บทที่ 191 เจ้าดูไม่เหมือนเลย + บทที่ 192 คนรู้จัก

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 191 เจ้าดูไม่เหมือนเลย

เฉียวเทียนช่างพอเข้าใจได้ที่พวกเขาเป็นห่วงเหยาเหยา จึงมาลองใจเขา แต่ชายหนุ่มรับไม่ได้ที่พวกเขาทดสอบเขาโดยเอาชีวิตของหนิงเมิ่งเหยาเป็นเดิมพัน

หากเฉียวเทียนช่างตอบสนองบททดสอบก่อนหน้านี้อีกแบบหนึ่ง คนที่จะได้รับบาดเจ็บอาจจะเป็นหนิงเมิ่งเหยาแทน ชายหนุ่มเคยได้รับบาดเจ็บมามากมายตั้งแต่เป็นเด็ก ทำให้เคยชินกับความเจ็บปวด แต่หญิงสาวนั้นไม่เหมือนกัน พละกำลังร้อยละเจ็ดสิบของมู่เฉินนั้นอาจทำให้หญิงสาวเสียชีวิตได้เลยทีเดียว!

แรงกระแทกที่ฟาดลงบนร่างกาย จนทำให้เขาเลือดออกและฟกช้ำภายในสามารถเยียวยาและรักษาหายได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าหนิงเมิ่งเหยารับแรงปะทะนั้น นางอาจจะเสียชีวิตได้ในพริบตาเลย

“มันเป็นความผิดของข้าเอง คราวหน้าข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” มู่เฉินผงกศีรษะ เขาควรไตร่ตรองให้ดีก่อนจะกระทำการใดๆ

“หากไม่ทำอีกก็คงจะดีมากเลย” เฉียวเทียนช่างมองพวกเขา ชายหนุ่มไม่อยากรู้สึกโกรธเคืองอย่างยิ่ง

เพราะเมื่อเขารู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา ร่างกายของเขาจะปล่อยรังสีอันน่ากลัวออกมา และนั่นทำให้มู่เฉินรู้สึกสงสัย “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ชายคนรักของเจ้าทำอะไรหรือ”

“เขาน่ะรึ เขาเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว”

“อ้อ แม่ทัพนั่นเอง แล้วทำไมตอนนี้เขาจึงไม่เป็นแล้วเล่า” มู่เฉินมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างใคร่รู้

เมื่อพวกเขามาที่นี่ ก็ต่างคิดวิธีทดสอบเฉียวเทียนช่างมากมาย แต่เขาก็ทำให้ทุกคนรับรู้ตัวตนของเขาได้ด้วยการลองใจในครั้งแรก

“เพราะตัวข้านั้นไม่อยากกลับเมืองหลวงน่ะสิ” หนิงเมิ่งเหยาเล่าตามความจริง

มู่เฉินและซือถูเซวียนมองตากัน “ทำไมเรารู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังโอ้อวดพวกเราอยู่เลย”

“หากข้าคุยโวบ้างแล้วจะทำไมหรือ เจ้าก็ทำได้เพียงแค่อิจฉาตาร้อนเท่านั้นล่ะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มพลางกอดแขนเฉียวเทียนช่างด้วยสองมือ ท่าทางดังกล่าวนั้นทำเอาคนอื่นๆ หงุดหงิดใจไม่น้อย

ชายหนุ่มแสนดีคนนี้เป็นของนางผู้เดียวเท่านั้น

สายตาของมู่เสวี่ยถมึงทึง นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใครๆ ต่างบอกว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นเป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งที่จริงๆ แล้วกลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่านางเป็นนางมารร้าย!

เฉียวเทียนช่างลูบหัวหญิงสาวโดยมิได้ตำหนินาง หนำซ้ำเขามองนางด้วยแววตารักใคร่อย่างไม่ปิดบัง

เหมยรั่วหลินมองความสนิทสนมของพวกเขา แล้วยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “เมื่อเห็นเสี่ยวเหยาเอ๋อร์มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”

“พี่ใหญ่เหมย ท่านมาที่นี่คนเดียวหรือ พี่เขยไม่มาด้วยรึ” หนิงเมิ่งเหยาคิดถึงคนๆ หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเหมยรั่วหลินด้วยความสงสัย

เมื่อพูดถึงชายผู้นั้น หน้าผากของเหมยรั่วหลินก็เต็มไปด้วยรอยย่น “เขา…”

“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์มักจะคิดถึงผู้อื่นเสมอเลยนะ มานี่มา เหยาเอ๋อร์ มาให้ข้ากอดสักหน่อย” ทันใดนั้น ก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

แขกคนใหม่กระโจนเข้ามาหาหนิงเมิ่งเหยา แต่เฉียวเทียนช่างรีบดึงตัวหญิงสาวออกมา

ผู้ที่เพิ่งมาใหม่เสียหลัก แต่ยังไม่ถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น เขามองหนิงเมิ่งเหยาอย่างเศร้าใจ “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ทำไมเจ้าจึงไม่รับอ้อมกอดของข้าเล่า”

