หลินชิงเวยกล่าว “หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามไปได้เพคะ เมื่อคืนผู้ที่ทำร้ายหม่อมฉันจะต้องเป็นฆาตกรที่สังหารเชียนเหอ ส่วนเหตุใดเชียนเหอจึงมาอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน เรื่องนี้มีความเป็นได้ว่าจมน้ำตายในบ่อน้ำของตำหนักฉางเหยี่ยน และมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าจมน้ำตายมาจากที่อื่นแล้วนำมาทิ้งไว้ในตำหนักฉางเหยี่ยน ประจวบเหมาะกับหม่อมฉันพบสิ่งของตกค้างในปากของเชียนเหอ ขอเพียงได้เปรียบเทียบก็จะรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ” พูดแล้วก็เรียกข้ารับใช้ในตำหนักฉางเหยี่ยนมาสั่งการลงไปว่า “ไปเก็บต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นในบ่อน้ำมาเล็กน้อย”

เพียงไม่นานข้ารับใช้ก็เก็บสิ่งของที่เป็นตัวอย่างกลับมา

หลินชิงเวยหยิบสิ่งของตกค้างที่นางพบเมื่อเช้าออกมา เปรียบเทียบทีละอย่าง พบว่าไม่มีสักอย่างที่ตรงกัน

หลินชิงเวยจึงกล่าวอีกว่า “สิ่งตกค้างที่อยู่ในปากและจมูกของเชียนเหอ ชัดเจนยิ่งนักว่าเข้ามาในร่างกายขณะที่นางหายใจดิ้นรนต่อสู้ในน้ำ เห็นได้ว่าต้นไม้ใบหญ้าในน้ำนั้นไม่ตรงกับต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นในบ่อน้ำแม้แต่ชนิดเดียว พิสูจน์ให้เห็นว่านางมิได้จมน้ำตายในบ่อน้ำของตำหนักฉางเหยี่ยน แต่นางจมน้ำตายที่อื่นแล้วจึงนำร่างมาทิ้งไว้ในตำหนักฉางเหยี่ยนเพคะ”

จ้าวเฟยพูดอย่างโกรธเคือง “ในเมื่อเชียนเหอก็ตายไปแล้ว ไยยังต้องถูกนำมาทิ้งในตำหนักฉางเหยี่ยน หลินเจาอี๋ มิใช่เพราะเจ้าต้องการเอาตัวรอดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยจึงพูดจาเหลวไหลกระมัง!”

หลินชิงเวยเอียงหน้ามองนางด้วยหางตา “มิใช่ยังมีคำพูดอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า โยนความผิดให้ผู้อื่นหรือ? หาไม่แล้วเหตุใดจ้าวเฟยจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่เพื่อมากล่าวโทษข้าในเวลานี้เล่า?”

จ้าวเฟยพูดไม่ออก

หลินชิงเวยหันไปกล่าวกับเซียวจิ่น “ฝ่าบาท ขอเพียงไปหาพืชที่ขึ้นในน้ำมาจากทุกตำหนักแล้วเปรียบเทียบทีละอย่าง หม่อมฉันเชื่อว่าจะต้องตรวจสอบสถานที่ที่เชียนเหอตายได้ แต่การตรวจสอบทุกตำหนักยังต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาทเพคะ”

เซียวจิ่นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้นอนุญาตให้หลินเจาอี๋ตรวจสอบเรื่องนี้” เขามองจ้าวเฟยแล้วกล่าวเสียงเย็น “เชียนเหอเป็นนางกำนัลของจ้าวเฟย ตามเหตุผลต้องเริ่มตรวจสอบจากตำหนักของจ้าวเฟยก่อน เริ่มตั้งแต่วันนี้เถิด”

จ้าวเฟยย่อมไม่อาจพูดอันใดได้ ในที่สุดได้แต่สั่งให้ขันทีรับศพของชิงเหอแล้วออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน ฮ่องเต้มีใจคิดปกป้องหลินเจาอี๋ หากนางพูดคำว่าไม่เพียงคำเดียว ย่อมไม่เกิดผลดีอันใด

หลังจากจ้าวเฟยออกไป ตำหนักฉางเหยี่ยนกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม เซียวจิ่นกลับมิได้จากไปทันที เขามองซินหรูยกอ่างน้ำเข้ามาล้างมือให้หลินชิงเวยที่ประตูหน้า หลินชิงเวยหยิบสบู่ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาถูกับฝ่ามือจนเกิดฟองละเอียดชั้นหนึ่ง มือเล็กๆ ทั้งคู่นั้นถูกันไปมา จากนั้นใช้สะอาดล้างฟองเหล่านั้นออกเป็นอันเสร็จสิ้น

เซียวจิ่นก้าวขึ้นมาหรี่ตาลงกวักมือให้หลินชิงเวย “ชิงเวย มานี่”

หลินชิงเวยไม่อาจหักหน้าฮ่องเต้น้อยต่อหน้าผู้อื่นได้ จึงได้แต่ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว มาถามเบื้องหน้าเซียวจิ่น “ฝ่าบาทมีอะไรจะรับสั่งเพคะ?”

