เซียวจิ่น “ชิงเวย เจ้าพูดจามีเหตุผล เพียงแต่คำพูดเหล่านี้เจ้าต้องพูดกับเสด็จอา” พูดแล้วก็ให้หลินชิงเวยหยุดเข็นเก้าอี้ เขาหันกลับไปมองนางกำนัลที่อยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

ซินหรูและองครักษ์คนสนิทของเซ่อเจิ้งอ๋องติดตามอยู่ข้างหลังอย่างไร้สุ้มเสียง

เซียวจิ่นกล่าวกับซินหรู “ซินหรู รบกวนเจ้ามาช่วยเจิ้นเข็นเก้าอี้ส่งเจิ้นกลับไปตำหนักซวี่หยางได้หรือไม่?”

ซินหรูเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาทอประกายวับวาว นางพยักหน้าแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดเป็นกันเองและมีมารยาทของเซียวจิ่นซึ่งไม่ได้วางท่าด้วยอำนาจบารมี

เซียวจิ่นหันไปกล่าวกับหลินชิงเวยอีกว่า “ชิงเวย เจ้าไปหาเสด็จอาเถิด มีเสด็จอาอยู่ด้วยจะทำให้เจ้าปลอดภัยขึ้น เจ้ามีความคิดของตนเองอยู่แล้วปรึกษาหารือกับเสด็จอาว่าจะก้าวต่อไปควรทำอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรมีเสด็จอาอยู่ย่อมดีกว่าเจิ้น เสด็จอาคุ้มครองเจ้าได้แน่” ไม่รอให้หลินชิงเวยปฏิเสธก็กวักมือเรียกองครักษ์คนสนิทของเซียวเยี่ยน “เจ้าคงจะรู้ว่าเสด็จอาอยู่ที่ไหนกระมัง เจิ้นบัญชาให้เจ้าส่งหลินเจาอี๋ไปที่นั่น”

องครักษ์ “ฝ่าบาท เซ่อเจิ้งอ๋องให้กระหม่อมมาถวายอารักขาฝ่าบาทจนตัวตาย ห้ามห่างจากฝ่าบาทแม้เพียงครึ่งก้าวจนกว่าเขาจะกลับมาพะยะค่ะ”

เซียวจิ่น “เจ้าส่งหลินเจาอี๋ไปที่นั่นก่อนแล้วค่อยกลับมาอารักขาเจิ้นต่อ ภายในวังหลวงไม่เหมือนข้างนอกที่จะปรากฏมือสังหารได้ตลอดเวลา?”

อีกทั้งเวลานี้เป็นเวลากลางวัน ความเป็นไปได้จึงค่อนข้างน้อย

ดังนั้นองครักษ์ไม่อาจไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาในที่สุด เขาเดินนำหลินชิงเวยออกไป

เมื่อหลินชิงเวยได้พบเซียวเยี่ยน เขากำลังเรียกตัวองครักษ์ที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนเมื่อคืนมารวมกันที่นี่ สอบถามที่ละคนและจากการได้ประมือชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษทั้งมีวรยุทธ์ สวมเครื่องแบบขององครักษ์เช่นกัน

เวลาช่วงเช้าผ่านไป เขาไม่ได้เบาะแสอันใดแม้แต่น้อย

หลินชิงเวยเดินผ่านหน้าองครักษ์เหล่านั้น นางไม่เห็นเงาร่างของคนที่ทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อคืนนี้ ราวกับเขาไม่เคยปรากฏตัวในหมู่ขององครักษ์เหล่านี้มาก่อน เมื่อสังเกตสังกาสีหน้าและแววตาบนใบหน้าขององครักษ์เหล่านี้อีกครั้งล้วนไม่พบความผิดปกติอันใด

นอกจากคนๆ หนึ่ง

หัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุด

หลินชิงเวยเดินผ่านร่างของเขาแล้วหันกลับไปมอง เห็นดวงตาของเขาทอประกายวาบ หลินชิงเวยถามตรงๆ “เจ้ามีเรื่องปิดบังข้า?”

หัวหน้าองครักษ์ “เรียนเจาอี๋เหนียงเหนียง ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!”

