บทที่ 100

เมื่อเห็นหยวนเปียวเข้าใจผิด เฉินจินก็รีบแก้ตัว “การสงบศึกที่ข้าบอกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น สิ่งที่ข้าต้องการก็คือบังคับให้พวกมันทำสัญญาสงบศึกเพื่อให้พวกเราได้เปรียบต่างหาก”

ด้วยคำอธิบายนี้ทำให้พี่น้องฉางกวงสงบใจลงได้ “แล้วเราจะทำได้ยังไง ?”

เฉินจินพูดอย่างจริงจัง “นี่ต้องใช้เวลาคิดอีกสักพัก แต่ข้าว่าตอนนี้พวกมอร์ฟีสคือหมาป่าและพวกเราคือแกะ ดังนั้นข้อได้เปรียบจะตกอยู่พวกมัน และจะเป็นของพวกมันไปตราบเท่าที่เรายังตกเป็นผู้ถูกกระทำเช่นนี้ ดังนั้นถ้าเราจะทำในสิ่งที่ข้าบอก ถ้างั้นก็ต้องพลิกมันกลับเสียก่อน พวกเราจะต้องเล่นบทรุกรานพวกมันบ้าง !”

ถังหยินไม่ใช่คนนิ่งเฉย โดยเฉพาะในสนามรบที่เขามักเป็นคนที่โจมตีอย่างเดียวเพื่อบดขยี้ศัตรู เขาเองก็เคยคิดจะส่งทหารเข้าไปในเขตพวกมอร์ฟีสเช่นกัน แต่มันก็มีข้อจำกัดมากมาย แถมสถานการณ์ทางเขตปิงหยวนในตอนนี้ก็ยังไม่อนุญาตให้เขาทำแบบนั้นด้วย ทว่าการได้ยินคำนี้จากเฉินจินก็ทำให้เขาคล้อยตามไม่น้อย

ชายหนุ่มยิ้มให้ “เฉินจิน เจ้าพูดถูก แต่ว่าเราต้องการกองทหารที่แข็งแกร่งและแนวเสบียงที่มั่นคงเสียก่อนจะรุกรานพวกมัน”

เฉินจินยักไหล่ “ข้าว่ามันจะต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นบ้างละนะ”

ได้ยินแบบนี้หัวใจของถังหยินก็เริ่มเต้นรัวขึ้น

วันนี้พวกมอร์ฟีสไม่ได้เข้ามา วันที่ 2 ก็เช่นกัน วันที่ 3 เองก็ด้วย และวันที่ 4 ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถังหยินกับทหารของเขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองนานกว่า 6 วัน

การที่ต้องอยู่ในรูแคบ ๆ แบบนี้ มันทำให้พวกเขาแทบจะเป็นบ้ากันไปหมด โชคยังดีที่เฉินจินและโอชิงยังคอยคุยกับพวกเขาได้บ้าง

เช้าวันที่ 6

ถังหยินกับทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น และต้นทางที่ว่าก็คือนอกเมือง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่ากำลังมีคนอยู่ด้านนอกนั่น

เพราะว่าเขาฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก ถังหยินจึงมีสัมผัสที่น่าเชื่อถือมากกว่าคนทั่วไป ชายหนุ่มตื่นขึ้นและเตือนให้ทุกคนตามหลังตนมา “นายท่าน เกิดอะไรขึ้น…”

“ชู่ว มีคนมา” ระหว่างที่พูดเขาก็ดับไฟตะเกียง ส่วนทั้ง 4 คนนั้นก็กำลังตั้งท่าลองฟังเสียงดู ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ก่อนที่หลังจากนั้นสักพักจึงเริ่มที่จะได้ยินเสียงดังกล่าว ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาตะลึงในหูของถังหยินเป็นอย่างมาก

ทั้งห้าปล่อยพลังออกมาเสริมเกราะและอาวุธทันที ทุกคนเตรียมความพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นพวกมันแล้ว

เวลาผ่านไปรวดเร็ว เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงคนวิ่งอย่างชัดเจน

หยวนอู่และหยวนเปียวที่มองไม่เห็นอะไรเริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเสียงนั่นเข้ามาใกล้พวกเขาเป็นอย่างมาก

ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะพุ่งตัวออกไป ถังหยินก็ได้ห้ามพวกเขาไว้ “ช้าก่อน”

แต่ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว หอกในมือของทั้งสองพุ่งออกไป พวกเขาทำได้มากที่สุดก็แค่เบี่ยงทิศทางของมันเท่านั้น

ฉึก ! ฉึก !

หอกทั้ง 2 ปักเข้ากับกำแพงทางเดินจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่

ตอนนี้เองที่ถังหยินหยิบตะเกียงขึ้นมาจุดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่พี่น้องฉางกวงจะเห็นว่ามีคนอายุราว ๆ 20 ปีในชุดสีดำวิ่งเข้ามาหาเขา

หอกนั่นเฉียดหัวชายหนุ่มคนนั้นไปนิดเดียว และเมื่ออีกฝ่ายเห็นภาพตรงหน้านี้ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก เม็ดเหงื่อไหลท่วมใบหน้าไปหมด

“ขะ ข้าน้อยคือคนของแม่ทัพอัย มาเพื่อส่งสารให้ท่าน” ชายผู้นั้นหยิบตรากองทัพออกมามอบให้กับถังหยินด้วยอาการสั่นเทา

เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินขึ้นมาและบอกให้คู่พี่น้องหยุดมือ ตรากองทัพของชายคนนี้เป็นของแคว้นเฟิงและมีสัญลักษณ์ของหน่วยสอดแนมอยู่ เมื่อถังหยินเห็นแบบนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพอัยกลับมาที่แล้วหรือ ?”