“เจ้าก้มตัวลงมา เจิ้นมีคำพูดจะพูดกับเจ้า”

หลินชิงเวยโน้มกายลงไปเอียงหูตั้งใจฟัง

ผ่านไปอึดใจหนึ่งเซียวจิ่นไม่ได้พูดอะไรสักประโยค ยามนี้ข้ารับใช้ในลานเรือนต่างถอยออกไปไกลโยชน์อย่างผู้มีหูตากว้างไกล ภายในลานเรือนเหลือเพียงพวกเขาสองคน

แสงตะวันให้ความรู้สึกเฉกเช่นต้นคิมหันตฤดูที่สาดส่องลงบนใบหน้าด้านข้างของหลินชิงเวยอย่างอบอุ่น ขับให้ผิวพรรณของนางนวลผ่อง ดวงตาคู่นั้นของนางราวกับถูกแสงตะวันอาบไล้ผ่านอย่างไรอย่างนั้น ขนตาเป็นแพกะพริบถี่ๆ มิอาจบดบังแสงเงินแสงทองที่กะพริบระยิบระยับภายในแววตานั้นได้

ใบหน้าด้านข้างของเซียวจิ่นมีแสงอ่อนๆ ครอบคลุมอยู่ชั้นหนึ่งเช่นกัน เสื้อคลุมมังกรขนาดพอดีตัวที่สวมอยู่บนร่างของเขาขับให้ผิวของเขายิ่งขาวละเอียด ปกคอเสื้อและชายอาภรณ์ล้วนปักลวดลายมังกรซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาในยามนี้ไม่มีอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ เหมือนเด็กน้อยอายุน้อยกว่าหลินชิงเวยสามปี สีหน้าท่าทางของเขาคือเด็กน้อยที่กำลังเติบใหญ่สุภาพอ่อนโยนสุขุม

หลินชิงเวยไม่ได้ยินเซียวจิ่นเอ่ยวาจาอันใดจึงเอียงหน้าขมวดคิ้วหันไปมองเขาแวบหนึ่ง เขากำลังจับจ้องลำคอของตนเงียบๆ

“ฝ่าบาทมิใช่ต้องการตรัสสิ่งใดหรือเพคะ?” หลินชิงเวยถาม

เซียวจิ่นยกปลายนิ้วขึ้นแตะลำคอของหลินชิงเวย หลินชิงเวยเอนกายหลบไปทางด้านหลังอย่างไม่ต้องหยุดคิดทันที รอยยิ้มของเซียวจิ่นเลือนหายไป “เจ็บหรือไม่?”

หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ ไม่เจ็บเท่าใดแล้วเพคะ”

“มือสังหารผู้นั้นช่างกำเริบเสิบสานนัก ลอบสังหารเจิ้นไม่สำเร็จยังคิดจะลอบสังหารเจ้า” เซียวจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างสงบ ในแววตาของปรากฏความขุ่นมัวระลอกหนึ่งอย่างเคยชินทว่าเพียงครู่เดียวก็เลือนหายไป

หลินชิงเวยเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ครั้งนี้น่าจะไม่ใช่ฝีมือของผู้บุรุกนอกวังหลวงกระมัง ฝ่าบาท เมื่อน้ำมาถึงสะพานแล้วย่อมตรงได้เอง พระองค์ไม่ต้องร้อนใจเกินไปเพคะ”

เซียวจิ่นตกตะลึง

หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ ยิ้มให้เขา “พระองค์รู้ว่าหม่อมฉันกำลังพูดอะไรเพคะ”

ถูกต้อง เมื่อสักครู่เขาก็เริ่มระแวงสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของเซี่ยนอ๋อง รวมไปถึงเรื่องที่เซ่อเจิ้งอ๋องพบมือสังหารนอกวังหลวง เรื่องเขาถูกลอบสังหาร และเรื่องที่หลินชิงเวยพบมือสังหาร ล้วนเป็นแผนการที่เซี่ยนอ๋องวางไว้ ขอเพียงสังหารพวกเขาคนใดคนหนึ่งสำหรับเซียวจิ่นแล้วล้วนถือเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่