หลินชิงเวย “เจ้าเป็นหัวหน้าองครักษ์ หากเกิดเรื่องผิดพลาดกับผู้ใดขึ้นมา เจ้าผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน เวลานี้ท่านอ๋องละเว้นโทษทัณฑ์ให้เจ้า เจ้ารีบพูดมา”

หัวหน้าองครักษ์เงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยน พบว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้คัดค้านแสดงว่าเขายอมรับโดยปริยาย จึงเอ่ยขึ้นว่า “ในหมู่ของกระหม่อมจะมีคนเกินมาหนึ่งคนตลอดพะยะค่ะ แต่เมื่อสักครู่ได้ตรวจนับคน ดูเหมือน…ขาดไปหนึ่งคนพะยะค่ะ”

“ขาดใครไป?”

“หลี่เหลียง”

“เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด?”

“กระหม่อม กระหม่อมเพิ่งจะพบว่าเขาหายตัวเมื่อสักครู่เช่นกันพะยะค่ะ”

หลินชิงเวยยังถามต่ออย่างไม่ยอมรามือ “ก่อนหน้าล้วนไม่เคยพบว่าเขาหายตัวไป? และไม่เคยพบว่าเขามีสิ่งใดผิดปกติ?”

หัวหน้าองครักษ์ “คนผู้นี้มีนิสัยสันโดษ ไม่พูดคุยกับใคร เมื่อเข้าเวรยามลาดตระเวนเขาจะกลับเข้าหมู่ตามเวลาจึงไม่มีใครใส่ใจพะยะค่ะ”

ต่อมาเซียวเยี่ยนโบกไม้โบกมือให้เหล่าองครักษ์ถอยออกไป หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นกลับถูกปลดเครื่องแบบทหารออกแล้วส่งตัวไปลงทัณฑ์ หัวหน้าองครักษ์ไม่พึงใจร้องตะโกนเสียงดังว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียง ท่านมิใช่กล่าวว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะไม่ถือโทษหรือ?!”

หลินชิงเวยหันไปมองเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนกล่าวขึ้นเนิบๆ ว่า “เปิ่นหวางไม่ได้รับปากอันใด นำตัวไปโบยห้าสิบไม้”

ต่อมาเซียวเยี่ยนสั่งการให้ค้นภายในวังหลวงเพื่อหาตัวองครักษ์นามหลี่เหลียงผู้นั้น สัญชาตญาณของหลินชิงเวยบอกกับนางว่าหลี่เหลียงก็คือองครักษ์ที่นางสังหารคนนั้น แต่ยามนี้นางเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาตายไปแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่ หรือจะมีเรื่องน่าเหลือเชื่ออันใดเกิดขึ้น?

หลินชิงเวย “ไม่ต้องไปค้นหาแล้ว ท่านค้นอย่างไรก็ไม่พบคน”

เซียวเยี่ยนเลิกคิ้วมองนาง นางยักไหล่แล้วหรี่ตาลงมองแสงตะวันไกลออกไป “ท่านไม่ต้องถามข้าว่าด้วยเหตุใดอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของสตรี ครั้งต่อไปเขายังคงลงมือกับข้า ท่านตรวจค้นเอิกเกริกเช่นนี้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น วันนี้นางกำนัลในตำหนักของจ้าวเฟยมาตายในตำหนักของข้าก็เป็นฝีมือของเขาเช่นกัน”

คิ้วที่เลิกอยู่ของเซียวเยี่ยนขมวดแน่น สายตาที่เขามองหลินชิงเวยเปลี่ยนเป็นนิ่งลึก เขายืนหันหลังให้แสงราวกับแสงตะวันทั้งหมดล้วนตกอยู่รอบๆ ใบหน้าของเขา เส้นผมปอยหนึ่งของเขาแผ่ลงมาจากหยกครอบผมสีเขียวด้านหลังศีรษะ ส่วนปลายเส้นผมนั้นห้อยตกลงมา องอาจรูปงามและอบอุ่น แสงวิบวิบในดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะหยดออกมาได้ ในดวงตาเรียวยาวของเขาพร่างพราวกระจ่างใส

เขาถาม “ไม่เป็นอะไรแล้ว?”

หลินชิงเวย “เคราะห์ดีที่ฝ่าบาทเสด็จมาทันเวลา จ้าวเฟยจึงไม่อาจหาเรื่องข้าอย่างคลุ้มคลั่ง”

“เรื่องนี้เปิ่นหวังรู้ เปิ่นหวางถามเรื่องเมื่อคืนนี้ ยังมีบาดแผลบนคอของเจ้า”

หลินชิงเวยยกมือขึ้นลูกลำคอของตนอย่างอดไม่ได้ รอยยิ้มนั้นเจ้าเล่ห์เหลือหลาย “บาดแผลที่นี่ชัดเจนมากใช่หรือไม่? เสด็จอาปวดใจแล้ว?”

