บทที่ 99

ถังหยินยิ้มและมองชิวเจิ้น ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อและแนะนำแผนให้กับทั้งสี่ได้รับรู้

หลังอธิบายจบพวกเขาก็เข้าใจทันที “นายท่าน ให้ข้าไปกับท่านด้วยเถิด”

วินาทีนั้น เจียฉี เจียงโม และโอชิงเองก็อยากจะติดตามเขาไปทันที

ถังหยินหัวเราะและส่ายหัว “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของพวกเจ้า ทว่าข้านั้นไม่คิดว่ามันจะอันตรายมากนักหรอก กลับเป็นที่แห่งนี้เสียอีก ที่น่าจะตกอยู่ในอันตรายกว่ากันเยอะ เพราะข้าได้ทำการศึกษาแผนการรบ และกลยุทธ์การโจมตีของพวกมอร์ฟีสมาแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่ามันโหดร้าย ป่าเถื่อนแค่ไหน การบุกโจมตีพวกมันไม่ใช่เรื่องยากอันใดเลย หากแต่เป็นการป้องกันเสียอีก ที่ข้าเป็นกังวลว่าที่นี่จะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน ดังนั้นข้าจึงอยากจะหวังพึ่งพวกเจ้าให้คุ้มครองที่นี่แทน”

เฉินจินครุ่นคิดและเข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงเสนอออกไปว่า “ถ้างั้นเอาแบบนี้ไหมนายท่าน โอชิงกับข้าจะไปกับท่าน และให้สหายของข้าที่เหลืออีก 2 คนคอยปกป้องที่นี่”

ไม่ง่ายที่เขาจะหาที่พึ่งพิงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลัวว่าถ้าหากถังหยินเป็นอะไรไป ทุกอย่างที่ทำมามันจะสูญเปล่า

ถังหยินไม่อาจปฏิเสธดวงตาแห่งความพยายามแบบนี้ได้ “ถ้างั้นเจ้ากับโอชิงก็มากับข้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากมาก็ไม่ต้องฝืนใจหรอกนะ” เขามองไปยังโอชิง

โอชิงคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาทั้ง 4 คน หากแต่นิสัยของนางนั้นกลับแข็งกร้าวไม่แพ้ใครหน้าไหนเลย

“เอาล่ะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า” เขามองชิวเจิ้น “ข้าจะให้เจ้าดูแลที่นี่ต่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามให้พวกมันเข้ามาได้เด็ดขาด”

“หายห่วงได้เลยนายท่าน แต่ได้โปรดระวังตัวด้วย” ชิวเจิ้นพูดอย่างจริงจัง

“ได้เลย” ถังหยินตบบ่าของสหายข้างตัว ด้วยเชื่อใจว่าสหายคนแรกของเขาในโลกนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปแน่

วันต่อมาถังหยินก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองหวางพร้อมกับทหารและนักรบมากฝีมืออีก 2 พันนาย

ชาวเมืองหวางนั้นอพยพกันไปหมดแล้ว จึงทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้างกันเลยทีเดียว

ตามที่มูฉิงกล่าวไว้ ทุกบ้านจะมีหลุมขนาดใหญ่ที่จุดคนได้มากกว่า 100 คนเอาไว้หลบซ่อนตัวกันทั้งนั้น

ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงสั่งให้เหล่าทหารไปซ่อนตัว ส่วนตัวเขาก็ทำการสำรวจเส้นทางลับเหล่านี้ และเมื่อนับได้ 20 แห่งด้วยกัน ถังหยินจึงตัดสินใจแบ่งทหารออกเป็น 10 กลุ่มเพื่อให้พวกเขาแยกย้ายกันไปประจำการ

เพื่อไม่ให้แผนการต้องเสียเปล่า เขาจึงออกคำสั่งให้ทุกคนที่ละทิ้งหน้าที่จะได้รับโทษร้ายแรง

