เล่มที่ 4 บทที่ 107 อย่ากลั่นแกล้งข้า

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เอาล่ะ อย่าได้หวังว่าจะมีอะไรให้ดูเลย เลิกวุ่นวายกันได้แล้ว”

 

หลังจากคนที่อยู่รอบๆ ได้เห็นปฏิกิริยาของหลินเมิ้งหยา พวกเขาต่างพากันแยกย้ายกลับไป

 

ดูเหมือน ข่าวที่ว่าท่านอ๋องอวี้กลัวเมียจะเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้น เหตุใดทันทีที่พระชายาปรากฏตัว ท่านอ๋องจะต้องรีบกลับเข้าไปในกระโจม?

 

เมื่อหมุนตัวกลับมาก็เห็นว่าหลงเทียนอวี้เหยียดกายนอนลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว

 

หลับตาสนิท แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ว่าหลงเทียนอวี้ยังไม่ได้นอนหลับ

 

“ท่านอ๋องหลับแล้วหรือเพคะ?”

 

ตั้งใจแกล้งเขา อยู่ๆ หลินเมิ้งหยานึกสนุกขึ้นมา

 

“ถ้าหลับแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันดับไฟแล้วนะเพคะ”

 

ครู่ต่อมาเปลวเทียนก็ดับลง ขณะเดียวกัน ภายในกระโจมพลันมืดสนิท เหลือเพียงดวงตาเปล่งประกายของหลินเมิ้งหยาที่กำลังจับจ้องหลงเทียนอวี้ซึ่งนอนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

 

นางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอนกายนอนลงเคียงข้างหลงเทียนอวี้

 

แต่นางสัมผัสได้ว่าทันทีที่ตนเองเอนกายนอนลงไป ร่างของหลงเทียนอวี้พลันแข็งทื่อ

 

ขณะเดียวกัน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า

 

“ท่านอ๋อง พระองค์ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับผู้ใดมาก่อนสินะเพคะ?”

 

แม้จะได้รับความเงียบเป็นคำตอบ แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสจากลมหายใจของเขาได้ว่ากำลังว้าวุ่น

 

สวรรค์โปรด นางไม่เคยรู้เลยว่าหลงเทียนอวี้จะยังเป็นชายบริสุทธิ์

 

“หม่อมฉันเองก็เหมือนกัน หม่อมฉันไม่เคยนอนกับชายคนไหนมาก่อน ท่านอ๋องเป็นคนแรกเลยเพคะ”

 

ทันทีที่พูดจบ หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ

 

ริมฝีปากที่เม้มสนิทแอบเปิดอ้าออก ทว่าหัวใจกลับรู้สึกอบอุ่น

 

คืนนั้น ทั้งสองนอนหลับด้วยกันเช่นนี้ แต่ทว่าพวกเขากลับนอนฝันหวานกว่าคืนไหนๆ

 

เช้าตรู่ เมื่อแสงยามเช้าสาดส่องเข้ามากระทบร่างของทั้งคู่ หลงเทียนอวี้ตื่นขึ้นตามเวลาปกติทุกวัน

 

ขณะที่คิดจะลุกขึ้น เขากลับพบว่าแขนของเขาถูกแขนเล็กๆ สองข้างกอดเอาไว้แน่น

 

หันหน้าไปมองใบหน้างดงามด้านข้าง

 

ผิวพรรณขาวนวลกระทบกับแสงแดด ขับให้ผิวของนางยิ่งงดงามเปล่งประกาย

 

ใบหน้าเรียวสวยได้รูป เหตุเพราะกำลังหลับสนิท ดังนั้นนางจึงหลับฝันหวานมากยิ่งขึ้น

 

เด็กคนนี้กอดแขนเขาไว้เหมือนแมวน้อยไม่มีผิด ศีรษะซุกเข้ามาใต้วงแขน ใบหน้าเรียวเล็กวางลงบนแขนของเขา

 

เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความรู้สึกเวลาถูกคนอื่นกอดแขนจะอบอุ่นขนาดนี้

 

แปลกจริง เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกรำคาญ แม้นางจะนอนอยู่แบบนี้ก็ตาม

 

ในทางตรงกันข้าม เขาอยากมองหน้านางให้ลึกซึ้งมากกว่านี้

 

“ท่านอ๋อง ท่านและพระชายาตื่นจากบรรทมหรือยังเพคะ?”

