ เขาอาจล่วงเกินลูกสาวแท้ๆ ของเขาเองได้เช่นเดียวกัน ท่านอ๋องเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่?”

คำพูดของหลินเมิ้งหยาทะลุไปถึงหัวใจของหลงเทียนอวี้

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหัวใจ สิ่งที่หลินเมิ้งหยาพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

แต่เขายังมีความกังวลเกี่ยวกับตนเอง แม้ความกังวลข้อนั้นจะเริ่มสั่นคลอนแล้วก็ตาม

“เรื่องนี้ค่อยคุยกันครั้งหน้าเถิด ตอนนี้ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”

หลังพูดจบ หลงเทียนอวี้เดินออกจากกระโจมไป ไม่รู้ว่าเขาไปเดินเล่นที่ไหน

มองตามหลัง หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ

เพราะเหตุนี้พระสนมเต๋อเฟยจึงรับสั่งกับนางว่าจะต้องทำลายความเมตตาในใจของหลงเทียนอวี้ให้ได้

หากยังปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงยืนอยู่ที่เดิมไปชั่วชีวิต

แต่หลินเมิ้งหยากลับคิดว่าเพราะหลงเทียนอวี้เป็นแบบนี้ ลูกน้องจึงยังคงติดตามเขามิใช่หรือ?

เพียงแค่หลงเทียนอวี้ในตอนนี้ขาดอะไรบางอย่างไปก็เพียงเท่านั้น

หากต้องการเปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนเด็ดขาด เช่นนั้นจะต้องปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับเรื่องบางอย่าง

นางวางแผนในใจ

ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องไปจากจวนอวี้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นหลินหลางหรือเพราะสตรีนางอื่น นางจะทำให้หลงเทียนอวี้มีอนาคตที่สดใส

“ท่านอ๋อง เหตุใดดึกมากขนาดนี้แล้วยังออกมาตากลมข้างนอกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

ขณะที่กำลังครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางด้านนอก เสียงกระตุ้งกระติ้งของขันทีดังขึ้น

นางลืมไปเลยว่าที่นี่มิใช่จวนอวี้

ดังนั้น นางจำเป็นต้องนอนห้องเดียวกันกับเขา

แต่กลับได้ยินเสียงอึดอัดของหลงเทียนอวี้ตอบกลับ

“ข้างในมันร้อน ข้าเลยออกมาตากลมให้เย็นลง”

หลินเมิ้งหยาแอบยิ้ม หลังจากได้รู้จักมักคุ้นกับหลงเทียนอวี้ นางมักจะได้เห็นด้านที่ไม่รู้จักของเขาเสมอ

อย่างเช่น เวลาถูกผู้อื่นจับไต๋ได้ เขามักจะส่งเสียงเย็นชาเพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง

เมื่อเดินออกจากกระโจม หลินเมิ้งหยาเห็นหลงเทียนอวี้ยืนโงนเงนอยู่หน้าประตู

“ท่านอ๋อง อากาศเย็นแล้ว เสด็จเข้ามาบรรทมข้างในเถิดเพคะ”

น้ำเสียงหวานใส เจือไว้ซึ่งรอยยิ้ม หลงเทียนอวี้ถึงกับผงะ ดวงตาวูบไหวไปมา

“เจ้านอนก่อนเถิด ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ”

เมื่อหันกลับไปกลับพบว่าตนเองก็ไม่มีที่ให้ไปไหนแล้ว

“หรือท่านอ๋องจะไปล่าสัตว์ตอนกลางคืนหรือเพคะ? หรือว่าเสือตัวนั้นถูกขังไว้ในกระโจมของหม่อมฉัน? ที่ท่านอ๋องไม่ยอมเข้ามาเพราะรังเกียจเมิ้งหยากระนั้นหรือเพคะ?”

อยู่ๆ หลินเมิ้งหยากลับนึกอยากแกล้งหลงเทียนอวี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เพียงประโยคเดียว หลงเทียนอวี้ไม่มีทางให้ถอยหลังอีกต่อไป

ดวงตาพลันเปล่งประกาย ในที่สุดเขาก็ยอมกลับเข้าไปในกระโจมแต่โดยดี

เมื่อกวาดสายตามอง ร่างของใครคนหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อรอดูอะไรสนุกๆ