“ถูกต้องขอรับ พวกเรากลับมาแล้ว และด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของนายท่าน พวกเราก็เลยมาที่นี่เพื่อสอดแนมพวกมันขอรับ”

“อย่างนี้นี่เอง แล้วสถานการณ์เป็นไงบ้าง ?” เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาบ้าง

ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายแล้วรีบตอบไป “กองทัพมอร์ฟีสเข้ามาในเขตของพวกเราแล้ว ขณะนี้มีหนึ่งหน่วยกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้อย่างรวดเร็วขอรับ”

ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก ในที่สุดพวกมันก็มาแล้ว “พวกมันมากันเท่าไหร่ ?”

“นับไม่ถ้วนขอรับ !”

หมายความว่าไงกัน ? ถังหยินโกรธจนแทบจะหัวเราะออกมา “เจ้าหมายความว่าไง ? ไม่ว่ามันจะมากันแค่ไหนก็ต้องมีจำนวนบอกได้สิ”

“มีประมาณ 1 หมื่นนายกำลังมาที่นี่ และมีอีกราว ๆ 5 หมื่นนายกำลังเข้าโจมตีเมืองชายแดนขอรับ”

5 หมื่น ? แถมอีก 1 หมื่นกำลังมาที่นี่อีกงั้นหรือ ? เมื่อนับรวม ๆ แล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 6 หมื่นนายเลยทีเดียว !

เมื่อได้ฟังคำนั้น มันก็ทำเอาชายหนุ่มเริ่มกังวลเกี่ยวกับเมืองชายแดนขึ้นมาทันที ทหารที่นั่นมีแค่ 2 หมื่นนายเท่านั้น ต่อให้เป็นชิวเจิ้นก็ไม่อาจป้องกันเมืองได้หรอก เขาเงียบและหันไปบอกกับชายผู้นั้น “กลับไปรายงานแม่ทัพอัย ว่าถ้ามีอะไรก็ให้แจ้งข้าทันที”

“รับทราบ !” พูดจบชายคนนั้นก็รีบออกไปทันที

“นายท่านคิดว่าเมืองชายแดนจะเอาอยู่ไหม ?” หยวนอู่ถามอย่างกังวล

ถังหยินเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว “ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก เอาตัวพวกเราเองให้รอดก่อนดีกว่า”

“ขอรับ !”

ในช่วงเวลาแสนสำคัญเช่นนี้ ไม่ว่าแผนของพวกเขาจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกมอร์ฟีสจะฉลาดแค่ไหน

ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าใด ทุกคนก็พลันได้ยินเสียงตะโกนปนมากับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านบนเหนือศีรษะของตัวเอง

พวกมอร์ฟีสมาที่เมืองหวางแล้ว ถังหยินขยับเข้าไปใกล้ทางเข้าเพื่อฟังเสียงที่เกิดขึ้น

การที่เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้างนั้นนับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ดังนั้นพวกมันจึงหันมาใส่ระบายอารมณ์กับสิ่งปลูกสร้างแทน

ถึงถังหยินจะไม่เข้าใจภาษาพวกมัน แต่เขาก็มั่นใจว่าพวกมันนั้นกำลังหัวเสียอยู่แน่นอน

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ถ้าเกิดว่าพวกมันหัวร้อนและเผาเมืองนี้ทิ้งล่ะ ? แล้วแบบนี้พวกเขากับทหารจะไม่ขาดอากาศตายกันหมดหรือ ?

เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมา

แม้ว่าพวกมันจะปล้นฆ่าอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกมันก็ไม่คิดจะเผาถังเงินของตัวเองทิ้งหรอก ถ้าไม่มีเมืองก็ไม่มีคนเข้ามาอยู่แล้ว เช่นนั้นพวกมันก็จะไม่มีอะไรกินกัน !

หลังจากที่หาใครไม่เจอเลย พวกมันก็เริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย พากันมุ่งหน้าไปยังเมืองชายแดนเพื่อร่วมโจมตีกับกองทัพหลัก !

เมื่อพวกมอร์ฟีสกลับไปแล้ว ถังหยินก็แทบหายใจไม่ทั่วท้อง โชคดีแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่จุดไฟเผาเมืองทิ้ง !

เขาถอยกลับไปยังปลายทางออกและนั่งลง

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากลับออกไป เฉินจินก็ถาม “พวกมันไปแล้วหรือ ?”

ถังหยินพยักหน้า “ใช่แล้ว”

“นายท่าน พวกเราต้องทำอย่างไรต่อ ?” หยวนเปียวถาม

“เราต้องรอให้สายลับของเรากลับมาที่นี่ก่อน เราถึงจะออกไปกันได้”

เฉินจินถอนหายใจอย่างโล่งอก “พวกมันมาที่นี่ตั้งไกลและกำลังเหนื่อยอยู่เป็นแน่ ดังนั้นพวกมันจึงไม่น่าจะเข้าโจมตีเมืองเร็ว ๆ นี้หรอก”

“แน่นอน” หยวนอู่พูดแทนเจ้านายของเขา “พวกมอร์ฟีสมันชอบความรวดเร็ว ข้าไม่เคยเห็นพวกมันพักสักครั้งระหว่างที่ทำการโจมตีเมืองเลย ข้าอยู่ในปิงหยวนมามากกว่า 20 ปี ดังนั้นข้าจึงเข้าใจพวกมันดี”

เฉินจินขมวดคิ้ว “นับได้ว่าเป็นการเสี่ยงเดิมพันที่สูงมากเลยนะนั่น พวกมันบ้ากันหรือยังไง ?”

ถังหยินได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มฉีกกว้างมาก “นั่นแหละ กับไอ้บ้าพวกนั้น พวกเราจะต้องเอาชนะมันได้แน่ !”