หลุมของถังหยินอยู่ที่ใจกลางเมืองและมีชัยภูมิที่ดีมาก ไม่ว่าจะเกิดศึกด้านไหนเขาก็สามารถโผล่เข้าไปช่วยได้ทันท่วงที อีกทั้งในหลุมของเขานั้นก็มีทางออกเชื่อมไปยังด้านนอก ทำให้สามารถซุ่มดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ในทุกย่างก้าวอีกด้วย

ทางลับนี้ดำมืดเสียจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วตัวเอง หากแต่เขา เฉินจิน และโอชิงนั้นสามารถใช้ศาสตร์มืดได้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ผิดกับพี่น้องฉางกวงที่ได้แต่นั่งอยู่ตรงมุมถ้ำอย่างเงียบ ๆ ด้วยมองไม่เห็นสิ่งใด

เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่สบายใจ ถังหยินจึงยื่นตะเกียงน้ำมันมาให้ ถึงแม้ว่าแสงจะไม่สว่างนัก หากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี ดังนั้นทั้งพวกเขาจึงเดินเข้ามาใกล้ตะเกียงเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ

“นายท่านคิดว่าพวกมอร์ฟีสจะมาเมื่อไหร่ ?”

ถังหยินเอนหลังพิงกาย “ใครจะไปรู้กัน ? อาจจะพรุ่งนี้ หรือไม่ก็เป็นสัปดาห์กระมัง”

“แล้วพวกเราจะรออยู่แบบนี้หรือ ?”

“ทำไมล่ะ ? พวกเราเอาเสบียงมาตั้งครึ่งเดือน ดังนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“แต่ถ้าเกิดว่าพวกมันไม่มา งั้นพวกเราก็ต้องรออยู่อย่างนี้หรือ ?”

“10 วัน ถ้าหากว่า 10 วันผ่านไปแล้วยังไม่มีใครมา พวกเราจะรีบกลับเมืองกัน”

“เอางั้นก็ได้นายท่าน” หยวนเปียวพูดพึมพำด้วยเสียงอันเบา

ถังหยินยิ้ม “แต่ถ้าพวกมันมาพรุ่งนี้ พวกเราก็ได้กลับพรุ่งนี้เลยนะ”

หยวนเปียวหัวเราะ “ข้าล่ะอยากจะจัดการพวกมอร์ฟีสแล้วจริง ๆ”

เมื่อยามเที่ยง โอชิงก็นำกระเป๋าที่นางพกมาด้วยมอบให้กับถังหยิน “นายท่าน ทานนี่สิ”

ถังหยินรับชิ้นเนื้อมาและฉีกมันออก “โอชิง เจ้าอายุเท่าไหร่ ?”

ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน การถามอายุหญิงสาวก็ถือเป็นเรื่องหยาบคายมาก ดังนั้นโอชิงจึงดูอึดอัดเล็กน้อย ก่อนที่นางจะตอบออกไปว่า “20 ปี”

“เจ้าฝึกวิชามานานแค่ไหนแล้ว ?”

“3 ปี”

“3 ปีเองหรือ ?” ถังหยินตะลึง เขารู้ว่าพลังของโอชิงนั้นไม่น้อยเลย และการใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาก็ต้องมีระดับปราณสู่พิสดารเท่านั้นถึงจะใช้ได้ ดังนั้นแล้วการฝึกเพียง 3 ปีก็สามารถใช้งานมันได้จึงนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะก็ไม่ปาน “เยี่ยมเลย ต่อไปเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่กว่านี้แน่ !”

ใบหน้าของโอชิงกลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอายที่ได้รับคำชมแบบนั้น “แล้วนายท่านเล่า ?”

