บทที่ 101

เมืองชายแดน

กองทหารมอร์ฟีสที่เข้าโจมตีมีราว ๆ 5 หมื่นนาย เมื่อพวกทหารที่อยู่บนกำแพงมองลงมาก็เห็นเข้ากับคลื่นมนุษย์ขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกมันไม่ได้สื่อสารกันมากนักในการต่อสู้ หากแต่เน้นไปที่การต่อสู้และไม่มีการจัดกระบวนทัพ

ทว่าด้วยการต่อสู้แบบนี้ มันก็ทำให้พวกเฟิงเสียหายหลายแสนมานับไม่ถ้วนแล้ว

ชิวเจิ้นอยู่ด้านบนหอคอย มองลงมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หัวใจของเขาตั้งมั่นไว้อย่างดิบดี หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็ตื่นตระหนกไม่น้อยเลย

เสี่ยวมูฉิงยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่ม และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเช่นเดียวกับพวกคนอื่น ๆ

มูฉิงนั้นมั่นคงกว่าชิวเจิ้น เพราะเขาเป็นทหารผ่านศึกมานับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกข้าศึกมากมายแบบนี้จึงไม่คณนามือเขาสักเท่าไหร่

เขามองดวงตาที่ไร้แววของชิวเจิ้นแล้วจากนั้นก็เดินออกมา “ท่านชิว พวกมันมากันแล้ว ข้าเดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกไม่นานพวกมันจะเข้าปะทะกับเราเป็นแน่”

เด็กหนุ่มได้รับตำแหน่งรองผู้ว่าเขตปิงหยวน หน้าที่ของเขาคือบริหารกองทัพ นับได้ว่ามีอำนาจมากกว่ามูฉิง และแม้ว่าเขาจะรับรู้ถึงความไม่พอใจของอีกฝ่าย หากแต่ท่าทีก็ยังดูสุภาพกับอยู่

“โจมตีงั้นหรือ ?” ชิวเจิ้นที่ไม่เคยเห็นการรบกับพวกมอร์ฟีสมาก่อนจึงได้ถาม “พวกมันยังไม่ได้จัดกระบวนทัพใดเลยนะ”

ในความคิดของเขา การปิดล้อมเมืองจะต้องใช้รูปแบบและการวางแผนกองทัพมาเป็นอย่างดี

มูฉิงแอบขำในใจ เขาพยักหน้าให้ “ถูกต้อง แต่การศึกของพวกมอร์ฟีสนั้นไม่เคยมีกฎอยู่แล้ว !”

ชิวเจิ้นมองมูฉิงอย่างสงสัยและไม่ได้พูดอะไรต่อ

เพียงชั่วพริบตา ทหาร 5 หมื่นของพวกมอร์ฟีสก็เข้ามาล้อมเมืองชายแดนไว้ดังที่มูฉิงว่าไว้ พวกมันไม่มีรูปแบบกระบวนทัพใด ๆ ทั้งนั้น ในตอนนี้พวกมันแหวกเป็นสองทาง เว้นให้ตรงกลางเป็นทางเดินของชายร่างใหญ่ในชุดหนังสัตว์

ชายคนนั้นเดินออกมาและหยุดอยู่ที่หน้าเมืองชายแดน จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและตะโกน ซึ่งพวกเฟิงก็ไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร

ด้านบนหอคอย ชิวเจิ้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาหมุนตัวกลับไปมองพวกแม่ทัพด้านหลัง “มีใครอาสาจะเข้าไปประลองกับแม่ทัพมอร์ฟีสไหม ? ศึกครั้งนี้สำคัญมาก ถ้าเกิดว่าพวกเราทำลายขวัญกำลังใจของพวกมันได้ พวกเราก็อาจจะสามารถชะลอการเดินทัพของพวกมอร์ฟีสได้”

ได้ยินแบบนี้ พวกแม่ทัพก็อยากลองเสี่ยงดวงดูกันสักครั้งขึ้นมาทันที เพราะถ้าเกิดว่าพวกเขาทำได้ ทุกอย่างก็จะมีแต่ดีขึ้น

เมื่อชิวเจิ้นพูดจบ หนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมาและประกบมือ “ท่านชิว ข้าน้อยขออาสาเป็นคนแรกเอง”