“…” เซียวเยี่ยนเลือกที่จะมองข้ามหัวข้อสนทนานี้ กลับครุ่นคิดและเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดต้องเลือกเจ้า”

เซียวเยี่ยนย่อมไม่รู้เรื่องราวระหว่างหลินชิงเวยและหลี่เหลียง เขาเพียงแต่คิดถึงเรื่องที่หลินชิงเวยถวายการรักษาให้กับฮ่องเต้ มีคนไม่ปรารถนาให้สุขภาพของฮ่องเต้ดีขึ้นและลุกขึ้นมายืนได้หรืออย่างไร?

หลินชิงเวยทิ้งหางตาเปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวนให้เซียวเยี่ยนครั้งหนึ่ง “ยังจะมีเหตุผลอะไรได้ เพราะข้ารูปโฉมงดงามน่ะสิ”

“…”

หลินชิงเวยจ้องมองสีหน้าบนใบหน้าของเซียวเยี่ยนอย่างจริงจังแล้วเอ่ยพร้อมกับทอดถอนใจว่า “ไม่รู้ว่าเสด็จอายังจดจำได้หรือไม่ องครักษ์ผู้นั้นก็คือบุรุษที่หลินเสวี่ยหรงนำเข้ามาในห้องนอนของข้าเมื่อครั้งต้องการทำร้ายข้า”

สีหน้าของเซียวเยี่ยนเปลี่ยนไป ถึงกับเป็นเขา ยามนั้นไม่ควรจะไว้ชีวิตเขา หากมิใช่ด้วยความสนใจของเซียวเยี่ยนไม่ได้อยู่ที่คนๆ นั้น

รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลินชิงเวยกว้างขึ้นเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน อ่อนโยนประดุจสายลมในฤดูวสันต์ ดวงตาทั้งคู่ใต้ผมหน้าม้าทั้งใหญ่ทั้งสุกสกาว นางเอ่ยขึ้นอีกว่า “เสด็จอานึกออกแล้ว?”

เซียวเยี่ยนได้สติหันมาเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลินชิงเวยพลันรู้สึกตัวว่าถูกนางวางหมากให้เดินจึงมีสีหน้าเย็นชาสะบัดแขนเสื้อและพูดว่า “เปิ่นหวางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นใคร”

เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีแรงจูงใจที่จะกระทำเช่นนี้ หลี่เหลียงคิดจะสังหารหลินชิงเวยด้วยกลัวว่าหลินชิงเวยจะเปิดโปงเขา เห็นได้ชัดว่าหลินชิงเวยจดจำเขาได้ทว่าหลินชิงเวยออกจากตำหนักเย็นมานานเช่นนี้เขาล้วนไม่มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร?

เซียวเยี่ยนยังคงทำตามความเห็นของหลินชิงเวยรอให้หลี่เหลียงลงมือครั้งต่อไปค่อยฉวยโอกาสเคลื่อนไหว

ทางด้านนี้จ้าวเฟยออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน นางยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห หลินชิงเวยถือว่ามีฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องหนุนหลังนางจึงไม่อาจทำอันใดนางได้ ตนเองมีตำแหน่งเฟย ส่วนหลินชิงเวยเป็นเพียงเจาอี๋คนหนึ่ง ถือดีอะไร!

ที่สำคัญก็คือระหว่างทางที่กลับไปจ้าวเฟยยังได้พบกับคนอีกคนหนึ่งซึ่งนางรังเกียจอย่างที่สุด—จู๋กุ้ยเหริน อารมณ์ของนางจึงยิ่งย่ำแย่

ในยามปกติจู๋กุ้ยเหรินไม่ชมชอบออกมาเดินข้างนอก อาจเพราะด้วยถูกอากาศสดใสเช่นนี้ดึงดูดใจ เสียงนกร้องเพลงกลิ่นหอมอบอวลของมวลบุปผา สายน้ำในสระและแสงตะวันล้วนเป็นภาพที่งดงามยิ่งยวด

ร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางส่ายไหวไปมาประหนึ่งงูน้ำตัวหนึ่ง ท่วงท่าเดินเหินนวยนาดแช่มช้อย ทุกอิริยาบถเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดสายตาผู้คน อีกทั้งการเดินเหินของนางเบาประดุจเทพเซียนลงมาจุติ ปลายเท้ารูปดอกบัวนั้นแทบไม่แตะพื้น ใต้ฝ่าเท้าราวกับมีผืนเมฆาล่องลอยรองรับเอาไว้