นี่เป็นคำถามที่ยากมาก ถังหยินเองจะบอกว่าไม่กี่เดือนหรือว่าไม่กี่ปี หรืออาจจะร้อยปีก็ได้ “ไม่นาน ไม่เร็ว และก็ไม่ได้ช้า”

เมื่อเป็นคำตอบเลี่ยง ๆ เช่นนี้ นางจึงไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ “สำหรับท่านที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ว่าเขต ท่านก็คงจะพยายามมาอย่างยากลำบากแน่นอน”

ถังหยินหัวเราะและโบกมือ “จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณพวกตระกูลอู่ละนะ”

เรื่องของเขาและตระกูลอู่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่รู้กันดี บอกตามตรงเลยว่าทุกคนย่อมคิดว่าเขาใช้ตระกูลอู่เพื่อขึ้นสู่อำนาจ หากแต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะพูดออกไปเช่นนั้นตรง ๆ

โอชิงเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามอะไรที่ไม่ควรไป นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “นายท่านเองก็พูดเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะของท่าน พวกตระกูลอู่เองก็ช่วยท่านไม่ได้หรอก”

ถังหยินตะลึงอีกครั้งและยอมรับนางมากขึ้น ชายหนุ่มเริ่มมองนางในแง่ที่ดีขึ้นเช่นเดียวกับโอชิงและเฉินจินที่อยากจะอยู่เคียงข้างกายเขา

เฉินจินที่เงียบมานานสุดท้ายก็พูดขึ้น “ข้าว่าระดับนายท่านคงไม่คิดที่จะหยุดอยู่แค่ตำแหน่งนี้ใช่ไหม ?” เขาพยายามถามถึงความทะเยอทะยานของถังหยิน เพื่อที่จะได้กำหนดอนาคตได้

ดวงตาของชายหนุ่มมองไปยังเฉินจิน

สายตาของเขานั้นจริงจังและเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ทำให้คนที่มองดูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

เฉินจินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ภายใต้สายตานั้นทำให้เขาต้องก้มหน้าเลี่ยงการสบตา

จากนั้นมุมปากของถังหยินก็ยกยิ้มขึ้น “กาลเวลาพิสูจน์คน ต่อให้ข้าไม่ได้เป็นวีรบุรุษ ทว่าข้าก็ไม่ใช่คนที่กลัวความตายและคิดจะหยุดเพียงแค่นี้แต่อย่างใด”

คำพูดของเขาไม่นับว่าเป็นการปิดบังเรื่องราวแต่อย่างใด ดังนั้นเฉินจินเองก็เข้าใจความหมายมันดี “ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใด ข้าน้อยก็พร้อมที่จะสนับสนุนท่านเสมอ !”

“ข้าดีใจนะที่เจ้าพูดแบบนี้ ข้าเชื่อว่าความตั้งมั่นของเจ้าจะได้รับการตอบแทนแน่นอน”

“นายท่าน…”

“เอาล่ะ ทีนี้เรากลับมาสนใจเกี่ยวกับพวกมอร์ฟีสกันดีกว่า” ถังหยินเปลี่ยนสายตาเป็นจริงจัง ในมุมมองของเขา พวกมอร์ฟีสก็เปรียบเสมือนดาบข้างแคร่ที่ถ้าไม่รีบจัดการก็จะเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไป

แต่จะจัดการให้หมดสิ้นยังไงดี ? เพราะต่อให้ล้มพวกมันได้ในครั้งนี้ มันก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าพวกเขาจะเอาชนะได้อีกในครั้งหน้า พวกเขาจะต้องทนการโจมตีและการรุกรานจากพวกมันอีกนานเท่าไหร่กัน ? นี่เป็นคำถามที่ฝังรากลึกในใจของชายหนุ่ม

พวกมอร์ฟีสนั้นเป็นดั่งแผลเรื้อรังที่ถังหยิงต้องการถอนรากถอนโคนออกไปทั้งหมดในคราเดียว

เฉินจินพูดขึ้น “ปัญหาคือพวกมอร์ฟีสมันบ้าสงคราม เพราะฉะนั้นสันติภาพคือคำตอบ !”

“ทำสัญญาสงบศึก ?” ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น ในความคิดของเขา การยอมสงบศึกเท่ากับการยอมแพ้ และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ ๆ

โดยไม่รีรอ หยวนเปียวที่ทนไม่ไหวก็พูดขึ้นและใช้กำปั้นทุบลงไปบนพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ไร้สาระ ! ถ้าพวกเจ้าอยากได้การสงบศึกละก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อนเถอะ !”