เขารู้แต่แรกแล้วว่าเซี่ยนอ๋องมีใจคิดคดทรยศ ทว่ากลับหาหลักฐานไม่ได้ตลอดมา เขารู้ว่าตนเองมิอาจรีบร้อน ยิ่งเขาใจร้อนมากเท่าใดก็จะทำให้ผู้อื่นมองออกว่าเขาต้องการกำจัดเซี่ยนอ๋องด้วยความทุรนทุรายมากเท่านั้น

ยามนี้กระทั่งหลินชิงเวยก็ยังมองออก หากถูกเซี่ยนอ๋องมองออกอีก มิใช่ทำให้เขาเพิ่มการป้องกันและระมัดระวังตัวมากขึ้น ทำให้หาโอกาสไม่ได้ยิ่งขึ้นsinv

เซียวจิ่นมีสีหน้าขัดเขินเล็กน้อย “ดูท่าแล้วชิงเวยก็มองออก อย่างไรไม่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก็ดีแล้ว”

“หม่อมฉันส่งฝ่าบาทกลับไปเถิดเพคะ” หลินชิงเวยยืดกายขึ้นยืนตรง มือทั้งคู่เข็นเก้าอี้รถเข็นเดินออกไปจากเรือนด้านหน้าช้าๆ เมื่อเดินออกจากประตูตำหนักฉางเหยี่ยนนางถามขึ้นว่า “เสด็จอาเล่า?”

นัยน์ตาสีดำขลับราวกับถูกย้อมด้วยน้ำหมึกของเขาขยับเล็กน้อย “เมื่อคืนมีคนคิดจะสังหารเจ้า เจ้าเอาตัวรอดจากอันตรายได้อย่างไร?”

หลินชิงเวยได้ยินเซียวจิ่นถามเช่นนี้ใจของนางหล่นวูบไปชั่วขณะหนึ่ง เด็กน้อยคนนี้อ่อนไหวยิ่งยวด เมื่อเห็นร่องรอยบริเวณลำคอของหลินชิงเวยย่อมรู้ว่านางถูกกดลำคอตกอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ไม่มีหนทางต่อสู้ดิ้นรน หากมิใช่มีคนมาช่วยเอาไว้คงยากจะหนีรอดได้ และนางถามหาเสด็จอา เซียวจิ่นก็ถามเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา ตรองดูแล้วเขาเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเซ่อเจิ้งอ๋องได้แล้ว หากคิดจะหาเหตุผลอื่นเกรงว่าจะโกหกตนเองได้ทว่ามิอาจโกหกเขาได้

หลินชิงเวยตอบ “เมื่อคืนหากมิใช่เสด็จอาทำงานเสร็จแล้วมาพบเข้าระหว่างทางกลับ เกรงว่ายามนี้ควรจะมีคนลากศพของหม่อมฉันขึ้นมาจากสระไท่เยี่ยแล้วเพคะ”

เซียวจิ่นได้ยินเช่นนี้มือทั้งคู่ที่อยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น “มิเน่าเล่า เสด็จอารู้เรื่องนี้ทว่ากลับปิดบังเจิ้น วันนี้ไม่เจอตัวคนตั้งแต่เช้า คิดดูแล้วน่าจะไปสืบหาตัวฆาตรกรแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลทำเรื่องชั่วร้ายภายในวังหลวง ชิงเวย เจ้าเชื่อเถิดว่าเสด็จอาจะต้องหาฆาตกรพบแน่นอน คืนความยุติธรรมให้กับเจ้า”

หลินชิงเวยตะลึง “ไปสืบหาตัวฆาตรกรแล้ว? ในวังหลวงมีคนมากมายเช่นนี้ จะไปสืบหาทีละคนได้อย่างไรเพคะ อีกทั้งยังจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จากสถานการณ์ในเวลานี้เห็นได้ว่าฆาตรต้องการสังหารหม่อมฉันให้ตาย เมื่อสังหารหม่อมฉันไม่สำเร็จจึงไปสังหารนางกำนัลคนสนิทของจ้าวเฟยเพื่อโยนความผิดให้กับหม่อมฉัน จ้าวเฟยเองเกลียดชังหม่อมฉันเข้ากระดูกย่อมต้องให้ไทเฮาหนุนหลังเป็นแน่เพคะ หม่อมฉันย่อมต้องตกระกำลำบากเช่นคราวที่แล้ว จุดประสงค์ของฆาตกรดูเหมือนจะเป็นหม่อมฉัน เขายังไม่อาจบรรลุจุดประสงค์ย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปแน่นอน ไฉนพวกเราไม่รอคอยโอกาสกระทั่งเขาลงมือเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้วค่อยจับกุมตัวเขาเพคะ?”