 

ด้านนอก เสียงของป๋ายจีดังขึ้น ทว่าคิ้วของหลงเทียนอวี้กลับขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

 

กลัวว่าหญิงสาวในอ้อมกอดจะตกใจตื่น จึงค่อยๆ ดึงมือของตนเองกลับ รีบสวมใส่ชุดของตนเองแล้วเดินออกจากกระโจม

 

“ต่อจากนี้ไป หากพระชายายังไม่ตื่น อย่าได้ปลุกนางเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?”

 

เขากดเสียงให้เบาลง ออกคำสั่งกับป๋ายจี ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงหันกลับไปมองทางกระโจมที่กำลังมีคนนอนหลับอุตุอยู่อย่างไม่วางใจนัก

 

“เพ…เพคะท่านอ๋อง”

 

ป๋ายจีหน้าแดงก่ำ ท่านอ๋องสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย อีกทั้งผมเผ้ายังยุ่งเหยิง สีหน้าอ่อนโยน หรือว่าเมื่อคืน…

 

แต่ท่านอ๋องกับพระชายาอภิเษกสมรสกันนานแล้ว แม้จะใช่…ก็มิใช่เรื่องแปลก

 

ไม่รู้เลยว่าท่านอ๋องที่ปกติมักจะเย็นชา แสดงความสนิทแนบแน่นกับพระชายาเช่นไร!

 

หลังจากหลินเมิ้งหยากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางเพิ่งสังเกตเห็นสายตาผิดปกติจากสาวใช้ทั้งสี่ รวมถึงหลินจงอวี้

 

เลื่อนสายตาหันไปมองป๋ายจื่อที่กำลังแอบยิ้มอยู่ที่มุมหนึ่ง แปลกชะมัด เหตุใดวันนี้ทุกคนจึงแอบยิ้มเวลามองนางกัน?

 

“ป๋ายจื่อ มานี่เดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”

 

ป๋ายจื่อรีบวิ่งเข้ามา ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้หลินเมิ้งหยาขนลุกซู่

 

“ตกลงพวกเจ้ายิ้มอะไรกัน? หรือข้ามีอะไรผิดปกติ?”

 

เมื่อก้มลงมองกระจกเงินของตนเอง ใบหน้ายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง

 

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ หนู่ปี้เพียงแค่รู้สึกดีใจแทนนายหญิง ดีใจมากๆ เลย”

 

ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำ เหตุเพราะกำลังยิ้ม ดังนั้นดวงตาจึงเรียวเล็กเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แม้แต่เขี้ยวสีขาวยังเผยออกมาให้เห็นเพราะปากที่ฉีกกว้าง

 

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ครั้งก่อนที่ป๋ายจื่อยิ้มเช่นนี้ สาเหตุเพราะท่านพี่นำขนมแปลกๆ กลับมาให้มากมาย

 

หรือว่านางหาของกินอย่างอื่นได้อีก?

 

“เสี่ยวอวี้ เจ้ามานี่หน่อย เจ้าเป็นเด็กดีที่สุด บอกพี่สาวมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

แต่ใครจะรู้เล่าว่าหลินจงอวี้จะทำเพียงยิ้ม อีกทั้งรอยยิ้มนั้นยังเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอกตัวน้อย

 

“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ทิวทัศน์ของเขาหลิงจูสวยงามยิ่งนัก อากาศก็ดี ข้ารู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก”

 

หลังจากถามออกไป ทว่าคำตอบกลับไม่ตรงประเด็นเลยแม้แต่น้อย หลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงทำได้เพียงเดินตามพวกเขาไป

 

เมื่อคืนนางเพียงแค่อยากแกล้งหลงเทียนอวี้เล่นแต่เพียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเอนกายนอนลงข้างกายเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างกายของหลงเทียนอวี้จะทำให้จิตใจของนางสงบลง

 

แต่เมื่อนางตื่นขึ้นมา นางกลับไม่เจอตัวหลงเทียนอวี้แล้ว

 

อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

บางทีอาจเพราะนางมิใช่คนที่เขาอยากจะอยู่ใกล้

 

“ทูลพระชายา การล่าสัตว์เริ่มต้นขึ้นแล้ว ไท่จื่อขอเชิญให้ทุกคนไปร่วมรับชมพ่ะย่ะค่ะ”

 

ขันทีประจำตัวของไท่จื่อเข้ามาเชื้อเชิญทุกคน แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่อยากไป แต่ก็มิอาจขัดคำสั่ง

 

“อือ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

 

ครุ่นคิด สุดท้ายตัดสินใจไว้หน้าไท่จื่อ

 

วันนี้สัตว์ทั้งหลายถูกไล่ต้อนไปยังพื้นที่ที่ไม่ไกลจากป่ามากนัก เหตุเพราะต้องการปกป้องดูแลเหล่าองค์ชายทั้งหลาย อีกทั้งยังเพื่อความสนุกในการออกล่า

 

ทว่าในสายตาของหลินเมิ้งหยา การล่าสัตว์เป็นเพียงความสนุกสนานของพวกชนชั้นสูงแต่เพียงเท่านั้น

 

แม้จะฆ่าเพียงสัตว์อ่อนแอ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีชีวิตที่ต้องเสียไปอยู่ดี

 

แต่คนพวกนี้กลับยังยืนหยัดที่จะทำเช่นนั้นเพื่อความสนุกของตนเอง

 

หลินเมิ้งหยาเปลี่ยนชุด สวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู เพราะไม่อยากดึงดูดสายตาผู้คน

 

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ขณะที่นางปรากฏตัวขึ้น สายตาหลายคู่แสดงอาการตกตะลึงออกมาให้เห็น

 

เวลาเพียงค่ำคืนเดียว ข่าวลือที่ว่าท่านอ๋องเป็นคนกลัวเมียถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทุกกระโจม

 

ภายในสถานการณ์ที่มิได้คาดเดาเอาไว้ นางกลายเป็นคนดังแห่งต้าจิ้นอีกครั้ง

 

พาดหัวข่าวในคราวนี้เบาสบายและน่าสนใจเป็นอย่างมาก

 

องค์ชายทั้งหลายแต่งกายหล่อเหลา ทว่าในสายตาของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้เป็นผู้ชายเพียบพร้อมอันดับหนึ่งของต้าจิ้น

 

ทั้งสถานะ ทั้งรูปร่างหน้าตา หลงเทียนอวี้โดดเด่นที่สุดในหมู่คนเหล่านั้น

 

แม้จะอยู่ข้างกายไท่จื่อ ทว่าสายตาของนางกลับมิอาจละไปจากเขาได้

 

เสมือนรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้สบตากลับไป อีกทั้งมุมปากยังหยักยิ้มขึ้นขณะจ้องมองนาง

 

รอยยิ้มนั้นเสมือนธารน้ำแข็งที่ถูกละลาย ความหล่อเหลาระเบิดออก

 

“ไอหยา ท่านอ๋องอวี้ยิ้มหวานอะไรเช่นนี้ คนบางคนแถวนี้จะต้องใจสั่นหวั่นไหวอย่างแน่นอน”

 

เสียงสบายๆ ของชิงหูพลันดังขึ้น คำพูดเอ่ยแซวทำให้หลินเมิ้งหยาหุบยิ้มไปในทันที

 

หยิกเอวของเขาแรงๆ หนึ่งที หลังจากได้ยินเสียงร้องโอดโอยของชิงหู หลินเมิ้งหยาจึงหายโกรธ ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้

 

“อาหารสามารถกินตามใจปากได้ แต่คำพูดจะออกมาตามใจปากมิได้”

 

นางส่งเสียงเย็นชาข่มขู่ชิงหู ทว่าเขากลับแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ

 

เข้ามายืนด้านหลังตนเอง มือทั้งสองข้างชี้ไปทางด้านหน้า

 

“อย่าคิดว่าท่านอ๋องของเจ้าจะหล่อที่สุด แม้เขาจะหล่อน้อยกว่าเหยียไปสักเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้”

 

หลินเมิ้งหยาชินกับความหลงตัวเองของชิงหูแล้ว

 

ไม่รู้ว่าชิงหูไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากไหน เขาพูดราวกับว่าตนเองเป็นบุรุษที่หล่อที่สุดในโลก

 

แต่อันที่จริงใบหน้าของเขาเองก็มีเสน่ห์น่าดึงดูด

 

ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา คุณหนูหลายคนต่างพากันส่งสายตามาทางเขา

 

“เฮ้อ ข้าว่าเจ้าเองก็อายุมากแล้ว หรือจะลองไตร่ตรองเรื่องแต่งงานดู?”