ชิวเจิ้นไม่รู้ถึงพลังของต้าเปิง เขาหันไปถามความเห็นจากกู่เยว่

ต้าเปิงคือ 1 ใน 10 หัวหน้านายกองของกองพันที่ 4 แม้ว่าเขาจะไม่เก่งเท่ากู่เยว่ หากแต่ก็มีจิตใจที่กล้าหาญที่ต้องการจะออกไปเป็นคนแรก ดังนั้นกู่เยว่จึงพยักหน้าให้กับชิวเจิ้นเป็นนัย ๆ ว่าอนุญาตให้เขาไปได้

เมื่อได้รับสัญญาณแบบนั้น ชิวเจินก็พยักหน้าให้ “จงไปซะ แล้วคว้าชัยชนะมาให้ได้”

ต้าเปิงดีใจมาก เขารีบลงไปทันที

หลังลงมาจากบนกำแพงด้วยตัวคนเดียว จึงควบม้าวิ่งผ่านประตูเมืองที่เปิดออกตรงไปยังศัตรู

ต้าเปิงไม่ได้พูดอะไร และควบม้าไปด้วยความรวดเร็วพร้อมกับแทงหอกไปยังอีกฝ่ายโดยไม่ทันบอกกล่าว

แม้ว่าแม่ทัพมอร์ฟีสจะตัวใหญ่แต่ก็ว่องไวมาก อีกฝ่ายขยับตัวหลบไปเล็กน้อยเพื่อให้ต้าเปิงพุ่งผ่านไป จากนั้นเขาก็โบกมือเหวี่ยงค้อนโซ่ในมือเข้าใส่ต้าเปิง

ถึงจะเห็นว่าช้าหากแต่มันกลับเร็วมาก เพียงพริบตา ค้อนที่ว่านั้นก็จวนจะถึงตัวของต้าเปิงอยู่แล้ว

จะปัดป้องด้วยหอกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นต้าเปิงจึงปลดปล่อยเกราะปราณออกมาเพื่อปกปิดจุดตายของตัวเองเอาไว้แทน

ค้อนขนาดเท่าฝ่ามือกระแทกเข้ากับเกราะของต้าเปิงจากด้านหลัง มันรุนแรงเสียจนเกราะปราณของเขาไม่อาจต้านทานได้

ต้าเปิงร้องออกมา ก่อนที่ร่างจะกระเด็นตกจากม้าและกระแทกลงกับบนพื้น

ก่อนที่เขาจะทันได้ลุกขึ้น โซ่ที่เชื่อมต่ออยู่กับค้อนนั่นก็พลันเข้ารัดกับคอของต้าเปิงเอาไว้ บีบบังคับดึงให้เขาลุกขึ้นมาจากด้านหลัง และแม้ว่าต้าเปิงจะพยายามปลดตัวเองออกมาสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถทำได้เพราะโซ่มันมีพลังแฝงปราณอยู่ โซ่นั่นรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเกราะของเขาเริ่มบิดงอ

ต้าเปิงเริ่มหายใจไม่ออกและหมดแรงไปทุกที

ไม่มีใครคาดคิดว่าต้าเปิงที่เก่งกาจจะอยู่ในสภาพแบบนั้นได้ เพียงชั่วพริบตาทั้งกำแพงเมืองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนได้แต่มองภาพนี้ด้วยความสิ้นหวัง

ในทางกลับกัน พวกมอร์ฟีสต่างก็ส่งเสียงร้องกันสนุกสนาน พวกมันชูอาวุธขึ้นโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองฝ่ายให้อารมณ์ที่ตัดกันได้เป็นอย่างดี

แม่ทัพมอร์ฟีสดึงร่างของต้าเปิงเดินออกมาหน้าประตู หัวเราะใส่ ก่อนที่จะใช้ค้อนกระแทกเข้าไปที่หัวของต้าเปิง

เคร้ง !

เสียงเหล็กปะทะกัน ทำให้เกราะของต้าเปิงแตกกระจายพร้อมกับค้อนที่ทะลุเข้าไปในหัวของอีกฝ่ายจนตายคาที่

แม่ทัพมอร์ฟีสหัวเราะอีกครั้ง ก่อนโยนร่างของต้าเปิงให้กระเด็นมาอยู่ตรงหน้าประตูเมือง

“หา ?”