“ไม่ว่าเจ้าจะใช้มือข้างไหนกอดนาง ข้าก็จะตัดมันทิ้งเสีย” เฉียวเทียนช่างมองอีกฝ่ายด้วยแววตาคมกริบ ความหึงหวงก่อตัวจนล้นหัวใจของเขา

ก่อนที่เขาจะรู้จักนาง ใครจะรู้ว่าชายผู้นี้สวมกอดเหยาเหยามากี่ครั้งแล้ว

“เจ้าบ้านี่ พูดว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่า ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องภรรยาของข้า ข้าจะตัดมือข้างที่สัมผัสโดนตัวนางทิ้งเสีย”

“ว่าที่น้องเขย ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่” เหมยรั่วหลินปรบมือ

ชายผู้นั้นซวนเซและหันศีรษะมามองราวกับว่าเขาเป็นคนผิด “หลินเอ๋อร์ ทำไมเจ้าต้องเข้าข้างคนนอกด้วยเล่า”

เหมยรั่วหลินยิ้มขณะจ้องมองชายผู้นั้น โดยเมินเฉยต่อท่าทีของเขา “ทำไมเจ้าไม่ลองฉกฉวยตัวนางมาจากคนนอกผู้นั้นดูเล่า”

“หลินเอ๋อร์ เจ้ากลั่นแกล้งข้าอยู่นะ”

“จริงๆ แล้วเจ้าเป็นผู้หญิงใช่ไหมเนี่ย” ทันใดนั้นเฉียวเทียนช่างก็พูดขึ้นจนยั่วโมโหชายผู้นั้น

“ข้าเป็นผู้ชายเต็มตัวนะ” เขาโมโห

เฉียวเทียนช่างมองใบหน้าอันงดงามของอีกฝ่าย พลางสังเกตพฤติกรรมของเขา “ข้ามองไม่ออกจริงๆ ”

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆ! อวี้เฟิง เห็นไหม ข้ามิใช่คนเดียวที่พูดคำนั้น!” คราวนี้ มู่เฉินผู้สง่างามและสุขุมนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

แต่อวี้เฟิงกลับพยายามทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเหมยรั่วหลิน อันที่จริงนางไม่อยากให้เขาทำตัวเช่นนี้ อีกทั้งใบหน้าของเขานั้นช่างงดงามเกินไป จนดูราวกับเป็นหญิงสาว หากอวี้เฟิงไม่พูดจา ผู้คนคงจะเชื่อสนิทว่าเขาเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง

“เฉียวเทียนช่าง เจ้าไม่อยากจะแต่งงานอย่างสงบสุขเช่นนั้นรึ” อวี้เฟิงขบฟันแน่น

ชายหนุ่มมองเขาอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับเจ้าหรือไร”

“เขาหมายความว่าอะไรกัน” อวี้เฟิงตอบสนองช้า ก่อนจะเอ่ยถามคนข้างๆ

มู่เฉินหัวเราะอย่างสนุกสนาน “เทียนช่างหมายความว่าเจ้างี่เง่าน่ะ”

บทที่ 192 คนรู้จัก

ใบหน้าอันงดงามของอวี้เฟิงบิดเบี้ยวเพราะคำพูดของมู่เฉิน เหมยรั่วหลินมองคนรักของตนเอง ตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ ก็ปกติดี แต่ทำไมเขาต้องเปลี่ยนไปตอนอยู่ต่อหน้าพวกนี้ด้วยนะ

“พี่เขย อย่าโกรธไปเลย หากโมโหแล้วจะมีริ้วรอยนะ ไอ๊หยา ตรงหางตาของท่านมีตีนกาขึ้นมาแล้วเนี่ย” หลังจากเห็นว่าอวี้เฟิงไม่พอใจ หนิงเมิ่งเหยาจึงยุแหย่เพื่อเติมเชื้อไฟ

เมื่อเขาได้ยินดังนั้น จึงอยู่ไม่สุข “จริงหรือ หลินเอ๋อร์ ช่วยข้าดูหน่อยสิว่ามีตีนกาจริงหรือไม่”

“อุ๊บ ฮ่าๆๆ!” ทุกคนต่างหลุดหัวเราะ แม้แต่เฉียวเทียนช่างเองยังอดไม่ได้ ‘ทำไมผู้ที่ดูทรงพลังเช่นนี้กลับรักสวยรักงามเท่าชีวิตขนาดนี้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาคนนั้นยังเป็นผู้ชายอีก’

เหมยรั่วหลินย่นหน้าผาก พลางสงสัยว่าอะไรดลใจให้นางแต่งงานกับชายคนนี้ตั้งแต่แรก ‘เขาราวกับเป็นหายนะของนางเสียจริงเชียว!’