 

ล้อเลียนชิงหูที่อยู่ทางด้านหลัง หลินเมิ้งหยาพยักเพยิดริมฝีปากโบ้ยไปทางคนนู้นที คนนี้ทีเผื่อชิงหูจะถูกใจคุณหนูสักตระกูลหนึ่ง

 

“ช่างเถิด ข้าคงมิอาจเอื้อมยื่นมือไปคว้าดอกฟ้าเหล่านั้น”

 

น้ำเสียงของชิงหู แม้จะเจือไว้ซึ่งความเย็นชา ทว่าหลินเมิ้งหยากลับฟังออกว่าเขายังคงมิอาจปล่อยวางเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาได้

 

ดังนั้น การล้อเล่นในครั้งนี้จึงหยุดลง

 

“กฎของการล่าสัตว์ในครั้งนี้คือหากใครได้สัตว์จำนวนมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ อีกสามวันให้หลัง คนที่จับสัตว์ได้มากที่สุดจะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการล่าเสือขาว หากยิงสัตว์ตายหนึ่งตัวนับเป็นหนึ่งคะแนน หากจับได้เป็นๆ นับเป็นสองคะแนน ตอนนี้การแข่งขันเริ่มได้!”

 

เสียงประกาศของขันทีดังขึ้น ขณะเดียวกัน เหล่าองค์ชายต่างพุ่งตัวออกไป ราวกับเป็นลูกศรที่ถูกปลดจากคันธนู

 

ไท่จื่อพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรก จากนั้นจึงเป็นองค์ชายรองแห่งซีฟาน ส่วนหลงเทียนอวี้อยู่ท่ามกลางฝูงชน มิได้มีท่าทางรีบร้อน

 

สองวันแรก สิ่งที่พวกเขาจับได้มากที่สุดคือไก่ฟ้าและกระต่าย

 

ข้างกายของพวกเขาล้วนมีองครักษ์ซึ่งมีทักษะการขี่ม้าที่ยอดเยี่ยมคอยอารักขา

 

อีกอย่าง เพื่อที่พวกเขาจะสามารถนับคะแนนได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

 

หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะนั่งลง ทว่าเสียงประกาศพลันดังขึ้น

 

“คุณชายโจวได้หนึ่งคะแนน”

 

“คุณชายฉินได้หนึ่งคะแนน”

 

เสียงประกาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในการแข่งขันจึงเข้มข้นมากขึ้น

 

ครอบครัวของคนที่มีชื่อในประกาศล้วนรู้สึกดีอกดีใจ ก่อนจะเอ่ยปากชื่นชมลูกชายของตนเองให้กับผู้อื่นฟัง

 

“หากพี่หนานเซิงอยู่ที่นี่ รางวัลจะต้องเป็นของพี่หนานเซิงแน่นอน”

 

สกุลเยว่ไร้ซึ่งบุตรชาย ดังนั้นเยว่ถิงและเยว่ฉีจึงนั่งกะพริบตาพูดคุยกันขณะดูการแข่งขัน

 

หลินเมิ้งหยากลัวพวกนางจะเบื่อ ดังนั้นจึงตั้งใจเชิญพวกนางมานั่ง

 

“พี่เยว่ถิง ท่านเชื่อใจพี่ชายของข้าเหลือเกิน”

 

หลินเมิ้งหยาหัวเราะซุกซนต่อหน้าพี่สะใภ้ มองดูใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ เผยให้เห็นความเขินอาย ขณะเดียวกัน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก

 

“ไร้สาระ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักฝีมือของพี่หนานเซิงเสียเมื่อไหร่”