เพียงชั่วพริบตาเขาก็ตายไปในทันที นี่คือความโหดร้ายและป่าเถื่อนแบบฉบับของพวกมอร์ฟีส

บนหอคอยนั่น ชิวเจิ้นเริ่มมีสีหน้าที่บิดเบี้ยว หนึ่งเลยคือเพราะเขานั้นรีบเร่งจนเกินไป และสองคือเขาต้องเจ็บปวดที่สูญเสียแม่ทัพฝีมือดีไปหนึ่งนาย และนอกจากเขาแล้ว กู่เยว่เองก็โกรธจัดไม่ใช่น้อย

กู่เยว่เดินเข้ามาหาชิวเจิ้นและพูดอย่างมั่นใจ “ท่านชิว ให้ข้าเอง !”

ชิวเจิ้นที่เพิ่งได้สติก็หันมามองอีกฝ่ายและส่ายหน้าให้ เขารู้ดีถึงพละกำลังของกู่เยว่ แต่การที่จะให้ไปประลองกันอีกรอบนั้น มันเสี่ยงเกินไป มันอาจทำให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำสอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสี่ยงอีก

เมื่อเห็นชิวเจิ้นไม่ได้ตอบอะไร กู่เยว่ก็เข้าใจดี เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และตอบกลับ “ท่านชิว ข้าน้อยจะไปเอง ไม่ว่าจะเป็นยังไงข้าจะต้องกลับมาเจอหน้าท่านให้ได้”

ถ้าเป็นคนอื่นเด็กหนุ่มคงไม่ห่วงมากสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นกู่เยว่ แม่ทัพที่ถังหยินไว้วางใจที่สุด

ระหว่างที่ชิวเจิ้นกำลังลังเลก็มีคนบางคนพูดขึ้นมา “ท่านชิว ให้ข้าไปจัดการมันเถอะ”

ทุกคนหันมามอง ก่อนจะพบว่าคนที่พูดคือผู้ใช้ศาสตร์มืด เจียงโม นั่นเอง

ชิวเจิ้นเริ่มมีกำลังใจ “เจียงโม เจ้ามั่นใจหรือ ?”

เจียงโมยิ้มบาง ๆ และยักไหล่ “ไม่มีใครมั่นใจทุกอย่างในการรบหรอก แต่อย่างน้อยถ้าข้าจะตายก็คงจะไม่อนาถาแบบนั้น”

ชิวเจิ้นมองหน้าเขาสลับกับกู่เยว่ และหลังจากครุ่นคิด เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะส่งเจียงโมไปประลอง ! เพราะถ้าไม่นับในแง่ความสัมพันธ์แล้ว ความสามารถของเขาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เก่งกาจพอสมควร

ชิวเจิ้นเริ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพกู่ ให้เจียงโมไปรับมือเถอะ เอาไว้ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ห้ามเจ้าอีก”

คำสั่งของเขาถือเป็นคำเด็ดขาดและไม่มีใครสามารถขัดได้

เจียงโมประกบมือให้และเดินออกไป ก่อนที่ชิวเจิ้นจะออกมาเตือนไว้ “แม่ทัพของมันเก่งกาจนัก เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าหากสู้ไม่ได้ก็ให้ถอยกลับมาทันที”

“รับทราบ” เจียงโมยิ้มให้และรีบเดินลงไปพร้อมกับออกจากเมืองไปโดยไม่ได้ขี่ม้า

เมื่อออกมาข้างนอก เขาก็อุ้มร่างของต้าเปิงกลับเข้าไปในเมือง ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่ทัพมอร์ฟีสคนนั้น

แม่ทัพมอร์ฟีสที่เห็นเจียงโมเดินออกมาอย่างช้า ๆ ก็เริ่มสงสัย

ไม่นานนักเจียงโมก็เข้าประชิดตัวห่างจากแม่ทัพเพียงแค่ 5 ก้าว

เจียงโมนั้นมีรูปร่างที่สมส่วนขนาดกลาง เมื่อยืนประจันหน้ากันจึงมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน