บทที่ 102

“หึ !” แม่ทัพมอร์ฟีสดูไม่ได้สนใจเจียงโมมากนัก เขามองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนที่จะเหวี่ยงค้อนโซ่เป็นวงกลม

อาวุธของเจียงโมมีเพียงแค่ดาบ เขาชักมันออกมาอย่างเชื่องช้าและชี้ไปยังลำคอของแม่ทัพอีกฝ่าย

เขาเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาเหมือนกับเหยียดหยามอีกฝ่าย ก่อนที่ค้อนโซ่ของแม่ทัพมอร์ฟีสจะพุ่งเข้ามาใส่เจียงโม

เจียงโมนั้นรวดเร็วพอตัว เขาสามารถยกดาบขึ้นปัดป้องมันด้วยดาบเพียงเล่มเดียว

แม่ทัพมอร์ฟีสตะลึง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจมองมายังเจียงโม

เขาป้องกันค้อนอีกฝ่ายเพียงแค่ดาบแถมยังดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยด้วย ทำให้พวกเฟิงที่อยู่บนกำแพงมีขวัญและกำลังใจที่มากขึ้นมาทันที เสียงตะโกนกู่ร้องดังออกมาจากบนกำแพง

ครั้งนี้แม่ทัพมอร์ฟีสเลิกดูถูกเจียงโมและฟาดค้อนใส่เขาอีกครั้ง

เจียงโมตวัดดาบในแนวระนาบ พร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณเพื่อปัดค้อนให้ลอยขึ้นไปบนฟ้ากว่า 1 จั้ง ส่งให้คลื่นปราณพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกของแม่ทัพมอร์ฟีสคนนั้นเข้าอย่างจัง

แม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นรีบใช้พลังที่แท้จริงทันที ชายร่างใหญ่กระโดดขึ้นสูงเพื่อหลบเลี่ยงมันและปลดปล่อยเกราะปราณออกมา ก่อนจะเหวี่ยงค้อนใส่หัวของคู่ต่อสู้ และในระหว่างนั้น ค้อนของชายร่างใหญ่ก็พลันปรากฏหนามหลายอันผุดขึ้นมาส่งเสียงแหวกอากาศอย่างน่ากลัว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายงัดไม้ตายออกมา เจียงโมก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาใช้เกราะกับอาวุธปราณทั้งหมด เรียกให้ปราณสีดำรายล้อมรอบตัวเอง และเมื่อเห็นค้อนพุ่งเข้ามา เขาก็พลันใช้หนามสีดำสวนกลับในทันที !

เคร้ง !

ปลายหนามแหลมปะทะเข้ากับใจกลางของค้อนจนเกิดเสียงดังสนั่น แม้แต่ทหารที่อยู่รายรอบก็ยังต้องเอามือขึ้นปิดหู

ทั้งสองปะทะกันอย่างสมศักดิ์ศรี

เจียงโมปลดปล่อยพลังทั้งหมดและถอยกลับมา 3 ก้าว ส่วนค้อนที่พุ่งเข้ามาก็ถูกกระแทกกลับใส่เจ้าของ ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าตะลึงงัน ไม่อาจทำอะไรได้ทันเวลา ปล่อยให้ค้อนนั้นกระแทกเข้าใส่หน้าอกของตนจนกระเด็นลอยออกไป

แม่ทัพมอร์ฟีสลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะคำรามออกมาดังก้อง ตัวเขานั้นเป็นถึงอันดับ 1 ของรัฐเบสซ่า เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและไม่เคยตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงรีบตั้งหลัก ร้องคำรามอย่างดัง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เจียงโมในทันที !

เจียงโมขยับกายอย่างเชื่องช้าเช่นเคย และในจังหวะที่อีกฝ่ายใกล้เข้ามา เขาก็พลันเปลี่ยนเป็นรวดเร็วปานสายฟ้า

เขาพุ่งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีอย่างง่ายดาย ทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดและกระโจนใส่เขาอีกครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกของการกระทำนี้ และไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งมันก็ยังเหมือนเดิม มันเหมือนกับการวิ่งไล่จับกันเสียมากกว่าการประลองกัน ทำให้แม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นโกรธจัดจนสบถออกมา

ในเวลาเดียวกัน พวกเฟิงที่เห็นว่าฝั่งตนกำลังได้เปรียบก็เริ่มส่งเสียงเชียร์ออกมา ส่วนทางด้านพวกมอร์ฟีสเองก็ตะโกนกู่ร้องอย่างเมามันไม่แพ้กัน

หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง แม่ทัพมอร์ฟีสร่างใหญ่ผู้นั้นก็เริ่มอ่อนแรง หอบหายใจอย่างหนัก ส่วนทางด้านเจียงโมนั้นกลับไม่มีอาการเช่นนั้นเลย เขายังคงมีพลังกายที่เต็มเปี่ยมเหมือนเคย

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก และครุ่นคิดกับตัวเอง นี่แหละคือโอกาส ดังนั้นเมื่อเขาหลบได้อีกครั้งจึงพูดยั่วยุอีกฝ่ายว่า “นี่เจ้าทำได้มากสุดแค่นี้เองเหรอ ?”

ไม่มีใครเข้าใจภาษาของกันและกัน แต่พวกมันก็พอคาดเดาจากสีหน้าและน้ำเสียงได้ ทำให้แม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นเดือดดาลยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก

ในครั้งนี้เจียงโมไม่ได้หลบ เขาเพียงแค่มองค้อนของอีกฝ่ายที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีด้วยท่าทางนิ่งเฉย

ค้อนเหล็กพุ่งตัดอากาศจนเกิดเสียงน่าหวาดเสียว ก่อนจะพุ่งทะลุร่างเป้าหมายเข้าอย่างจัง !