“ไม่หรอก หน้าตาของเจ้ายังคงงดงามเช่นเคย”

“จริงหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าก็คลายกังวลได้แล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็จับใบหน้าของตนเองและมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่พอใจ “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้าทำเช่นนี้กับพี่เขยผู้นี้ได้เช่นไรกัน”

หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ และไม่อาจตอบกลับได้ว่านางเพียงต้องการเปลี่ยนเรื่องคุย

เฉียวเทียนช่างมองดูกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยแววตามีความสุข  ‘ดีแล้วที่นางมีคนมากมายคอยเอาใจ’ แต่ชายหนุ่มก็มิได้สบายใจนัก ทั้งนี้ เขาคิดว่าตนเองเอาอกเอาใจนางคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

หลังจากคนกลุ่มนี้มาถึง ทุกคนก็กลายเป็นคนสำคัญ แต่สิ่งที่ทำให้หนิงเมิ่งเหยาไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ก็คือตอนที่กลุ่มสหายของเซียวฉีเทียนมาถึงที่นี่ และได้พบกับอวี้เฟิง จากนั้นพวกเขาก็เข้าขากันดีทีเดียว

โดยเฉพาะอวี้เฟิงและหลินจือโยวนั้นมีใบหน้าอันสะสวยและรักในความงามเหมือนกัน ทั้งสองจึงเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งยังผลักไสเหมยรั่วหลินไปที่อื่นอีกด้วย

เซียวฉีเทียนถามซือถูเซวียนอย่างเศร้าใจ “เซวียนเอ๋อร์ ตอนที่เจ้ากลับมา ทำไมถึงไม่มาเยี่ยมท่านพ่อของเจ้าเล่า”

“เพราะข้าไม่อยากไปเยี่ยมน่ะสิ” ซือถูเซวียนตอบคำถามอย่างแผ่วเบา

“เจ้า…”

“ท่านพี่ฉีเทียน ข้าหวังว่าท่านจะไม่บังคับข้านะ และอย่าบอกเขาว่าท่านเจอข้าที่นี่” ซือถูเซวียนพูดตัดบท

“เจ้ายังปล่อยวางเรื่องนั้นไม่ได้อีกหรือ”

“ปล่อยวางรึ ท่านแม่ของข้าถูกเขากับผู้หญิงคนนั้นสังหาร หากท่านต้องการให้ข้ายกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นและยอมรับในตัวนาง ก็อย่าหวังเลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าหากนางไม่ออกไป ข้าก็จะเป็นคนจากไปเอง” ซือถูเซวียนรู้สึกขุ่นเคือง

มู่เฉินเดินไปอยู่ข้างๆ ซือถูเซวียน “เซวียนเซวียนเพิ่งจะลืมเรื่องนี้ได้ไม่นาน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้นางต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจอีก”

“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว ขอโทษด้วย” เซียวฉีเทียนมองมู่เฉินกอดซือถูเซวียนเพื่อปลอบใจ

เขารู้ดีว่ามันเป็นปมในใจของนาง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน แต่เขาเองก็ไม่อยากจะให้นางออกจากบ้านโดยไม่กลับไปอีกตลอดชีวิตเช่นกัน

“ท่านพี่ฉีเทียน ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ” ณ ตอนนี้มันช่างดีกว่าอดีตของนางที่ต้องอยู่ในตระกูลซือถู

เซียวฉีเทียนเดินไปข้างๆ เพื่อลูบศีรษะของนาง “พี่ฉีเทียนผู้นี้เข้าใจแล้ว แต่หากเจ้าพอมีเวลา ก็แวะมาหาข้ากับท่านพี่ใหญ่บ้าง”

“ตกลง ข้าจะแวะไปหา”

เซียวฉีเทียนยิ้มและหยุดพูดถึงเรื่องนี้ โดยแววตาของเขาค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น

ซือถูเซวียนและเซียวฉีเทียนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ท่านแม่ของนางคือท่านอาของเขา ซึ่งเป็นพระสนมเอก แต่นางจากไปเมื่อสองสามปีก่อน เซวียนเซวียนบอกว่าแม่ของนางถูกลุงเขยและผู้หญิงคนนั้นฆ่า พวกเขาต่างเชื่อในคำพูดของนาง และคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่พี่ชายของเขาไม่เคยยกให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นชายาที่ถูกต้อง และยังคงต้องอยู่ในตำแหน่งพระสนมอยู่เช่นเดิม

“ท่านพี่ฉีเทียน ท่านรู้จักเหยาเอ๋อร์ได้เช่นไรกัน” ซือถูเซวียนสงบจิตใจลงและเอ่ยถามเขาอย่างสงสัยใคร่รู้

“เพราะเทียนช่างรู้จักนางน่ะ”

ซือถูเซวียนอึ้งและยกมือปิดปาก “ชายผู้นี้มิใช่ท่านพี่ที่ท่านพี่ใหญ่ตามหาอยู่ใช่ไหม”

“นั่นแหละ คือเขาเลย”

ซือถูเซวียนเคาะศีรษะของตนเอง นางควรจะรู้เรื่องนี้ ใครจะไปคิดว่านางจะลืมสนิท นางเคยคิดว่าเฉียวเทียนช่างนั้นช่างดูคุ้นตา นั่นก็เพราะว่านางเคยเจอเขามาก่อนนั่นเอง