หากแต่สัมผัสที่ออกมามันไม่ใช่เลย ! ในความตะลึงนั้น แม่ทัพมอร์ฟีสกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังแทงทะลุหน้าอกตัวเอง

ชายร่างใหญ่มองลงมาก็เห็นหนามสีดำพุ่งออกจากอกของตน มันปรากฏขึ้นมาจากไหนกัน ?

“อ่า…”

แม่ทัพมอร์ฟีสพูดไม่ออกและยืนตะลึงอยู่ เขาไม่มีพละกำลังเหลืออยู่เลย ได้แต่ตายลงไปเช่นนั้น

เจียงโมยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย ลำตัวแนบชิดติดกัน ที่แท้หนามนั่นมาจากเขานี่เอง

จงถึงจังหวะที่กำลังจะตาย แม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาถึงด้านหลังเขาแล้ว และนี่คือความน่ากลัวของวิชาสับเปลี่ยนเงา

เมื่อร่างของชายร่างใหญ่ล้มลงบนพื้น เจียงโมจึงดึงหนามออกมาและสะบัดเลือดออก ก่อนจะตะโกนไปยังพวกมอร์ฟีส “ใครจะเข้ามาอีก ?”

เสียงของเขาทำให้พวกทหารลุกฮือขึ้นทั้งสองฝั่ง

บนม้าศึกนั่น เขาเห็นทุกอย่างในสมรภูมิ เจียงโมใช้เพียงวิชาสับเปลี่ยนเงาของศาสตร์มืดเท่านั้น ถ้าว่าตามข้อมูล ถังหยินคือคนเดียวที่สามารถใช้วิชาศาสตร์มืดได้

ทำให้แม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าเจียงโมเป็นถังหยิน จึงได้ออกคำสั่งไปว่า “โจมตีเมืองได้ ! ตัดหัวพวกมันให้หมด ! ใครก็ตามที่เอาหัวหมอนั่นมาได้ ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม !”

คำพูดนี้ทำให้ทหารทุกนายของมอร์ฟีสกู่ร้องออกมาและพุ่งเข้าใส่เมืองชายแดน

คลื่นมนุษย์โถมเข้าใส่เมืองอย่างดุดัน

ถ้ามองไกล ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เมื่อเข้ามาใกล้ก็จะพบว่ามีแต่พวกทหารมอร์ฟีสทั้งนั้น

เจียงโมตวัดดาบสีดำในมือ เขาปลดปล่อยคลื่นปราณออกมา 3 รอบเพื่อจัดการพวกมัน ก่อนที่จะเผ่นกลับไปยังประตูเมือง

ไม่นานนักเขาก็ทิ้งห่างจากพวกมอร์ฟีส และเมื่อมาถึงประตูก็รีบพุ่งตัวเข้าแทรกผ่านช่องประตูเข้าไปและปิดลงพร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา

ในเวลาเดียวกัน พวกเฟิงที่อยู่บนกำแพงก็ได้ทิ้งท่อนซุง หิน และน้ำมันเดือดลงมาด้านล่าง ส่วนพวกทหารคนอื่น ๆ ต่างก็เตรียมดาบและธนูเพื่อเตรียมรอคำสั่งต่อไป

ชิวเจิ้นคำนวณระยะทางเอาไว้เป็นอย่างดี เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้กำแพงเมืองจนได้ระยะ เขาจึงได้ออกคำสั่งไปว่า “ยิงเกาทัณฑ์ได้ !”

“ยิงได้ ! ยิงได้ ! ยิงได้ !”

คำสั่งของเด็กหนุ่มถูกถ่ายทอดออกไป พร้อมกันกับที่ลูกธนูถูกปลดปล่อยออกมา

ลูกศรนับหมื่นดอกพุ่งออกไปราวกับสายฝน

พวกมอร์ฟีสถูกยิงตายไปมากมาย พากันล้มกันระเนระนาด ส่วนพวกพ้องที่เหลือรอดก็พากันเหยียบย่ำกันอย่างไม่เกรงใจเพื่อพุ่งไปข้างหน้าต่อ

กำลังกายและกล้ามเนื้อของพวกเขาถือว่าเหนือกว่าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าบางคนที่โดนยิงก็ยังคงวิ่งเข้าไปได้เรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ยังไม่โดนจุดตาย

ไม่นานนักพวกมอร์ฟีสก็มาถึงใต้กำแพงเมืองทีละคน ก่อนที่บันไดจะถูกตั้งขึ้นและมีคนไต่ขึ้นมาบนกำแพงอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ท่อนซุงและก้อนหินต่างถูกเทลงมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อบดขยี้พวกทหารที่กำลังปีนขึ้นมา ทำให้พวกเขากรีดร้องอย่างโหยหวน ก่อนจะถูกเหยียบซ้ำจากสหายของพวกเขาอีกที

ในสนามรบนั้น หลายชีวิตกลายเป็นศพได้ในชั่วพริบตาเดียว

พวกมอร์ฟีสที่บ้าคลั่งทำให้พวกเฟิงหวาดกลัวเป็นอันมาก แม้แต่ชิวเจิ้นเองก็กลัวเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าไม่อาจหยุดพวกมันได้ ชิวเจิ้นจึงออกคำสั่งให้เตรียมจุดน้ำมันเดือด

ในเวลานั้นมูฉิงที่ยืนอยู่ข้าง เขาได้เข้ามาห้ามไว้ “ช้าก่อนนายท่าน !”